แหล่งเรียนรู้ --->
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับภาวะแวดล้อม
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานเรื่องความร้อง แสง และเสียง
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บังคับกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปทุกประเภท
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
แบ่งเป็น 4 เรื่อง คือ
1. ความร้อน
2. แสงสว่าง
3. เสียง
4. มาตรฐานของอุปกรณ์
1. ความร้อน
อุณหภูมิที่ลูกจ้างมาทำงานต้องไม่สูงกว่า 45 องศาเซลเซียส วัดอุณหภูมิของร่างกายต้องไม่สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ( ไม่รวมกรณีที่เป็นไข้ ซึ่งปกติอุณหภูมิร่างกาย 37 องศาเซลเซียสทางแก้ไข ถ้าที่ทำงานมีอุณหภูมิเกิน 45 องศาเซลเซียสให้ปรับ ให้ปรับปรุงแหล่งกำหนดความร้อนถ้าแก้ไขไม่ได้ต้องจัดอุปกรณ์ป้องกันความร้อนถ้าอุณหภูมิร่างกายเกิน 38 องศาเซลเซียส ต้องให้หยุดพักชั่วคราว
2. แสงสว่าง
กำหนดให้มีแสงสว่างไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ โดยจำแนกตามลักษณะงานดังนี้
1. งานที่ไม่ต้องการความละเอียด 50 ลักซ์
2. งานที่ต้องการความละเอียดเล็กน้อย 100 ลักซ์
3. งานที่ต้องการความละเอียดปานกลาง 200 ลักซ์
4. งานที่ต้องการความละเอียดสูง 300 ลักซ์
5. งานที่ต้องการความละเอียดเป็นพิเศษ 1,000 ลักซ์
6. ทางเดินภายนอกอาคาร 20 ลักซ์
7. ทางเดินภายในอาคาร 50 ลักซ์
3. เสียง
1. ทำงานไม่เกินวันละ 7 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 71 dB(A)
2. ทำงานเกินกว่าวันละ 7 ชั่วโมง แต่ไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 80 dB(A)
3. ทำงานเกินวันละ 8 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 80 dB(A)
4. ระดับเสียงสูงสุดต้องไม่เกิน 140 dB(A)
ทางแก้ไข
1. ปรับปรุงแก้ไขต้นกำเนิดเสียง
2. ทางผ่านของเสียง
3. สวมใส่ปลั๊กลดเสียงหรือครอบหูลดเสียง
4. มาตรฐานของอุปกรณ์
1. หมวกแข็งหนักไม่เกิน 420 กรัม ไม่ทำด้วยโลหะ ทนแรงกระแทกอย่างต่ำ 385 กก.
2. ปลั๊กลดเสียงได้อย่างต่ำ 15 เดซิเบล
3. ครอบหูลดเสียงได้อย่างต่ำ 25 เดซิเบล
ข้อควรจำ
ลักซ์ (Lux) คือ หน่วยวัดความเข้มของการส่องสว่างที่พื้นผิว 1 ม.2 เมื่อมีการส่องสว่างตกกระทบ 1 ลูเมน
ลูเมน (Lumen) คือ หน่วยวัดการส่องสว่าง จากจุดกำเนิดแสงที่มีความเข้มแสง 1 cd (Candle)
เดซิเบล (deci Bel = dB) คือ หน่วยวัดระดับความดังเสียง (Sound Pressure Level) เช่น ระดับ A ความถี่ต่ำเป็นระดับที่หูคนรับฟังได้ สำหรับระดับ B ความถี่ปานกลาง เช่นเสียงรถบันทุกวิ่งประมาณ 90 dB ระดับ C จะสูงมากหูคนรับฟังไม่ได้
ฟูมหรือฟูมโลหะ (Fume) คือ ไอโลหะจากงานบัดกรี หลอมโลหะและเชื่อมโลหะ
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อป้องกันมิให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากการทำงานเกี่ยวกับสารเคมี ทั้งในรูปของแข็ง ของเหลว และแก๊สที่จะทำให้เกิดอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างในเรื่องการกัดกร่อน ระคายเคือง มีพิษแพ้ก่อมะเร็ง การระเบิดหรือไวไฟ รวมทั้งการเกิดอันตรายจากสารกัมมันตภาพรังสี
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ครอบคลุมทุกประเภทของสถานประกอบการที่ให้ลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
1. กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
1.1 กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
