ความหมายของโรคที่เกิดจากการทำงานและการประกอบอาชีพ
1. โรคเกิดจากการประกอบอาชีพ หมายถึงโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนโดยมีสาเหตุประกอบอาชีพเหตุจากการสัมผัสสิ่งคุกคามสุขภาพในที่ประกอบอาชีพ ซึ่งอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติงานในขณะทำงานหรือหลังจากทำงานเป็นเวลานาน และโรคบางอย่างอาจเกิดภายหลังหยุดการทำงานหรือลาออกจากงานนั้นๆแล้ว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งคุกคามสุขภาพ ปริมาณสารที่ได้รับ และโอกาสหรือวิธีการที่ได้รับ ตัวอย่างของโรคที่สำคัญ เช่น โรคพิษตะกั่ว โรคซิลิโคสิส (โรคปอดจากฝุ่นหิน) โรคพิษสารทำละลายต่าง ๆ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ในเชิงสาเหตุและผลกระทบ
2. โรคเนื่องจากการประกอบอาชีพ หมายถึงโรคหรือความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับคนประกอบอาชีพ โดยมีสาเหตุจากปัจจัยหลายอย่างประกอบกันและการประกอบอาชีพ เป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดโรค ทั้งนี้ปัจจัยต่าง ๆ ที่มีส่วนทำให้เกิดโรค อาจได้แก่ พันธุ์กรรม พฤติกรรมสุขภาพของคนประกอบอาชีพ ท่าทางการประกอบอาชีพ ลักษณะหรือระบบงานที่ไม่เหมาะสม ตัวอย่างเช่น โรคปวดหลังจากการประกอบอาชีพ โรคความดันโลหิตสูงเป็นต้น โดยสรุป การเกิดโรคจากการประกอบอาชีพ ถ้ามีปัจจัยจากภายนอกมาทำให้เกิดโรค ก็ถือเป็นโรคจากอาชีพ เช่น โรคพิษตะกั่ว (ตะกั่วไม้ใช่สารองค์ประกอบของร่างกาย) โรคซิลิโคสิส (ฝุ่นหินเป็นสารแปลกปลอมในปอด) เป็นต้น แต่ถ้ามีสาเหตุจากปัจจัยส่วนตัวร่วมกับสภาพและสิ่งแวดล้อมการประกอบอาชีพทำให้อาการของโรคมากขึ้น หรือเกิดความผิดปกติชัดเจนยิ่งขึ้น ก็ถือเป็นกลุ่มโรคเนื่องจากการประกอบอาชีพ เช่น โรคปวดหลัง ซึ่งคนที่มีอริยาบถไม่ถูกต้องมีแนวโน้มปวดหลังได้ง่าย เมื่อต้องมาประกอบอาชีพรีบเร่งหรือยกย้ายของหนัก ๆ ก็ยิ่งทำให้ปวดหลังง่ายขึ้นหรือทำให้อาการปวดหลังกำเริบมากขึ้น เป็นต้น
ปัจจัยหลักโรคเกิดจากการประกอบอาชีพมีอยู่ 3 ปัจจัยคือ
1.สภาพของผู้ประกอบอาชีพ (workers) เด็กและผู้สูงอายุหรือสตรีมีครรภ์มีโอกาสเกิดโรคจากการประกอบอาชีพได้มากขึ้น ลักษณะรูปร่างของคนงานที่ไม่เหมาะสมกับสภาพการประกอบอาชีพสามารถก่อให้เกิดโรคกล้ามเนื้อและกระดูก กรรมพันธุ์มีผลต่อการเกิดโรคบางชนิดได้ เช่น ผู้ป่วยที่เป็น seroderma pigmentosum ซึ่งมีความบกพร่องในการซ่อมแซม DNA ทำให้มีโอกาสเกิดมะเร็งผิวหนังจากการสัมผัสถูกแสงแดดได้ง่ายกว่าบุคคลทั่วไป พฤติกรรมของผู้ทำงานมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการเกิดโรคเกิดจากการประกอบอาชีพ เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่จะทำให้ผู้ประกอบอาชีพมีโอกาสเกิดโรคตับ หรือโรคปอดจากการประกอบอาชีพได้มากขึ้น ประสบการณ์ประกอบอาชีพของผู้ประกอบอาชีพมีผลต่อการเกิดอุบัติเหตุในการประกอบอาชีพ โดยผู้ที่มีประสบการณ์น้อยมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้ค่อนข้างมาก นอกจากนี้ ประสบการณ์ การประกอบอาชีพที่น้อยยังอาจส่งผลให้ขาดการระมัดระวังในการประกอบอาชีพ ที่ต้องสัมผัสกับสิ่งคุกคามต่อสุขภาพต่างๆในที่ทำงานอีกด้วย
2.สภาพงาน (work conditions) ได้แก่ ระบบการประกอบอาชีพ หน้าที่ความรับผิดชอบ การประกอบอาชีพเป็นกะ ค่าจ้าง สวัสดิการ และความสัมพันธ์ ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างมีผลเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคจากการประกอบอาชีพ เช่น ระบบการประกอบอาชีพที่มุ่งเน้นที่จำนวนผลผลิตจะกระตุ้นให้คนงานประมาทขาดความระมัดระวังในการป้องกันอันตราย การประกอบอาชีพเป็นกะ โดยมีการเปลี่ยนกะอยู่เป็นประจำทำให้คนงานมีปัญหาโรคกระเพาะอาหาร โรคหัวใจและปัญหาทางด้านจิตใจและสังคม ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในที่ประกอบอาชีพ มีผลต่อจิตใจและผลผลิตในการประกอบอาชีพ
