การควบคุมมลพิษจากอุตสาหกรรม
ในอดีตเชื่อกันว่า หากระบายมลพิษในระดับสูง เพื่ออาศัยให้ลมและสภาพอากาศช่วยชักพาสาร จนกระจายตัวได้ดีแล้ว ย่อมไม่เกิดอันตราย แต่บัดนี้พบว่า มลพิษพ้นจากบริเวณที่ผลิต แต่กลับไปเกิดขึ้นบริเวณไกลจากต้นเหตุ ดังเช่นปรากฏหลักฐานในเรื่องฝนกรดข้ามพรมแดน เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องควบคุมมลพิษ ที่ต้นกำเนิด และอาศัย หลักการ ๓ ประการ ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น คือ การใช้เชื้อเพลิงที่สะอาด การควบคุมเครื่องจักร อุปกรณ์ และกรรมวิธี ให้ผลิตสารมลพิษน้อยลง และการลดมลพิษด้วยกระบวนการต่างๆ ก่อนออกสู่บรรยากาศ
ห้องตกตะกอน เป็นวิธีพื้นฐานที่เก็บฝุ่นขนาดใหญ่ไว้ในที่จำกัดไม่ให้ฟุ้งกระจายจนอากาศนิ่งและฝุ่นหนักลงสู่พื้น
ห้องตกตะกอน เป็นวิธีพื้นฐานที่เก็บฝุ่นขนาดใหญ่ไว้ในที่จำกัดไม่ให้ฟุ้งกระจายจนอากาศนิ่งและฝุ่นหนักลงสู่พื้น
การอุตสาหกรรมอาจใช้เชื้อเพลิงแตกต่างกัน นับตั้งแต่ลิกไนต์ ถ่านหิน น้ำมันเตา หรือก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น ดังนั้นผลของการเผาไหม้จึงขึ้นอยู่กับเชื้อเพลิงเป็นเบื้องต้น เชื้อเพลิงซึ่งสกปรก หรือมีการปนเปื้อนของซัลเฟอร์มาก ย่อมก่อให้เกิดมลพิษมากกว่าเชื้อเพลิง ซึ่งจัดว่าสะอาด เชื้อเพลิงประเภทหลังนี้ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาติ เป็นต้น
การดัดแปลงกระบวนการผลิตนั้น อาจช่วยลดมลพิษได้ เช่น โรงผลิตปูนซีเมนต์ในบริเวณจังหวัดสระบุรี เปลี่ยนวิธีการเป็นแบบแห้งแทนแบบเปียก ดังที่เคยใช้ในโรงผลิตที่บริเวณบางซื่อ ทำให้ลดฝุ่นละอองลงไปได้ หม้อน้ำในโรงงานมีการปรับเปลี่ยนลักษณะวิธีการป้อนเชื้อเพลิง เช่น ป้อนลิกไนต์เหนือเตา หรือใต้เตา ตลอดจนการปรับปริมาณอากาศให้พอเหมาะ เหล่านี้เป็นวิธีการสำคัญในการควบคุมมลพิษทางอากาศทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเกิดสารมลพิษขึ้นแล้ว ในบั้นปลายจึงต้องมีกรรมวิธีเก็บกักเอาไว้ ทั้งนี้อาจแบ่งการควบคุมออกตามประเภทของสารมลพิษ คือ ฝุ่นละออง และก๊าซต่างๆ เช่น ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ไนโตรเจนออกไซด์ และไซลีน เป็นต้น
มลพิษสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
มลพิษจากสภาพแวดล้อมในการทำงาน แบ่งได้ 4 ด้าน ดังนี้
1. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางเคมี (Chemical Environmental Hazards)
เกิดจากการสารเคมีมาใช้ในการทำงาน หรือมีสารเคมีที่เป็นอันตรายเกิดขึ้นจากขบวนการผลิตของงาน รวมทั้งวัตถุพลอยได้จากการผลิต เช่น
- กลุ่มสารเคมีที่เป็นพิษ ก๊าซพิษ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ตัวทำละลาย
- ฝุ่นละอองที่ทำให้เกิดโรคปอด
- สารเคมีที่ก่อมะเร็ง
2. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางกายภาพ (Physical Environmental Hazards)
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ประกอบอาชีพนั้นจะอยู่ในลักษณะของการได้รับหรือสัมผัสกับสภาพแวดล้อมในลักษณะที่ไม่พอดีหรือผิดจากปกติธรรมดา อันตรายทางด้านกายภาพ ได้แก่
- เสียง (Noise)
- แสงสว่าง (Lighting)
- ความสั่นสะเทือน (Vibration)
- อุณหภูมิที่ผิดปกติ (Abnormal temperature)
- ความดันบรรยากาศที่ผิดปกติ (Abnormal pressure)
- รังสี (Radiation)
3. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ (Biological Environmental Hazards)
