หน้าที่ ปัจจัยและความรับผิดชอบการปฐมพยาบาล
หน้าที่การปฐมพยาบาลในสถานประกอบการ
หน้าที่การปฐมพยาบาลเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นแก่ผู้บาดเจ็บ หรือเกิดการเจ็บป่วยอย่างทันทีทันใดเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะหน้าขึ้น ทั้งนี้เพื่อลดความรุนแรงของการบาดเจ็บจากการประสบอันตรายจากการทำงาน เมื่อพบผู้บาดเจ็บที่จะเป็นต้องได้รับการปฐมพยาบาลควรปฏิบัติดังนี้
1. อย่าตื่นตกใจ พยายามสงบสติอารมณ์
2. ถ้าหากจำเป็นต้องรีบมากช่วยเพื่อรักษาชีวิตให้ทัน เช่น การช่วยให้หายใจได้ใหม่ และการห้ามเลือด ต้องช่วยโดยวิธีการที่ถูกต้องและไม่ชักช้า
3. อย่ารีบเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ เว้นแต่สถานที่ที่ผู้ป้วยอยู่นั้นมีอากาศไม่ถ่ายเท จำเป็นที่จะต้องให้ผู้ป่วยได้รับอากาศบริสุทธิ์หรือเพื่อป้องกันมิให้เกิดอันตรายเพิ่มขึ้น
4. ตรวจดูผู้บาดเจ็บโดยละเอียด
5. รีบติดต่อเจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลประจำหน่วยโดยเร็ว
ปัจจัยปฐมพยาบาลในสถานประกอบการ
1. สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ต้องมีปัจจัยปฐฒพยาบาล 23 รายการ ดังนี้
1. สายยางรัดห้ามเลือด 2. กรรไกร 3. สำลี , ผ้าผันแผล , พลาสเตอร์
4. ถ้วยตวงยา 5. ถ้วยล้างตา 6. หลอดหยอดตา
7. ถ้วยน้ำ 8. ที่ป้ายตา 9. เข็มกลัด
10. ปากคลีบปลายทู่ 11. ปรอทวัดไข้ 12. ยาแดง , ยาเหลืองหรือทิงเจอร์ไอโอดีน
13. แอลกฮอร์บริสุทธิ์ 70 % 14. วาสลินขาว 15. ยาแก้ไฟไหม้น้ำรอนล้วก
16. น้ำกรดบอริคล้างตา 17. แอมโมเนีย 18. ยาแก้ปวดตัวร้อน
19. ทิงเจอร์ฝิ่นการบรู 20. ยาธตุน้ำขาว 21. ยาธาตุน้ำแดง
22. ยาแก้บิด 23. โซดาไบคาร์บอเนต
2. สถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 200 คนขึ้นไป นอกจากปัจจัยการปฐมพยาบาลข้อ 1 แล้วจะต้องจัดให้ห้องรักษาพยาบาล พยาบาล แพทย์ ดังต่อไปนี้
ความรับผิดชอบของการปฐมพยาบาลในสถานประกอบการ
1. นายจ้าง ต้องรับผิดชอบในการจัดหาอุปกรณ์ที่จำเป็นในการปฐมพยาบาลตามที่กฏหมายกำหนด ร่วมทั้งห้องพยาบาลในหน่วยงาน
2. ลูกจ้างทุกคนจะต้องทราบระเบียบวิธีการแจ้งเหตุ และที่ต้องของโทรศัพท์ โดยหมายเลขแจ้งเตือนฉุกเฉินจะต้องแสดงไว้ให้เห็นชัดเจน
3. อุปกรณ์ปฐมพยาบาลจะต้องอยู่มในห้องปฐมพยาบาลพ้อมทำเครื่องหมายไว้ รวมทั้งมีการเก็บ ดูแลให้อยู่ในสภาพเรียบร้อยและปลอดภัยพร้อมใช้งานได้ตลอดเวลา