สิ่งแวดล้อมในการประกอบอาชีพ(workingenvironments)
1. สิ่งแวดล้อมด้านภายภาพ (physical environments) ได้แก่ แสงที่จ้าเกินไปหรือมืดเกินไปมีผลต่อสายตาและสภาพความเครียด เสียงที่ดังเกินไป (noise) ส่งผลให้เกิดภาวะหูเสื่อม อุณหภูมิร้อนหรือหนาวเกินไปทำให้สมดุลย์ของร่างกายเสียไปแรงสั่นสะเทือน
2. สิ่งแวดล้อมด้านชีวภาพ (biological environments) ได้แก่ สิ่งมีชีวิตเล็กๆ ในที่ประกอบอาชีพ ได้แก่ เชื้อโรคชนิดต่างๆ ในสถานพยาบาล สัตว์นำโรคหรือสัตว์มีพิษต่างๆ ที่พบในภาคเกษตรกรรมและเชื้อโรคและสัตว์ทดลองในห้องทดลองวิจัย
3. สิ่งแวดล้อมด้านเคมี (chemical environments) ได้แก่ สารเคมี โลหะหนัก ในรูปฝุ่น ควัน หมอก ละออง ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายทั้งทางการหายใจ การกิน หรือผิวหนัง สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพผู้ประกอบอาชีพได้ทุกระบบทั้งเฉียบพลันเรื้อรังและอาจก่อให้เกิดมะเร็ง
4. สิ่งแวดล้อมทางด้านจิตใจ (psychological environments) ได้แก่ สภาพความเครียดในการประกอบอาชีพ (occu-pational stress) ความเหนื่อยล้าจากการประกอบอาชีพ (burnout) ซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดโรคทางกายได้(psychosomaticdisorders)
5. สิ่งแวดล้อมด้านกายศาสตร์ (ergonomics) กายศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวกับการนำเอาศาสตร์ต่างๆ มาปรับใช้กับการจัดสถานที่ประกอบอาชีพให้เหมาะสมกับผู้ประกอบอาชีพ การที่ลักษณะที่ประกอบอาชีพ เข้ากันไม่ได้กับตัวผู้ประกอบอาชีพ จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุและโรคเกิดจากการประกอบอาชีพได้ เช่น การที่คนงานต้องก้มๆ เงยๆ ประกอบอาชีพ อยู่ตลอดวันทำให้คนงานมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังขึ้นได้ โรคที่เกิดจากการประกอบอาชีพ ส่วนมากไม่สามารถรักษาได้หรือมีความพิการหลงเหลืออยู่หลังการรักษา ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดในการจัดการกับโรคเกิดจากการประกอบอาชีพ คือ การป้องกันโรคการค้นหาวินิจฉัยผู้ป่วยที่เป็นโรค ให้การรักษา และฟื้นฟูสภาพให้กลับเป็นปกติ หลักสำคัญที่จะทำการรักษาและฟื้นฟูได้คงต้องมีการวินิจฉัยที่ถูกต้องนำมาก่อน หลักการวินิจฉัยโรคเกิดจากการประกอบอาชีพ ประกอบด้วย การวินิจฉัยโรค โดยอาศัยหลักการทางการแพทย์ทั่วไปในการวินิจฉัยว่าผู้ประกอบอาชีพป่วยเป็นโรคใด การซักประวัติการทำงานโดยละเอียด มิใช่เพียงคำถามว่าประกอบอาชีพอะไรเท่านั้น การซักประวัติการประกอบอาชีพ
ชนิดของโรคจากการทำงาน
งานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันสำหรับทุกคน บางท่านอาจทำงานหนักมากจนเกินไป ไม่ได้ดูแลใส่ใจในสุขภาพของตัวเองมากเท่าไหร่นัก จนนำมาสู่่โอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคจากการทำงาน ที่ไม่ได้สำแดงขึ้นมาทันที บางทีนับเป็นปีๆ ถึงจะออกฤทธิ์ วันนี้จ๊อบซิตี้ เลยนำบทความโรคจากการทำงานของคนทำงานมาฝากค่ะ
โรคจากการทำงานมีอยู่หลายโรค ทั้งนี้มีการจัดแบ่งโรคจากการทำงาน 2 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ
แบบที่ 1: โรคจากการทำงานตามกองทุนเงินทดแทน
แบบที่ 2: โรคจากการทำงานตามประวัติที่มีเกิดขึ้น