1) แจ้งสารเคมีอันตรายที่อยู่ในครอบครองตามที่อธิบดีจะได้กำหนด
2) ต้องส่งรายงานความปลอดภัยและการประเมินการก่ออันตรายจากสารเคมีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งตามที่อธิบดีจะได้กำหนด
1.2 กำหนดให้นายจ้างต้องปฏิบัติในเรื่องดังต่อไปนี้
1) แจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับสารเคมีอันตราย
2) การเก็บรักษา การขนส่ง นำสารเคมีอันตรายเข้าไปในสถานประกอบการต้องจัดฉลากปิดที่ภาชนะที่บันจุหรือหีบห่อหุ้มสารเคมีอันตราย
3) สถานที่เก็บ วิธีการเก็บสารเคมีอันตรายต้องปลอดภัยตามสภาพหือตามคุณลักษณะของสารเคมีอันตราย
4) สถานที่ทำงานต้องสะอาด มีการระบายอากาศที่เหมาะสม มีออกซิเจนไม่ต่ำกว่าร้อยละสิบแปด โดยปริมาตร และมีระบบป้องกันและกำจัดไม่ให้สารเคมีในบรรยากาศมีปริมาณเกินกำหนด
5) ไม่ให้ลูกจ้างพักอาศัยในที่ทำงานเก็บสารเคมีอันตราย
6) ตรวจวันสารเคมีในบรรยากาศเป็นประจำ
7) ต้องจัดทำรายงานความปลอดภัยและประเมินการก่ออันตรายของสารเคมี
8) จัดที่ล้างมือ ล้างหน้า ห้องอาบน้ำ ที่เก็บเสื้อผ้า
9) อบรมลูกจ้างให้เข้าใจเรื่องการเก็บรักษา ขนส่ง กระบวนการผลิต อันตรายที่จะเกิดขึ้น วิธีการควบคุมและป้องกัน วิธีการอพยพ / เคลื่อนย้าย
10) ตรวจสุขภาพลูกจ้างทุกปี
11) จัดอุปกรณ์ดับเพลิงให้เหมาะสม
12) จัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคล
13) จัดอุปกรณีและเวชภัณฑ์การปฐมพยาบาล
2. กำหนดให้ลูกจ้างต้องปฏิบัติดังนี้
1) ลูกจ้างต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ ระเบียบ คำสั่ง หรือมาตรการต่างๆ
2) ลูกจ้างต้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้งครองความปลอดภัยส่วนบุคคลที่นายจ้างจัดให้
เรื่อง ความปลอดภัยเกี่ยวกับไฟฟ้า
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อควบคุมอันตรายจากไฟฟ้าตั้งแต่อุปกรณ์ไฟฟ้า สายไฟฟ้า ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้การเดินสายไฟฟ้าการป้องกันกะแสไฟฟ้าเกินขนาด สายดิน สายล้อฟ้า ตรวจจนอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลที่ใช้ในการทำงานเกี่ยวกับไฟฟ้า
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บังคับกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไปทุกประเภท
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
1. สายไฟฟ้าและอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ชำรุด
2. การปฏิบัติงานใกล้สิ่งที่มีไฟฟ้าต้องรักษาระยะห่างตามที่กำหนดเว้นแต่
ก. ใส่เครื่องป้องกัน
ข.มีฉนวนหุ้ม
ค. มีเทคนิคการปฏิบัติงาน
3. ชนิดของสายไฟฟ้าที่ใช้ต้องเหมาะกับการใช้งานและเป็นไปตามมาตรฐาน
4. มีเครื่องตัดกระแสติดตั้งไว้ ณ จุดที่มีการเปลี่ยนขนาดสาย และระหว่างเครื่องวัดไฟฟ้ากับสายภายในอาคาร
5. อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดเคลื่อนที่ใช้สายเคเบิลอ่อนและสายอ่อนต้องไม่มีรอยต่อหรือต่อแยก
6. มีการติดตั้งเต้าเสียบเพียงพอต่อการใช้งาน
7. การติดตั้งหม้อแปลงไฟฟ้าที่มีแรงดัน 800 โวลต์ขึ้นไป ต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
8. สวิตช์ทุกตัวบนแผงสวิตช์ต้องเข้าถึงได้ง่ายเพื่อสะดวกต่อการปลดแผงสวิตช์มีความแข็งแรงเพียงพอที่จะทนต่อแรงปลดได้
9. อุปกรณ์ไฟฟ้ามีเปลือกเป็นโลหะต้องต่อสายดิน
10. มีการป้องกันฟ้าผ่าของปล่องควัน
11. การจัดอุปกรณ์ป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าที่มีแรงดันมากกว่า 50โวลต์ขึ้นไป