4. นายจ้างต้องวางแผนการฝึกอบรมการปฐมพยาบาลเบื้องต้นแก่ลูกจ้าง และการอบรมการปฐมพยาบาลและการนำส่งผู้ป่วยให้กับหัวหน้างานทุกคน
5. ในกรณีจำเป็นจะต้องนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลทันที ควรระวังเรื่องการเคลื่อนย้าย และการป้องกันการติดเชื้อทางเลือด เป็นต้น
การปฐมพยาบาลเข้าตา
1) ห้ามขยี้ตา
2) กระพริบตาในน้ำหลายๆครั้ง หรือเทน้ำล้างออก
3) ถ้าของนั้นอยู่ให้เปลือกตาล่าง ให้ผู้ป่วยเหลือกตาขึ้น แล้วกดเปลือกตาล่างลง ใช้มุมผ้าเช็ดหน้าสะอาดหรือสำลีเปียกเขี่ยออก
4) ถ้าของนั้นอยู่ใต้เปลือกตาบนให้ผู้ป่วยมองล่าง ปลิ่นเปลืแกตาบนแล้วเขี่ยออกเช่นกัน ถ้าไม่ออกให้ปิดตาผู้ป่วย แล้วรีดนำส่งแพทย์ทันที
การปฐมพยาบาลสารเคมีเข้าตา
1) เป็นอุบัติเหตุที่รอไม่ได้ ต้องรีบ้างโดยให้น้ำไหลผ่าน เช่น น้ำก๊อก ให้ผู้บาดเจ็บนอนเอียงหหน้า หรือนอนตะแคงเอาด้านที่ถูกสารเคมีเทน้ำผ่านจากมุมดานจมูกไปสู่มุมตาด้านใบหูใช้เวลาประมาณ 30 นาทีขึ้นไป ระวังอย่าให้น้ำล้างตาไปเข้าตาอีกด้านหนึ่ง
2) ถ้าใส่คอนเทคเลนส์ให้รีบถอดออก (ถ้าทำได้)
3) ปิดตาด้วยผ้าสะอาด ห้ามขยี้ตา
4) รีบนำสงแพทย์ทันที และควรทราบว่าถูกสารเคมีชนิดใด
การปฐมพยาบาลของเข้าหู
1) อย่าพยายามแคะ
2) ถ้าเป็นแมลง ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงหูข้างนั้นขั้นหยดน้ำอุ่น หรือน้ำมันพืชลงในหู แมลงอาจจะออกมาเอง
3) ถ้าเป็นวัตถุให้เอาน้ำอุ่นหยอดหูข้างนั้นแล้วตะแคงลงล่าง วัตถุนั้นอาจออกมาเอง (ถ้าไม่ออกนำส่งแพทย์)
การปฐมพยาบาลเลือดออกแผลเล็ก
1. อันตรายจากเลือดออก ขึ้นอยู่กับจำนวนเลือดที่เสียไป และระยะเวลา ถ้าออกมากและเร็วก็อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้โดยเร็ว
2. อาการของการเสียเลือด ถ้าออกเพียงเล็กน้อยอาจไม่มีอาการเลย ถ้าออกมากจะมีอาการตามลำดับต่อไปนี้
1) เวียนศีรษะ
2) เหนื่อย
3) กระหายน้ำ
4) ซีด
5) กระวนกระวาย
6) เหงื่ออก ตัวเย็น (อาการเหล่านี้แสดงว่าผู้ป่วยช็อก)
7) หายใจหอบ (อาการเหล้านี้แสดงว่าผู้ป่วยช็อก)
8) คลื่อนไส้ อาเจียน (อาการเหล่านี้แสดงว่าผู้ป่วยช็อก)
9) ชีพจรเบา เร็วหรือคลำไม่ได้ (ผู้อาการเหล่านี้แสดงว่าผู้ป่วยช็อก)
3. การช่วยเหลือเลือดออกภายนอก และเลือดออกมากและเร็ว จำเป็นต้องให้การช่วยเหลือทันที โดยให้ผู้ป่วยนอนรา
1) ถ้าเป็นไปได้ให้ยกส่วนมที่เลือดออกขึ้นสูง
2) กดหรือบีบบนตำแหน่งที่เลือดออกแรงพอสมควรนานจนเลือดหยุด
3) ถ้าแผลกว้างใช้ผ้าสะอาดพับและทับลงบนแผลแรงๆจนเลือกหยยุด และพับผ้าทับให้แน่น
4) ถ้าเลือดยังออกให้พันผ้าทับลงไปอีก