เพื่อให้นายจ้างได้จ่ายเงินทดแทน แก่ผู้ที่เกิดโรคจากการทำงาน รัฐจึงได้ประกาศกฎหมายแรงงาน เพื่อกำหนดรายชื่อโรคจากการทำงาน และโรคที่เกี่ยวเนื่องจากการทำงาน 32 โรค โดยรายชื่อโรคจากการทำงานทั้ง 32 โรค ได้แก่
1. โรคจากตะกั่วหรือสารประกอบของตะกั่ว
2. โรคจากแมงกานีสหรือสารประกอบของแมงกานีส
3. โรคจากสารหนูหรือสารประกอบของสารหนู
4. โรคจากเบอริลเลี่ยมหรือสารประกอบของเบอริลเลี่ยม
5. โรคจากปรอทหรือสารประกอบของปรอท
6. โรคจากโครเมี่ยมหรือสารประกอบของโครเมี่ยม
7. โรคจากนิเกิ้ลหรือสารประกอบของนิเกิ้ล
8. โรคจากสังกะสีหรือสารประกอบของสังกะสี
9. โรคจากแคดเมี่ยมหรือสารประกอบของแคดเมี่ยม
10. โรคจากฟอสฟอรัสหรือสารประกอบของฟอสฟอรัส
11. โรคจากคาร์บอนไดซัลไฟด์
12. โรคจากไฮโดรเจนซัลไฟด์
13. โรคจากซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์หรือกรดซัลฟูริค
14. โรคจากไนโตรเจนอ๊อกไซด์หรือกรดไนตริค
15. โรคจากแอมโมเนีย
16. โรคจากคลอรีนหรือสารประกอบของคลอรีน
17. โรคจากคาร์บอนมอนอกไซด์
18. โรคจากเบนซินหรือสารประกอบของเบนซิน
19. โรคจากฮาโลเจนซึ่งเป็นอนุพันธ์ของไฮโดรเจนกลุ่มน้ำมัน
20. โรคจากสารกำจัดศัตรูพืช
21. โรคจากสารเคมีอื่นหรือสารประกอบสารเคมีอื่น
22. โรคจากเสียง
23. โรคจากความร้อน
24. โรคจากความเย็น
25. โรคจากความสั่นสะเทือน
26. โรคจากความกดดันอากาศ
27. โรคจากรังสีไม่แตกตัว
28. โรคจากรังสีแตกตัว
29. โรคจากแสงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอื่นๆ
30. โรคจากฝุ่น
31. โรคติดเชื้อจากการทำงาน
32. โรคอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นตามลักษณะหรือสภาพของงานหรือเนื่องจากการทำงาน
ซึ่งชนิดของโรคจากการทำงานมีอยู่มากมาย อาจแบ่งตามสาเหตุของสิ่งที่ทำให้เกิดโรค ได้ดังนี้
1. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ
1.1. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากความร้อน
1.2. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากความเย็น
1.3. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากเสียงดัง
1.4. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากแสงหรือรังสีที่ไม่แตกตัว
1.5. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากรังสีที่แตกตัว
1.6. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากความสั่นสะเทือน
1.7. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากความกดดันบรรยากาศ
2. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ
2.1. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
2.1.1. โรคบาดทะยัก
2.1.2. วัณโรค
2.1.3. โรคเลปโตสไปโรซิส
2.1.4. โรคแอนแทรกซ์
2.1.5. โรคบรูเซลโลซิส
2.1.6. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ
2.2. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส
2.2.1. โรคเอดส์
2.2.2. โรคตับอักเสบจากเชื้อไวรัส
2.2.3. โรคพิษสุนัขบ้า
2.2.4. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ
2.3. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อจุลชีพอื่นๆ
2.3.1. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อคลาเมียเดียและริคเคทเซีย
2.3.2. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อรา
2.3.3. โรคติดเชื้อจากการทำงานที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิต
3. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากสารโลหะ
3.1. โรคจากการแพ้พิษตะกั่ว
3.2. โรคจากการแพ้พิษแมงกานีส
3.3. โรคจากการแพ้พิษสารหนู