เรื่อง การป้องกนและระงับอัคคีภัยในสถานที่ประกอบเพื่อความปลอดภัยในการทำงานสำหรับลูกจ้าง
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
1. เพื่อป้องกันมีให้ลูกจ้างได้รับอันตรายจากอัคคีภัย
2. เพื่อป้องกันความสุญเสียที่เกิดกับลูกจ้างและสถานประกอบการ
3. เพื่อป้องกันต้นตุของอัคคีภัยที่จะเกิดผลกระทบต่อประชาชน
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
โรงงานอุตสาหกรรมทุกประเภท ทุกขนาดโรงแรม งานบริการ เหมืองแร่ การขนส่ง เป็นต้น
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
กำหนดเกี่ยวกับการป้องกันและระงับอัคคีภัยไว้หลายประการ เช่น
1. กำหนดให้อาคารที่ลูกจ้างทำงานอยู่มีความปลอดภัยในเรื่องการแยกอาคารที่ระเบิดได้อย่างร้ายแรงออกต่างหากกำหนดชนิดของอาคารและจำนวนชั้นที่ลูกจ้างามารถทำงานได้เส้นทางหนีไฟที่ปลอดภัย ทางออกและชั้นไม่น้อยกว่า 2 ทางมีป้ายชี้นำทางประตูหนีไฟที่มีขนาดกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร บันไดหนีไฟต้องทนไฟป้องกันควัน ประตูออกสุดท้ายต้องปลอดภัยเป็นต้น
2. การจัดอุปกรณ์ดับเพลิง ให้จัดน้ำสำรองดับเพลิงตามปริมาณที่กำหนดและจัดเครื่องดับเพลิงที่มีขนาดชนิดติดตั้ง และระยะห่างตามกฎหมาย
3. กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับการเก็บรักษา ปริมาณที่เก็บ การใช้ และการควบคลุมสารเชื้อเพลิงทกชนิดที่เก็บในอาคารและนอกอาคาร
4. กำหนดให้มีภาชนะที่เก็บเป็นโลหะทนไฟ การทำความสะอาด การเก็บรวบรวม การกำจัดและการเผา
5. กำหนดให้มีสัญญาณแจ้งเหตุเพลิงไหม้
6. กำหนดการป้องกันแหล่งกำเนิดความร้อนต่างๆ เช่น การป้องกันอันรายจากไฟฟ้า การเสียดสีเครื่องยนต์ปล่องไฟ การนำ การพา การฝั่งสีความร้อน ไฟฟ้าสถิต ฟ้าฝ่า เป็นต้น
7. กำหนดให้มีการฝึกอบรมพนักงาน ให้สามารถดับเพลิงได้ไม่น้อยกว่า 50% ของแต่พื้นที่ให้มีการซักซ้อมการดับเพลิงและหนีไฟไม่น้อยกว่าปีละ 1 ครั้ง
8. กำหนดให้จัดเครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เชื่อ เสื้อผ้า รองเท้า ถุงมือ หมวก น่ากาก กันความร้อนได้
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักร
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อใช้ควบคุมป้องกันอันตรายลูกจ้างจากการทำงานกับเครื่องจักร
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บังคับกับสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป ที่มีการใช้เครื่องจัก
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
1. กำหนดเรื่องความปลอกภัยในการทำงานเกี่ยวกับเครื่องจักรดังนี้
1.1 เครื่องจักรที่ใช้พลังงานไฟฟ้าต้องมีสายดินเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้า
1.2 การเดินสายไฟฟ้าเข้าเครื่องจักรต้องฝังดินลงมาจากที่สูง ทั้งนี้ให้ใช้ท่อร้อยสายไฟ
1.3 เครื่องปั๊มวัตถุที่ใช้มือป้อนต้องมีเครื่องป้องกันมือ หรือจัดหาเครื่องป้อนวัตถุแทนมือ
1.4 เครื่องปั๊มวัตถุโดนใช้เท้าเหยียบต้องมีที่พักเท้าและมีที่ครอบป้องกัน
1.5 เครื่องปั๊มหรือเครื่องตัดวัตถุที่ใช้พลังงานไฟฟ้าหากปฏิบัติงานใช้มือป้อนต้องมีสวิตช์ 2 แห่ง
1.6 เครื่องจักรที่มีการถ่ายทอดพลังงาน เช่น เพลา สายพาน พุลล่า ไฟสวีล ต้องมีตะแกรง เหล็กเหนียวครอบในส่วนที่หมุนและส่งถ่ายกำลัง
1.7 ใบเลื่อยวงเดือนต้องมีที่ครอบใบเลื่อยในส่วนที่สูงเกินพื้นโต๊ะ
1.8 เครื่องสับ ฝน หรือแต่งผิวโลหะ ต้องมีเครื่องปิดกั้นประกายไฟหรือเศษวัตถุ
1.9 กำหนดมาตรการการใช้เครื่องมือกล