4. การช่วยเหลือเลือดออกจากจมูก
1) นั่งเงยศีระไปข้างหน้า
2) น้ำแข็งวางดั้งจมูก
3) ห้ามดึงเลือดแห้งในจมูกออก
4) ห้ามสั่งน้ำมูก
5 การช่วยเหลือเลือดออกจากหู มักจะเนื่องจากฐานกะโหลกศีรษะแตก ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงศีรษะด้านที่เลือดออกอยู่ล่าง แล้วนำส่งแพทย์ทันทีห้ามทำอย่างอื่น
การปฐมพยาบาลเลือดออกแผลใหญ่
การห้ามบาดแผลขนาดใหญ่ มีเลือดไหลพุ่ง เช่น บาดแผลเล็กเป็นนทางยาว หรืออวัยวะส่วนหนึ่งขาดหนึ่งขาดหลังจากปฐมพยาบาลแล้วจะต้องขันชะเนาะดังนี้
1) ต้องมีผ้าสำหรับที่จะพันแขนหรือขา ได้อย่างน้อย 2 รอบ ท่อนไม้แท่นแข่ง เพื่อจะบิดขันชะเนาะและเชือกที่จะยึดชะเนาะหลังขัน
2) พันผ้ารอบต้นแขน ขา ในส่วนที่ได้รับบัติเหตุ 2 รอบ เหนือแผลประมาณ 3 นิ้ว แล้วผูกเงื่อนแรกแล้ว
3) ใช้ท่อนไม้วางบนเชือกเงื่อนแรก แล้วผูกเชือก 2.3 ทบ
4) หมุนหรือขันชะเนาะจนสังเกตเห็นว่าเลือหยุดไหลแล้ว
5) ใช้เชือกผูกตึงปลายชะเนาะกันคลาย
6) คลายชะเนาะแล้วขันใหม่ทุก 20 นาที จนกว่าจะถึงมือแพทย์
การปฐมพยาบาลการเป็นลมชนิดหน้าซีดและหน้าแดง
การเป็นลม คือการที่ผู้ป่วยมีอาการวิงเวียนศีระ ตาพร่า ใจสั่น เหงื่ออก คลื่นไส้ อาเจียน และต่อไปจะมีอาการหน้าซีด ไม่รู้ตัว ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็น ชนิดของการเป็นลมและการช่วยเหลือ มีดังต่อไปนี้
1 ชนิดหน้าซีดเกิดจาก
1) โลหิตเลี้ยงสมองไม่พอ
2) ทำงานหนักเกินไป
3) ร้อนจัด
4) อ่อนเพลียจากโรคอื่นๆ
5) สมองกระเทือน
6) หิวจัด
7) โรคโลหิตจาง
8) ตกใจมาก
การช่วยเหลือการเป็นลมชนิดหน้าซีด
1) พาเขาที่ร่ม อย่าให้คนมุง
2) นอนราบ ยกเท้าสูง
3) คลายเสื้อผ้าให้หลวม
4) พักให้เย็น หรือเช็ดตัวด้วยน้ำเย็น
5) ให้ยาแอมโมเนียหอมดม ให้น้ำเย็นดื่ม
6) ถ้าอาเจียนต้องคอยเช็ด
7) ถ้าไม่ร้สึกตัวให้จับนอนตะแคงศีระเงยหน้า
8) ถ้าไม่หายใจให้ช่วยการหายใจทันที
9) นำส่งแพทย์
ชนิดหน้าแดง เกิดจาก
1) ความร้อนจัด
2) สมองถูกกด
3) เส้นโลหิตในสมองแคก
4) เมาสุรา
อาการ ผู้ป่วยจะมีอาการวิงเวียน หน้ามืด หน้ามือ ตาลาย อาเจียน หน้าแดง ตัวร้อน เหงื่อออก ไม่รู้สึก ชีพจร เต้นแรงและเร็วการช่วยเหลือการเป็นลมชนิดหน้าแดง
1) พาเข้าที่ร่ม
2) นอนศีรษะสูง
3) คลายเสื้อผ้าให้หลวม
4) ห้ามรับประทานยาพวกกระตุ้นหัวใจ
5) ให้น้ำเย็นดื่ม
6) ถ้าอาการไม่ดีขึ้น นำส่งแพทย์
ความรุนแรงของอันตรายจากไฟหรือไฟไหม้
ผู้ป่วยอาจถูกไฟลวกหรือไฟไหม้ส่วนของร้างกายได้ ความรุนแรงของอันตรายขึ้นอยู่กับสาเหตุต่อไปนี้