3.4. โรคจากการแพ้พิษโครเมียม
3.5. โรคจากการแพ้พิษแคดเมียม
3.6. โรคจากการแพ้พิษสังกะสี
3.7. โรคจากการแพ้พิษฟอสฟอรัส
3.8. โรคจากการแพ้พิษนิกเกิล
3.9. โรคจากการแพ้พิษเบริลเลียม
3.10. โรคจากการแพ้พิษโลหะอื่นๆ
4. โรคจากการทำงานที่มีสาเหตุจากสารตัวทำละลาย หรือก๊าซ
4.1. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายกลุ่มไฮโดรคาร์บอน
4.1.1. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายอะลิฟาติก ไฮโดรคาร์บอน
4.1.2. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายอะลิไซคลิก ไฮโดรคาร์บอน
4.1.3. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน
4.1.4. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายฮาโลจีเนทเต็ด ไฮโดรคาร์บอน
4.2. โรคที่เกิดจากพิษตัวทำละลายอื่นๆ
4.2.1. โรคที่เกิดจากพิษแอลกอฮอล์
4.2.2. โรคที่เกิดจากพิษอีเทอร์
4.2.3. โรคที่เกิดจากพิษคีโตน
4.2.4. โรคที่เกิดจากพิษไกลคอลและอนุพันธ์ของไกลคอล
4.2.5. โรคที่เกิดจากพิษเอสเตอร์และอัลดีไฮด์
4.3. โรคที่เกิดจากก๊าซกลุ่มที่ทำให้หมดสติ
4.3.1. โรคที่เกิดจากก๊าซพิษที่ทำให้หมดสติโดยการขาดออกซิเจน
4.3.2. โรคที่เกิดจากก๊าซพิษที่ทำให้หมดสติโดยปฏิกิริยาทางเคมี
4.4. โรคที่เกิดจากก๊าซกลุ่มที่ทำให้เกิดการระคายเคือง
4.4.1. โรคจากก๊าซพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์
4.4.2. โรคจากก๊าซพิษแอมโมเนีย
4.4.3. โรคจากก๊าซพิษออกไซด์ของไนโตรเจน
4.4.4. โรคจากก๊าซพิษคลอรีนและก๊าซพิษอื่นๆ
5. โรคผิวหนังจากการทำงาน
5.1. โรคผิวหนังอักเสบระคายเคืองจากการสัมผัสสารเคมี
5.2. โรคผิวหนังอักเสบจากสารก่อภูมิแพ้
5.3. โรคผิวหนังอื่นๆ จากการทำงาน
6. โรคมะเร็งจากการทำงาน
6.1. โรคมะเร็งผิวหนัง
6.2. โรคมะเร็งปอด
6.3. โรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
6.4. โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
6.5. โรคมะเร็งตับ
6.6. โรคมะเร็งจมูก
7. โรคปอดจากการทำงาน
7.1. โรคปอดจากการทำงานที่มีสาเหตุจากฝุ่นสารอนินทรีย์
7.1.1. โรคปอดจากฝุ่นซิลิกา
7.1.2. โรคปอดจากฝุ่นแอสเบสตอส
7.1.3. โรคปอดจากฝุ่นสารอนินทรีย์อื่นๆ
7.2. โรคปอดจากการทำงานที่มีสาเหตุจากฝุ่นสารอินทรีย์
7.2.1. โรคหอบหืดจากการทำงาน
7.2.2. โรคถุงลมอักเสบจากภูมิแพ้ภายนอก
7.2.3. โรคบิสซิโนซิส
8. โรคระบบการเคลี่อนไหวและกล้ามเนื้อที่เกิดจากการทำงาน
8.1. โรคของกระดูกและข้อที่เกิดจากการทำงาน
8.1.1. กระดูกหัก
8.1.2. บาดเจ็บที่ข้อ
8.1.3. ภาวะปวดหลัง
8.2. โรคของกล้ามเนื้อและส่วนที่เกี่ยวข้องที่เกิดจากการทำงาน
8.2.1. การบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อและเอ็น
8.2.2. การอักเสบของส่วนที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ
8.3. โรคของระบบประสาทที่เกิดจากการทำงาน
8.3.1. หมอนรองกระดูกสันหลังเบียดหรือกดรากประสาท
8.3.2. เส้นประสาทถูกบีบหรือรัด
8.3.3. การบาดเจ็บต่อไขสันหลังและเส้นประสาท
8.4. โรคของกระดูกและข้อ กล้ามเนื้อ และระบบประสาท ที่มีผลต่อการทำงาน
8.4.1. โรคของกระดูกและข้อที่มีผลต่อการทำงาน
8.4.2. โรคของกล้ามเนื้อและส่วนที่เกี่ยวข้องที่มีผลต่อการทำงาน
8.4.3. โรคของระบบประสาทที่มีผลต่อการทำงาน
9. โรคซึ่งเป็นผลโดยอ้อมจากการทำงาน
9.1. โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน
9.2. ความดันโลหิตสูง
9.3. โรคกระเพาะอาหาร
10. โรคที่เกิดจากการใช้จอภาพคอมพิวเตอร์
10.1. โรคที่มีผลต่อสายตาที่มีสาเหตุจากการใช้จอภาพคอมพิวเตอร์
10.2. โรคที่มีผลต่อระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่มีสาเหตุจากการใช้จอภาพคอมพิวเตอร์