2. การจัดเครื่องป้องกันอันตรายส่วนบุคคลให้ลูกจ้างสวมใส่
เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานเกี่ยวกับการตอกเสาเข็ม
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อให้การตอกเสาเข็มในงานก่อสร้างมีความปลอดภัย ให้มีการควบคุมดูแลโดยผู้มีความรู้ ความชำนาญตลอดเวลา เพื่อให้ลูกจ้างปฏิบัติถูกต้อง
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บังคับกับงานตอกเสาเข็มในงานก่อสร้าง
3. สระสำคัญของกฎหมาย
1. ต้องจดทำเขตก่อสร้าง
2. ต้องปฏิบัติตามรายละเอียดและคุณสมบัติของเครื่องตอกเสาเข็ม ถ้าไม่มีรายละเอียดและคุณลักษณะต้อง ให้วิศวกรเป็นผู้กำหนด
3. ผู้ควบคุมต้องตรวจอุปกรณ์ต่างๆก่อนทำการตอกเสาเข็มโดยมีบันทึกผลการตรวจและเก็บเอกสารให้เจ้าหน้าที่
4. ต้องจัดให้มีแสงสว่างตามมาตรฐานที่กำหนด ขณะทำการตอกเสาเข็มในเวลากลางคืน
5. ต้องมีเชือกลวดเหล็กเหลืออยู่ในม้วนไม่น้อยกว่าสองรอบ
6. การใช้เชือกลวดและรอกต้องได้มาตรฐาน
7. ต้องมีผู้ควบคุมทำหน้าที่ตรวจความปลอดภัยขณะทำงานภายใต้การควบคุมของวิศวกร
8. พื้นที่ทำงานรองรับเครื่องตอกเสาเข็ม ต้องมั่นคงแข็งแรง
9. การเคลื่อนที่ของเครื่องตอกเสาเข็ม ต้องมีหมอนรับรองได้ระดับและแข็งแรง
10. ต้องจัดให้มีการเปิดปากรูเสาเข็มที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเกินกว่า 15 เซนติเมตร จนเสร็จแต่ละหลุม
11. ห้ามมิให้ลูกจ้างทำงานเกี่ยวกับเครื่องตอกเสาเข็มที่ชำรุด หรือขณะที่มีพายุฝนหรือฟ้าคะนอง ถ้าลูกจ้างต้องทำงานบนแคร่ลอยลูกจ้างต้องว่ายน้ำเป็น
12. เครื่องตอกสาเข็มระบบเครื่องยนต์เผาไหม้ในตัว ระบบไอน้ำ ลง ไฮโดรลิกให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
13. นายจ้างต้องจัดอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลให้ลูกจ้างตามลักษณะงาน
14. ลูกจ้างต้องสวมใส่อุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยส่วนบุคคลตลอดการทำงาน
ประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง ความปลอดภัยในการทำงานของลูกจ้าง
1. เจตนารมณ์ของกฎหมาย
เพื่อให้มีผู้ดูแลเรื่องความปลอดภัยในการทำงานในสถานประกอบกิจการ
2. ขอบเขตของกฎหมายและการบังคับใช้
ใช้บังคับกับนายจ้างที่ประกอบกิจการดังต่อไปนี้
1. การทำเหมืองแร่ เหมืองหิน กิจการปิโตเรียม หรือปิโตเคมี
2. การทำ ผลิต ประกอบ บรรจุ ซ่อม ซ่อมบำรุง เก็บรักษา ปรับปรุง ตกแต่ง เสริมแต่ง ดัดแปรง แปรสภาพทำให้เสีย หรือทำลายซึ่งวัตถุทรัพย์สิน และรวมถึงการต่อเรือ แปลงและจ่ายไฟฟ้าหรือพลังงานอื่นๆ
3. การก่อสร้าง เติมแต่ง ติดตั้ง ซ่อม ซ่อมบำรุง รื้อถอน อาคาร สนามบิน ทางรถไฟ ทางรถราง ท่าเรือ อู่เรือสะพานเทียบเรือ ถนน เขื่อน อุโมงค์ ท่อน้ำ โทรศัพท์ รวมทั้งการเตรียมวางรากฐานของการก่อสร้าง
4. การขนส่งโดยสารหรือกันค้าทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ รวมถึงการบรรทุกขนถ่ายสินค้า
5. สถานีบริการหรือจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซ
6. กิจการอื่นตามที่กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมประกาศกำหนดสถานที่ประกอบกิจการ หมายความว่า หน่วยงานแต่ละหน่วยงานของนายจ้างที่ดำเนินงานโดยรำพังมีลูกจ้างทำงานอยู่
3. สาระสำคัญของกฎหมาย