1. พื้นที่ผิวหนังที่ถูกความร้อน ถ้าถูกเป็นบริเวณกว้างกี่อันตรายมากเพราะจะเกิดตุ่มพองกว้างเสียน้ำออกจากระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ช็อกได้
2. ความลึกของการไหม้ ถ้าเพียงแค่หนังกำพร้า อันตรายก็น้อยกว่าลึกถึงหนังแท้หรือชั้นกล้ามเนื้อ เพราะใต้หนังแท้และในกล้ามเนื้อที่มเส้นเลือด เส้นประสาทอย่ด้วย นอกจากนั้น เนื้อหนังที่ตายจะเป็นอาหารอย่างดีของแบคทีเรีย ทำให้เกิดภาวะโรคติดเชื้อในระยะะต่อมา
3. อวัยวะสำคัญ คือใบหน้าและลำคอ หากโดนความร้อนมากอาจทำให้เยื่อภายในจมูก ปากและหลอดลมบวมจนหายใจไม่ได้ ถือเป็นเหตุด่วนที่ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล แม้ส่วนอื่นๆ จะไม่ถูกไฟลวกเลยก็อาจเสียชีวิตได้
ข้อควรจำ
สาเหตุการเสียชีวิตจากไฟลวกอย่างหนึ่งคือ การสำลักควันขณะไฟไหม้ออกซิเจนบริเวณนั้นจะน้อยลง และมีเขม่าควันจำนวนมาก ซึ่งระคายทางเดินหายใจอย่างรุนแรง อาจเสียชีวิตภาวะขาดออกซิเจนก่อนที่จะถูกไปไหม้ร่างกายเสียเสียอีก ดังนั้นให้หาวิธีหนนีควัน ด้วยการคลานติดพื้นลงทางบันไดหรือใช้ผ้าห่มชุบน้ำคลุมหัววิ่งหนีไฟไหม้
การช่วยเหลือผู้ถูกไฟลวกหรอไฟใหม้
1. หากไฟยังลุกติดติดเสื้อผ้า อ่าโบกพัดหรือวิ่งเพราะไฟจะรุนแรงขึ้น ใหใช้ผ้าผืนใหญ่ชุบน้ำคลุมให้แน่น หรือล้มตัวลงกับพื้นทับบริเวณที่ไฟไหม้ เพื่อไม่ให้มีออกซิเจน ไฟดับจำไว้ว่าเสื้อผ้าลอนหรือใยสังเคราะห์ติดไฟง่ายกว่าผ้าฝ้าย
2. ถ้ามีเสื้อผ้าไหมม้ติดผิวหนัง อย่าดึงหรือลอกออกเอง ( อาจใกรมไกรตัดรอบๆออก) เพราะจะเกิดบาดแผลให้เชื่อโรคหรือฝุ่นสกปรกเข้าได้
3. ไม่ต้องประคบกับน้ำร้อนหรือน้ำแข็ง เซลล์ที่ได้รับอันตรายอยู่แล้วจะเป็นอันตรายมากขึ้น จากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิรวดเร็วเกินไป
4. อย่าทาสารใดๆ เช่น ยาผง ยาสีฟัน ถ้าไม่มียาทาสำหรับไฟหรือน้ำร้อนลวก อาจใช้น้ำมันพืช จากว่านหางจระเข้
5. ถ้ามีตุ่มพอง ปล่อยไว้เช่นนั้นจะดีกว่าเพราะยุบแห้งไปเองได้ในระยะหลัง การเจาะหรือทำให้แตกเป็นจุดอ่อนให้เชื้อโรคข้าสู้ผิวหนังได้ง่ายขึ้นถ้าไม่สะอาด
6. ถ้าไหม้เป็นบริเวณกว้างหลายแห่ง หรืออลึก ใช้ผ้าสะอาดปิดแผลแล้วนำส่งแพทย์
ภาวะผู้ป่วยหยุดหายใจและวิธีช่วยหายใจ