10.3. โรคที่มีผลต่อระบบอวัยวะสืบพันธุ์ที่มีสาเหตุจากการใช้จอภาพคอมพิวเตอร์
10.4. โรคที่มีผลต่อระบบอวัยวะอื่นๆ ที่มีสาเหตุจากการใช้จอภาพคอมพิวเตอร์
11. โรคที่เป็นผลกระทบจากการทำงานเป็นกะ
11.1. ผลกระทบจากการทำงานเป็นกะต่อสุขภาพทั่วไป
11.2. ผลกระทบจากการทำงานเป็นกะต่อผู้มีปัญหาสุขภาพ
11.3. ผลกระทบจากการทำงานเป็นกะต่อความปลอดภัยและการดำเนินชีวิตทางสังคม
12. โรคความเครียดจากการทำงาน
13. โรคที่เกิดจากการทำงานอาชีพเกษตรกรรม
13.1. โรคที่เกิดจากการใช้เครื่องจักรกลในอาชีพเกษตรกรรม
13.2. โรคที่เกิดจากการใช้สารเคมีในอาชีพเกษตรกรรม
การป้องกันโรคจากการทำงาน
ปัจจัยที่มีผลต่อการเกิดโรคในคนอย่างหนึ่งคือ ความทนทาน (tolerance) และความไวรับต่อโรค (susceptibility) ที่จะไม่เท่ากันในคนแต่ละคน ปัจจัยนี้อาจขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม โรคประจำตัว พฤติกรรมสุขภาพ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดโอกาสในการเกิดโรคในคนแต่ละคนได้ โดยทั่วไปคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ก็จะมีความทนทานต่อโรคสูง เมื่อมาทำงานสัมผัสกับสิ่งคุกคาม โอกาสเกิดโรคก็จะน้อย ส่วนคนที่มีความไวรับต่อโรค ไม่ว่าจะด้วยจากสาเหตุที่มีสุขภาพอ่อนแอ มีปัจจัยทางพันธุกรรมที่เอื้อต่อการเกิดโรค มีพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ดี หรือปัจจัยอื่นใดก็ตาม คนเหล่านี้จะเกิดโรคได้ง่ายกว่า
การแก้ไขที่ปัจจัยของคนทำงาน หากจะกล่าวไปแล้วจัดว่าเป็นการแก้ไขที่ยากที่สุดในกระบวนการ เนื่องจากเป็นการแก้ไขที่ “คน” ซึ่งต้องใช้ความเข้าใจและความร่วมมือจากตัวคนทำงานอย่างมาก วิธีการที่จะแก้ไขทำได้ 2 วิธี คือ (1) การเพิ่มความทนทานต่อโรคให้กับคนที่จะมาทำงาน และ (2) การห้ามไม่ให้คนที่มีความไวรับต่อโรคเข้ามาทำงาน
(1) การเพิ่มความทนทาน (tolerance ) หรือความต้านทาน (resistant ) ต่อโรคให้กับคนที่จะมาทำงาน ตัวอย่างเช่น งานพยาบาลมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีจากการถูกเข็มทิ่มตำ เราก็แก้ไขด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี (hepatitis B vaccine) ให้กับพยาบาลที่จะมาทำงาน เมื่อพยาบาลมีภูมิคุ้มกันต่อโรคไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็จะลดโอกาสการติดโรคนี้ลง หรือกรณีของคนที่ทำงานท่าทางซ้ำซาก ต้องใช้มือทำท่าซ้ำๆ ตลอดทั้งวัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเอ็นอักเสบขึ้น การให้คนทำงาน ทำกายบริหารยืดเส้นยืดสาย (stretching exercise ) เพื่อหวังจะเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น จะช่วยลดโอกาสการอักเสบที่เส้นเอ็นได้ วิธีนี้เราจะทำได้ต่อเมื่อสิ่งคุกคามนั้น มีวิธีการ หรือวัคซีน หรือยาที่ใช้ป้องกันได้
(2) อีกวิธีหนึ่งคือการกันไม่ให้คนที่มีความไวรับต่อโรค (susceptible group) เข้ามาทำงานที่เสี่ยง เช่น คนที่มีพันธุกรรมเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม (มียีนชนิด BRCA mutation) ก็ห้ามไม่ให้ทำงานกะดึก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมขึ้น คนที่สูบบุหรี่จัด มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด ก็ห้ามไม่ให้ทำงานสัมผัสแร่ใยหิน (asbestos) เพื่อลดความเสี่ยง เพราะแร่ใยหินก่อโรคมะเร็งปอดได้เช่นกัน หรือคนที่กระดูกสันหลังคด ก็ห้ามไม่ให้ทำงานยกของหนัก เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลัง วิธีการนี้โดยหลักการอาจเป็นวิธีหนึ่งที่ป้องกันโรคได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้นไม่นิยมทำ เนื่องจากจะมีประเด็นปัญหาทางจริยธรรมได้
