วัดฉิมพลีสุทธาวาส หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่าวัดฉิมพลี สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เดิมชื่อว่า วัดป่าฝ้าย สันนิษฐานว่าแต่เดิมน่าจะมีการปลูกฝ้ายกันมากในบริเวณนี้ ถูกทิ้งร้างไปพร้อมกับวัดป่าเลไลยก์ที่อยู่ติดกัน บางคนเรียกวัดนี้ว่าวัดป่าฝ้ายร้าง วัดป่าฝ้ายสร้างเมื่อพม่ายึดเมืองนนทบุรีและด่านปากเกร็ด เมื่อพ.ศ. 2308 จนมาถึงพม่าตีกรุงศรีอยุธยาแตก ในปี พ.ศ. 2310 ต่อมา ปี พ.ศ. 2317 พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คนมอญที่อพยพหนีพม่ามาตั้งถิ่นฐานอยู่บนเกาะเกร็ด จึงได้มีการบูรณะวัดป่าฝ้ายขึ้นมาอีกครั้ง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๒ สันนิษฐานว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ พระยาวิเชียรวารี เป็นแม่กองบูรณปฏิสังขรณ์ ประมาณ พ.ศ. 2358 และพระราชทานนามวัดเป็น วัดฉิมพลี (เนื่องจากพระนามเดิมของรัชกาลที่ ๒ คือ เจ้าฟ้าชายฉิม) และตราพระราชลัญจกรของพระองค์เป็นรูปครุฑ ซึ่งอาศัยอยู่วิมานฉิมพลี ชื่อเต็มของวัดฉิมพลี คือ วัดฉิมพลีสุทธาวาส คำว่า "สุทธาวาส" ที่พ่วงท้ายชื่อใกล้เคียงกับชื่อเดิมของวัดสุทัศน์ คือ วัดมหาสุทธาวาส วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นวัดที่มีอุโบสถงดงามที่สุดในจังหวัดนนทบุรี เป็นโบสถ์แบบมหาอุตม์ที่ยังรักษาลักษณะสถาปัตยกรรมแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาไว้ได้มาก การบูรณะในช่วงรัชกาลที่ ๒ คงมีการบูรณะใหม่ทั้งวัด และในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดปากอ่าว (วัดปรมัยยิกาวาส) ในครั้งนั้นได้มีพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารตามเสด็จมาบูรณะวัดฉิมพลีสุทธาวาสและวัดใกล้เคียงด้วย
วัดฉิมพลี เป็นวัดประจำชุมชนด่านขนอน มีวัดป่าเลไลยก์ และวัดกลางเกร็ด เป็นวัดใกล้เคียงกัน วัดทั้ง 3 แห่ง เป็นวัดที่มีความงดงามยิ่งกว่าวัดแห่งอื่นๆ ในพื้นที่ปากเกร็ด วัดฉิมพลีสุทธาวาสอยู่ใกล้ด่านปากเกร็ด มีเรือสำเภามาจอดอยู่บริเวณด่านจำนวนมาก ก็มีการเอาตุ๊กตาจีนมาใช้เป็นอับเฉาถ่วงเรือกันเรือโคลง หลังจากนั้นก็นำเอาตุ๊กตาเหล่านั้นมาประดับตกแต่งวัด ที่โดดเด่นคือตุ๊กตาใหญ่ สูงประมาณ 2 เมตร 1 คู่ที่อยู่ข้างซุ้มประตูโบสถ์ นับเป็นวัดเดียวในจังหวัดนนทบุรี แม้แต่ในกรุงเทพฯ เองก็มีไม่กี่วัดเท่านั้นที่จะมีตุ๊กตาจีนใหญ่ขนาดนี้ ตุ๊กตาทั้งคู่เคยถูกขโมยไปจะออกนอกทะเลทางสมุทรปราการ แต่แสดงปาฏิหาริย์ลังแตกจนนำกลับมาได้ดังเดิม ใบหน้าของตุ๊กตายิ้มแย้มแจ่มใสต้อนรับคนที่เข้ามานมัสการพระในอุโบสถ
พระอุโบสถมีขนาด 5 ห้อง แบบมหาอุตม์ โบสถ์ขนาดเล็กงดงามมากและยังมีสภาพสมบูรณ์แบบดั้งเดิม หน้าบันจำหลักไม้เป็นรูปเทพทรงราชรถล้อมรอบด้วยลายดอกไม้ ซุ้มประตูเป็นทรงมณฑป ซุ้มหน้าต่างแบบหน้านาง ยังคงเห็นความงามอยู่ และฐานโบสถ์โค้งแบบเรือสำเภา
พระประธานในโบสถ์เป็นพระพุทธรูปหล่อปางมารวิชัย มีพุทธลักษณะงดงาม ประดิษฐานบนแท่นปั้นลายด้วยปูนปิดทองประดับกระจกสี มีผ้าทิพย์ที่งดงาม มีพระสาวกนั่งพนมมืออยู่บนฐานด้านหน้า
ด้านข้างโบสถ์มีเจดีย์ทรงมอญ เรียกว่าพระมหาจุฬามณีเจดีย์ สร้างแบบย่อมุมไม้สิบหก สมัยกรุงศรีอยุธยา มีเจดีย์ราย 4 องค์ มหาจุฬามณีเจดีย์ประดับกระจกสีตั้งแต่บัวกลุ่มรองรับองค์คอระฆัง เป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบหกองค์เดียวของจังหวัดนนทบุรีที่สร้างสมัยอยุธยาและมีความงดงามมาก
ข้อมูลเพิ่มเติม:การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานกรุงเทพฯ โทร.02 250 5500
http://www.tourismthailand.org/bangkok
Wat Chimpli Sutthawat, also known as Wat Chimpli, is an ancient temple located on Ko Kret Island. Originally called Wat Pa Fai, it was built sometime during the middle Ayutthaya period.
History:
The temple was possibly abandoned during the Burmese occupation in the 18th century.
King Taksin the Great allowed Mon people to settle on Ko Kret after the war, and they restored Wat Pa Fai.
King Rama II renamed the temple Wat Chimpli (after his own name) and ordered a major restoration.
King Rama V also helped restore the temple during his reign.
What to See:
The main building (ordination hall) is considered the most beautiful in Nonthaburi Province. It's built in the Ayutthaya architectural style.
The ordination hall has a unique curved base resembling a junk ship.
The pediment (triangular part above the entrance) is decorated with a carved deity riding a chariot.
The window arches are shaped like women's faces.
The main Buddha statue inside the hall is beautiful and sits on a decorated pedestal.
Other Interesting Features:
There's a 16-angled pagoda called Phra Maha Chulamani, built during the Ayutthaya period and decorated with colored glass.
Two large Chinese dolls stand near the entrance, possibly used as ship ballast in the past.
Overall, Wat Chimpli Sutthawat is a historically significant temple with beautiful architecture and unique features. It's a must-see for anyone visiting Ko Kret Island.