การช่วยหายใจหรือเรียกว่า ผายปอด เป็นวิธีปฏิบัติเพื่อช่วยให้ปอดได้รับออกซิเจนเพียงพอและเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความพิการแก่สมองและอวัยวะสำคัญอื่นๆ เนื่องจากการขาดออกซิเจนปกติถเหยุดหายใจ 2-3 นาที จะหมดสติ หยุดหายใจ 5 นาที หัวใจจะแต้นไม่สม่ำเสมอ หยุดหายใจ 8 นาที หัวใจจะเต้นอ่อนลงมาก ถ้าเกิน 8 นาที หัวใจมักจะหยุดภาวะที่มักทำให้ผู้ป่วยหยุดหายใจ หรือหายใจไม่ออกได้แก่ การจมน้ำ ไฟฟฟ้าดูด หรือถูกรัดคอภาวะเหล้านี้ ถ้าได้ช่วยผู้ป่วยภายใน 8 นาที โดยมากมักจะฟื้นง่าย เพียงแต่ช่วยให้หายใจได้เท่านั้นก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเกิน 8 นาที หัวใจมักจะหยุดเต้น ต้องช่วยทั้งการหายใจและช่วยให้หัวใจเต้นด้วยเมื่อพบคนเจ็บนอนอยู่ คล้ายหมดสติ ต้องลองตรวจดูว่าหมดสติจริงหรือไม่โดยการเรียกและเขย่าตัวหรือตบที่ไหล่ ถ้าหมดสติจะไม่มีการตอบโต้ หรือมีเสียงตะราง หรือมีการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยให้ประเมินการหายใจดังต่อไปนี้
1. ดูการเคลื่อนไหวของทรวงอก และหน้าท้องว่ามีการยกตัวขึ้นหรือไม่ หรือหายใจหรือไม
2. ฟังสียงลมหายใจ โดยเอียงหูของผู้ช่วยเหลือเข้าไปใกล้บริเวณจมูกและปากของผู้ป่วยว่าได้ยินเสียงอากาศผ่านออกมาทางจมูกหรือปากหรือไม่
3. สัมผัสโดยใช้กระดาษหรือสำลีจ่อบริเวณจมูกหรือใช้แก้มสัมผัส
วิธีช่วยหายใจ (Breathing)
1. ท่าทางเดินหายใจให้โล่ง (Airway) โดยจับศีรษะให้หงายขึ้นเพื่อไม่ใช้ลิ้นตกลงไปอุดที่หลอดลลมในคนหมดสติอวัยวะทุกส่วนของร่างกายจะคลายและหย่อยตัว ลิ้นจะตกลงไปอุดทางเดินทางหายใจ การที่จับคอหงายจะทำให้โคนลิ้นถูกดึงออกมาจากคอหอยและทางเดินหายใจ ในผู้ป่วยที่มีของอยู่ในปากควรเอาออก เช่น ฟันปลอม หรืออาหารอยู่ยังไม่ทันกลืนลงไป อาจใช้นิ้วที่พันผ้าล้วงเอาออก
2 . เป่าลมเข้าทางปากของผู้ป่วยใช้มือข้างหนึ่งประคองผู้ป่วย มืออีกข้างหนึ่งกดหน้าผากเพื่อให้หงาย ปากของผู้ป่วยจะเผลอเล็กน้อยสูดหายใจเข้าเต็มที่แล้วก้มลงประกบปากของผู้ป่วย เป่าลมเข้าไปทางปากของผู้ป่วยจนหมดไม่จำเป็นต้องออกแรงเป่ามากนัก ถ้าลมรั่วออกทางจมูกอาจใช้มือปิดจมูกไว้
ข้อควรจำ หากปากเปื้อนให้ใช้ผ้าเช็ดหนน้าปิดปากก่อน
3. เป่าลมเข้าทางปากต่อเนื่อง ถอนปากออกจากผู้ป่วยสูดหายใจเข้าเต็มที่แล้วเริ่มเป่าลมเข้าทางปากผู้ป่วยอีก ทำเช่นนี้เรื่อยไปโดยไม่ต้องรีบร้อน ถ้าทำอยางสบายๆ จะได้อัตราการหายใจประมาณ 12-15 ครั้งต่อนาที ถึงแม้การช่วยหายใจโดยเป่าลมหายใจที่ใช้แล้วลงในปอดผู้ป่วย ก็สามรรถทำให้ผู้ป่วยได้ออกซิเจนเพียงพอ เพราะลมหายใจที่ใช้แล้วยังมีออกซิเจนอยู่มาก โดยปกติอากาศที่หายใจออกมีออกซิเจนอยู่ประมาณ 21% อากาศที่หายใจออกมรออกซิเจนประมาญ 16-18% หมายความว่าใช้ไปเพียง 4% เท่านั้นยังเหลืออยู่อีกมาก