การดำเนินการห้ามคนเข้ามาทำงานจะทำได้จริงเพียงบางกรณีเท่านั้น เช่น หากมีความผิดปกติทางกายภาพชัดเจน และดูจะเป็นอันตรายต่อตัวคนทำงานจริงๆ (unfit for work) ซึ่งถ้าอนุญาตให้เข้ามาทำงานมีโอกาสเกิดโรคหรืออุบัติเหตุจนเสียชีวิตได้สูงมาก ก็อาจปฏิเสธการให้ทำงานได้โดยไม่ผิดหลักจริยธรรมนัก (ที่ปฏิเสธการให้เข้ามาทำงานเพราะหวังดีต่อคนทำงานนั้น) ตัวอย่างเช่น ถ้ามีช่างทาสีคนหนึ่งอ้วนมาก ดัชนีมวลกาย 40 อีกทั้งยังเป็นโรคหอบหืดที่ควบคุมอาการไม่ได้ ถ้าจะให้ลงไปทำงานทาสีในอุโมงค์ที่มีความลึกลงไปจากพื้นดิน 20 เมตร ต้องปีนบันไดลงไป อีกทั้งยังเป็นที่อับอากาศ ต้องใส่ชุดที่มีถังออกซิเจนติดตัวด้วย กรณีเช่นนี้ การปฏิเสธไม่ให้เข้าไปทำงานสามารถทำได้ (โดยหากเขาเป็นพนักงานประจำของบริษัทใดแล้ว ฝ่ายบุคคลของบริษัทนั้นมีหน้าที่จัดหางานอื่นที่เหมาะสมให้เขาทำแทนต่อไป)
แต่หากเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลบางอย่าง เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา หรือเป็นเรื่องของปัจจัยทางพันธุกรรม หากห้ามไม่ให้คนเข้าไปทำงานด้วยประเด็นเหล่านี้ มักจะประสบกับปัญหาจริยธรรมในเรื่องการเลือกปฏิบัติ (discrimination) การเลือกแก้ไขที่สิ่งคุกคามหรือแก้ไขที่สิ่งแวดล้อมนั้นดูจะง่ายกว่า
วัตถุประสงค์และกิจกรรมการเฝ้าระวังโรคจากการทำงาน
- โรคปอดและทางเดินหายใจ
- โรคผิวหนังและโรคมะเร็ง
- โรคพิษจากสารระเหยและสารทำละลาย
- โรคพิษจากโลหะหนัก
- โรคจากก๊าซพิษหรือไอกรด
- โรคจากสภาวะทางกายภาพ
- โรคจากพิษสารเคมีทางการเกษตร
- โรคจากการประกอบอาชีพหรือจากสิ่งแวดล้อมอื่นๆ
1. ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก
- Carpal tunnel syndrome
- De Quervain’s tenosynnovitis
- Cervical strain
2. ระบบทางเดินหายใจ
- Asbestosis - Asthma
- Silicosis - Bronchitis
- Bysisinosis - Upper airway irritation
3. ระบบประสาท
- Chronic encepalopathy
- Peripheral polyneuropathy
- Hearing loss
4. การติดเชื้อ
- ผ่านทางเลือด
- ผ่านทางอากาศ
- ผ่านทางการกิน
5. มะเร็ง
- Lung
- Liver
- Bladder
6. ผิวหนัง
- Contact dermatitis
- Irritant dermatitis
7. ระบบอวัยวะสืบพันธุ์
- Spontaneous abortion
- Sperm abnormalities
- Birth defects
- Developmental abnormalities
8. ระบบหัวใจและหลอดเลือด
- Coronary artery disease
9. ระบบทางเดินอาหาร
- Hepatitis
การป้องกันโรคจากการทำงาน
1. การสำรวจปัจจัยที่อาจก่อให้เกิดโรคจากการทำงาน
2. การตรวจสุขภาพคนงาน เมื่อแรกรับเข้าทำงาน
3. การจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลให้สวมใส่ขณะทำงาน
4. การฝึกอบรมด้านการดูแลสุขภาพอนามัยตนเองของคนงาน
5. การให้ภูมิคุ้มกันโรคจากการทำงาน
6. การจัดสวัสดิการเพื่อสุขภาพคนงาน
กิจกรรมในระยะก่อนปรากฏอาการของโรค
1. การเฝ้าระวังโรคจากการทำงาน
* การตรวจสุขภาพคนงานเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง
* การเฝ้าระวังสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
2. การสับเปลี่ยนงานให้คนงาน
กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติเมื่อมีอาการของโรคปรากฏขึ้น
1. การรักษาผู้ป่วย
2. การค้นหาสาเหตุของการเจ็บป่วย
3. หรือโรคจากการทำงาน
4. การเก็บสถิติการเจ็บป่วย
กิจกรรมภายหลังจากการบำบัดอาการโรค
1. การฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายและจิตใจ
2. การตรวจสุขภาพก่อนรับกลับเข้าทำงานและการจัดหางานที่เหมาะสมให้ทำ
หลักการป้องกันและควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพสามารถจัดบริการอาชีวอนามัยได้ 2 ประเภท
1. การจัดบริการทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการค้นหาอันตรายและการประเมินความเสี่ยงด้านสุขภาพของคนทำงาน
2. กิจกรรมที่ควบคุมปัจจัยสภาพการทำงานและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
ประเภทของการเฝ้าระวังโรคจากการทำงาน
ทุกองค์กรมีคนทำงานหลากหลายประเภท ตามหน้าที่แตกต่างกันไป และทุกประเภทมีความสำคัญตามหน้าที่ของงานที่องค์กรขาดไม่ได้ รวมทั้งทุกประเภทก็ต้องมีการพัฒนาความรู้ ความสามารถอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการทำงานในยุคสังคมความรู้ สังคมสื่อสาร สังคมที่มีแข่งขันกันพัฒนา และสังคมที่มีการแก่งแย่งชิงดีกัน ดังนั้น เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกกันอย่างมีความสุข สร้างสรรค์ แบ่งปัน พัฒนา คนทำงานต้องมีคุณลักษณะ เป็น คนเก่ง คนดี และเรียนรู้เร็ว
ใครที่ทำงานไปวัน ๆ จะตามไม่ทันยุุุุุุค สมัย และตกยุคเอาง่าย ๆ ซึ่งทำให้การทำงานดูเหมือนยาก ที่ต้องตื่นตัวตลอดเวลา แต่คิดอีกที ก็ทำให้ตื่นเต้นตลอดเวลา เพราะมีของใหม่ ๆ ติดตามทุกเวลา ไม่จำเจ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้ ทฤษฎี วิธีการทำงาน การให้บริการ เทคโนโลยี ซึ่งหากใครที่ติดตามทัน ก็ช่วยให้ประหยัดเวลา แรงงานได้ จะเห็นได้ว่า คนสามารถจัดการการเงินได้โดยไม่ต้องไปธนาคาร สามารถจ่ายเงิน ติดตามข้อมูลบัญชีผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของการประหยัดเวลา แรงงาน รวมถึงพลังงานที่ลดการใช้ยานพาหนะทุกประเภทไปธนาคาร
เอ้า มาดูว่า ในองค์กรหนึ่ง ๆ มีคนทำงานแบ่งเป็นกี่ประเภท และเรียกตามบทบาทหน้าที่ว่าอะไร
การทำงานที่ใช้แรง ตามที่สั่ง เรียก แรงงาน
การทำงานเฉพาะความรู้ที่มี เฉพาะหน้าที่ เรียก พนักงาน
การทำงานในหน้าที่จนชำนาญ เรียก ชำนาญงาน
การทำงานพร้อมการค้นคว้า หาความรู้ พัฒนางานที่เพิ่มมูลค่า ลดเวลา ต่าใช้จ่าย อย่างต่อเนื่อง เรียก ชำนาญการ
การทำงาน พัฒนางานที่มีการใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง ต่อเนื่อง ทั้งภายในและส่วนงานอื่น หน่วยงานอื่นงานอื่น คือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรียก เชี่ยวชาญ
การทำงานอย่างรอบรู้เป็นระบบและประสานดำเนินการ ประสานคน ให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล เรียก จัดการงาน
การทำงานอย่างมีการวิเคราะห์ คาดการณ์ ตั้งเป้าหมาย มีแผน มีระบบ จัดสรร แบ่งงาน สนับสนุน แบ่งปัน พัฒนา ติดตาม ให้งาน ให้องค์กรก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง เรียก บริหารงาน
อย่างที่บอกแล้วว่า ทุกประเภทมีความสำคัญตามหน้าที่ และการที่องค์กรสามารถทำหน้าที่ได้ดี ทุกคนต้องเรียนรู้จักหน้าที่ให้ดี และต้องรับผิดชอบในหน้าที่ให้ครบถ้วน เพราะทุกหน้าที่เป็นห่วงโซ่ที่มีมูลค่า ที่เรียกว่า value chain ต่อเนื่องกันไป การสะดุดข้อใดข้อหนึ่งก็ทำให้ โซ่ขาด งานสะดุด เหมือนขี่จักยาน หากโซ่ขาด โซ่ฝืด ย่อมตามไม่ทันคนอื่นแน่นอน
ประโยชน์ของการเฝ้าระวังโรคจากการทำงาน