1. ให้นายจางที่มีลูกจ้างไม่ถึงเก้าสิบคนจัดให้ลูกจ้างระดับปฏิบัติการซึ่งนายจ้างแต่งตั้งให้เป็นผู้แทนลูกจ้างตามประกาศกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม เรื่อง คณะกรรมการ ความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน ลงวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2538 เข้ารับการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดและแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับพื้นฐาน
2. ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างระดับหัวหน้างานเข้ารับการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดและแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับหัวหน้างานของสถานประกอบกิจการภายในกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับจากวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับหรือภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่นายจ้างแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้างาน
3. ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างระดับบริหารเข้ารับการฝึกอบรมตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกำหนดและแต่งตั้งให้เป็นเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับบริหารของสถานประกอบกิจการภายในกำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับจากวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับหรือภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
4. ให้นายจ้างที่มีลูกจ้างตั้งแต่ห้าสิบตนขึ้นไปในสถานประกอบกิจการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ระดับวิชาชีพประจำสถานที่ประกอบกิจการอย่างน้อยแห่งละหนึ่งคนเพื่อปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยเต็มเวลากำหนดหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับจากวันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับหรือภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่วันที่มีลูกจ้างห้าสิบคนขึ้นไป
5. ให้นายจ้างแจ้งชื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานต่ออธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามแบบที่อธิบดีกำหนด ภายในสามสิบวัน นับตั้งแต่วันที่ได้แต่งตั้ง
6. เมื่อเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยระดับพื้นฐานระดับหัวหน้างานระดับบริหารหรืระดับวิชาชีพพ้นจากหน้าที่ให้นายจ้างจัดให้มีเจ้าหน้าที่ปลอดภัยในการทำงานระดับเดียวกันแทนที่และแจ้งชื่อต่ออธิบดีกำหนดภายในหกสิบวันนับตั้งแต่วันที่เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยคนเดินพ้นหน้าที่
7. ให้นายจ้างส่งรายงานการดำเนินการเกี่ยวกับความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ ของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานระดับวิชาชีพต่ออธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามแบบที่อธิบดีกำหนดเป็นประจำทุกสามเดือนตามปีปฏิทิน ทั้งนี้ภายในเวลาไม่เกินสามสิบวันนับตั้งแต่วันที่ครบกำหนด
8. ก่อนให้ลูกจ้างซึ่งรับเข้าทำงานใหม่ปฏิบัติงาน ให้นายจ้างจัดการอบรมเพื่อให้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
9. ในกรณีที่นายจ้างสั่งให้ลูกจ้างไปทำงาน ณ สถานที่อื่นซึ่งเสี่ยงหรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายให้นายจ้างแจ้งข้อมูลอันจำเป็นเกี่ยวภัยความปลอดภัยของสถานที่ดังกล่าวให้ลูกจ้างทราบก่อนปฏิบัติงาน
สรุป หากนายจ้างได้ดำเนินการตามกฎหมายกำหนดแล้ว ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์ต่อนางจ้าง ต่อลูกจ้าง สังคมประเทศ