4. ตรวจผู้ป่วยหายใจได้เองถ้าทำถูกวิธีลมจะเข้าปอดได้โดยการชำเลืองดู ขณะที่เป่าลมเข้าปอด หน้าอกจะกระเพื่อมสูงขึ้นเวลาถอนปากออกจากผู้ป่วยแล้วเอียงหูฟังจะพบว่าลมออกจากปากจมูกของผู้ป่วย มากระทบใบหูของผู้พยาบาลคนที่หยุดหายใจมักจะหายใจได้เองภายในเวลา 1-2 นาที นั้นคือเป่าลมเข้าทางปากไม่เกิน 30 ครั้ง ตามปกติจะเป่าลมเข้าทางปาก 5 ครั้ง แล้วคลำดูชีพจรทีหนึ่ง ถ้าคลำพบว่าผู้ป่วยไม่หายใจเอง ก็เป่าต่อไปอีก ถ้าคลำไม่พบแสดงว่าหัวใจหยุดเต้น ต้องช่วยนวดหัวใจ (ดูข้อ 12.6.2) ได้เลยโดยไม่ชักช้าแม้ในคนที่หัวใจหยุดเต้นโดยไม่ได้เกิดจากการหายใจนำมาก่อน การช่วยครั้งแรกก็ต้องช่วยหายใจก่อนเหมือนกัน
การนวดหัวใจหรือเรียกการช่วยกระตุ้นหัวใจ
1. ถ้าผู้ป่วยนอนบนเตียงสปริงที่นอนที่มีความนุ่มมาก ให้หากระดาษแข็งมาลองหลัง หรือให้ช่วยกันหามหรืออุ้มผู้ป่วยมานอนบนพื้นบ้าน พื้นเรือน หรือแม้แต่พื้นดินก็ได้
2. ถ้าถอดเสื้ออกได้ง่ายให้ถอดเสื้ออกโดยการปลดกระดุมทางด้านหน้า ถ้าถอดยากใช้กำลังฉีกเลย เพื่อให้เห็นหน้าอกชัดเจน
3. ผู้พยาบาลยืนข้างตัวผู้ป่วย (ในกรณีที่ผู้ป่วยนอนคนเดียว) หรือคุกเข่าลงข้างตัวผู้ป่วย (กรณีที่ผู้ป่วยนอนบนพื้น) ให้ระดับเอวของผู้พยาบาลอยู่เหนือตัวผู้ป่วยเพื่อที่จะได้ทำการถนัด
4. วางส้นมือข้างหนึ่งลงบนกระดูกหน้าอก กะเอาตรงกลางหน้าอกควรวางสันมือต่ำลงมาจากจุดกึ่งกลางกระดูกหน้าอดเล็กน้อย ใช้ส้นมืออีกข้างหนึ่งวางช้อนขึ้นไปกดกระดูกหน้าอก โดยใช้น้ำหนักตัวโน้มขึ้นบนตัวผู้ป่วย กะให้กระดูกหน้าอดยุบลงไปสัก 3-4 ชม. แล้วปล่อยมือขึ้น กอดลงไปใหม่ผ่อนขึ้น ดังนี้
ก. การกดและการผ่อนควรทำให้ได้ผล ดังนั้นคือให้กระดูกหน้าอกยุบลงไป 2-4 ซม. ไม่ควรลุกลี้ลุกลนให้ทำด้วยความนิ่มนวลไม่ใช้แรงกระแทก เพราะในคนอายุมากอาจทำให้กระดูกซี่โครงหักเกิดโรคแทรกซ้อนต่อไปได้อีก
ข. ตั้งจังหวะการทำให้เหมาะภ้าทำเนิบๆตามสบายจะกดได้ราวๆ 50-60 ครั้ง/นาที ซึ่งเพียงพอไม่จำเป็นต้องจับเวลาให้ตรงแผงในขณะนั้น ถ้าได้รับการฝึกซ้อมมาก่อนจะรู้ได้ว่าทำขนาดไหนถึงจะพอดี
ค. การกดหัวใจนี้ต้องควบคู่กันไปการช่วยหายใจคือเป่าปากอีกครั้งหนึ่ง กดหัวใจ 3-4 ครั้งหรือเป่าปาก 2 ครั้ง กดหัวใจ 5 ครั้งตามอัตราใดที่เห็นว่าเหมาะสมก็ได้ ในการทำตนเดียว ทำอย่างหลังคือเป่าปาก 2 ครั้ง กดหัวใจ 5 ครั้งจะเหมาะกว่าเพราะไม่ต้องเลื่อนตัวบ่อยนัก ถ้ามี 2 คนช่วยกัน ทำอย่างแรกจะใกล้เคียงธรรมชาติมากกว่าทั้งนี้ควรพิจารณาดูตามความเหมาะสม