1. เพื่อให้สามารถระบุการระบาดของโรคได้อย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่าง เช่น การเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ เพื่อให้สามารถตรวจพบผู้ป่วยด้วยโรคไข้หวัดนกได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้สามารถควบคุมการแพร่กระจายของโรคให้จำกัดอยู่ภายในบริเวณแคบๆ ได้ นอกจากนี้ข้อมูลอัตราการเกิดโรคในภาวะปกติจากการเฝ้าระวังโรคยังสามารถใช้เป็นฐาน สำหรับเปรียบเทียบกับอัตราการเกิดโรคที่เพิ่มสูงขึ้นในกรณีที่เกิดโรคระบาดได้อีกด้วย เช่น การเฝ้าระวังผู้ป่วยโรคท้องเสียที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจะช่วยให้สามารถระบุการระบาดของโรคจากอาหารได้ เป็นต้น
2. เพื่อประเมินผลมาตรการควบคุมและป้องกันโรค เช่น การเฝ้าระวังโรคโปลิโอ (poliomyelitis) เพื่อติดตามดูว่าอัตราการป่วยลดลงหลังจากการรณรงค์ทำวัคซีนในระดับประเทศหรือไม่ หรือการเฝ้าระวังระดับภูมิต้านทานที่สามารถต้านทานต่อการสัมผัสเชื้อได้หรือไม่ เป็นการยืนยันว่ามาตรการควบคุมโรคโดยการใช้วัคซีนได้ผลดีเพียงใด
3. เพื่อระบุโรคใหม่และโรคอุบัติซ้ำ เช่น การค้นพบโรคเอดส์ซึ่งเริ่มต้นจากการเฝ้าระวังการจ่ายยารักษาโรคติดเชื้อราในผู้ที่มีภูมิต้านทานบกพร่อง หรือการค้นพบโรคไข้สมองอักเสบจากเชื้อ West Nile virus หรือเชื้อ Nipah virus ที่เป็นโรคใหม่ แต่มีอาการแสดงเหมือนโรคของระบบประสาทส่วนกลางอื่นๆ ที่ทำการเฝ้าระวังอยู่ เป็นต้น นอกจากนี้ในกรณีของโรคที่มีอัตราการเกิดโรคค่อนข้างคงที่ การเฝ้าระวังชนิดของเชื้อโรค อาจช่วยระบุการอุบัติซ้ำของเชื้อที่เคยรักษาได้ด้วยยาก่อนหน้านี้ เช่น การเฝ้าระวังชนิดของเชื้อมาลาเรียจะทำให้ทราบว่าเชื้อชนิดใดที่กำลังระบาดอยู่ ซึ่งจะช่วยให้สามารถเลือกใช้ยาได้อย่างเหมาะสมต่อไป
4. เพื่อทำนายแนวโน้มการเกิดโรคในอนาคต ทั้งนี้แนวโน้มการเกิดโรคหมายถึงจำนวนผู้ติดเชื้อหรือผู้ป่วยที่จะเกิดขึ้น หากไม่มีปัจจัยที่ทำให้อัตราการเกิดโรคเปลี่ยนแปลง และเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการวางแผนงานควบคุมและป้องกันโรค ซึ่งครอบคลุมการจัดการทรัพยากรต่าง ๆ ตั้งแต่บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ตลอดจนยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคที่ผู้ป่วยมีอาการป่วยเรื้อรังและต้องการการดูแลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน เช่น โรคเอดส์หรือวัณโรค เป็นต้น
5. เพื่อจัดลำดับความสำคัญของมาตรการควบคุมและป้องกันโรค เช่น การเฝ้าระวังการรักษาผู้ป่วยวัณโรค ทำให้ทราบว่าการติดตามให้ผู้ป่วยรับประทานยาให้ครบมีความสำคัญพอ ๆ กับการให้ผู้ป่วยได้รับยา เนื่องจากอัตราการหายจากโรคเพิ่มสูงขึ้นเมื่อมีการติดตามให้ผู้ป่วยรับประทานยาจนครบ เป็นต้น
6. เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับการศึกษาวิจัย ทั้งนี้ข้อมูลการเฝ้าระวังโรคเป็นฐานข้อมูลแบบไปข้างหน้า (prospective) ผู้วิจัยสามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคได้ ทั้งการศึกษาโรคที่เกิดในปัจจุบัน (cohort study) และโรคที่สงสัยว่ามีมาตั้งแต่ในอดีต (retrospective cohort study) ข้อมูลในลักษณะนี้สามารถใช้คำนวณความเสี่ยงของการเกิดโรคในประชากรกลุ่มต่างๆ ได้ด้วย
7. เพื่อยืนยันการปลอดโรค ตามข้อกำหนดของทั้งองค์การอนามัยโลก (World Health Organization: WHO) และองค์การโรคระบาดสัตว์ระหว่างประเทศ (World Organization for Animal Health หรือ Office International des Epizooties: OIE) นั้น การประกาศเขตปลอดโรคในประเทศใดหรือบริเวณใดจะต้องมีการเฝ้าระวังโรค เพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการเกิดโรคในบริเวณนั้นจริง นอกจากนี้สำหรับโรคระบาดสัตว์ เช่น โรคปากและเท้าเปื่อย จะต้องทำการเฝ้าระวังระดับภูมิต้านทานของสัตว์ที่ไม่ได้รับวัคซีนเพื่อพิสูจน์ว่าไม่มีการสัมผัสเชื้อจากสิ่งแวดล้อมหรือจากสัตว์ตัวอื่นอีกด้วย