เกิดจากการทำงานที่ต้องเสี่ยงต่อการสัมผัสและได้รับอันตรายจากสารทางด้านชีวภาพ (Biohazardous agents) แล้วสารชีวภาพนั้นทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย หรือมีอาการเจ็บป่วยเกิดขึ้น เช่น
- เชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ
- ฝุ่นละอองจากส่วนของพืชหรือสัตว์
- การติดเชื้อจากสัตว์หรือแมลง
- การถูกทำร้ายจากสัตว์หรือแมลง
4. อันตรายจากสภาพแวดล้อมทางด้านการยศาสตร์ (Ergonomics)
เป็นอันตรายที่เกิดจากการใช้ท่าทางทำงานที่ไม่เหมาะสม วิธีการปฏิบัติงานที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติงานที่ซ้ำซาก และความไม่สัมพันธ์กันระหว่างคนกับงานที่ทำ
ผลกระทบจากมลพิศในสิ่งแวดล้อมการทำงานอาชีพต่างๆ
ดำเนินงานตามหลักวิชาการด้านสุขศาสตร์อุตสาหกรรม โดยการสำรวจสภาพแวดล้อมในการทำงานเบื้องต้นเพื่อค้นหาสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ กำหนดให้มีการตรวจวัด, วิเคราะห์และประเมินผลเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานตามกฎหมายหรือมาตรฐานตามข้อแนะนำของสถาบันหรือองค์กรที่เป็นที่ยอมรับ จัดทำรายงานให้ข้อคิดเห็นและเสนอแนะเพื่อการควบคุมป้องกันต่อไป
สภาพแวดล้อมในการทำงาน ได้แก่
ความร้อน (Heat Stress)
แสงสว่าง (Light)
เสียง (Noise)
สารเคมี (Chemical)
1 ความร้อน (Heat Stress)
ระดับความร้อน WBGT
ตรวจวัดด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ที่มีคุณลักษณะตามมาตรฐาน ISO 7243 หรือเทียบเท่า เช่น DIM EN 27243
ตรวจวัดระดับความร้อน WBGT เฉลี่ยปริมาณที่ผู้ปฏิบัติงานทำงานแห่งเดียวหรือหลายบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมต่างกัน โดยทำการตรวจช่วงระยะเวลา 2 ชั่วโมงที่ร้อนที่สุด
ประเมินภาระงานในช่วง 2 ชั่วโมงที่ร้อนที่สุด เป็นงานเบา, งานปานกลาง หรืองานหนัก ตามแนวทางของ OSHA Technical Manual หรือเทียบเท่า เช่น ISO 8996
ประเมินผลการตรวจวัดโดยเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยระดับความร้อน และลักษณะความหนัก-เบาของงานกับเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด, มาตรฐานของสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
2 แสงสว่าง (Light)
ตรวจวัดค่าเฉลี่ยความเข้มของแสงสว่างบริเวณพื้นที่ทั่วไปและบริเวณการผลิตภายในสถานประกอบกิจการ ทุก ๆ 2x2 ตารางเมตร
ตรวจวัดความเข้มของแสงสว่างบริเวณที่ผู้ปฏิบัติงานต้องทำงานโดยใช้สายตามองเฉพาะจุด หรือใช้สายตาอยู่กับที่ในการทำงาน
การตรวจวัดความเข้มของแสงสว่างในสถานประกอบกิจการ ใช้เครื่องวัดแสง (Light Meter) มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรฐาน CIE 1931 (International Commission on Illumination) หรือ ISO/CIE 10527 หรือเทียบเท่า เช่น JIS
เปรียบเทียบผลการตรวจวัดกับเกณฑ์มาตรฐานที่กฎหมายกำหนด, มาตรฐานของสถาบันหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง
3 เสียง (Noise)
ตรวจวัดเพื่อประเมินระดับเสียงที่อาจมีผลกระทบต่อระบบการได้ยินของผู้ปฏิบัติงาน และเพื่อให้ทราบประเภทและลักษณะของเสียงใช้ประโยชน์ในการควบคุมป้องกันเสียง เครื่องตรวจวัดระดับเสียงมีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 651 Type 2 หรือเทียบเท่า เช่น ANSI S1.4, BS EN 60651, AS/NZS 1259.1 เป็นต้น หรือดีกว่า เช่น IEC 60804, IEC 61672, BS EN 60804, AS/NZS 1259.2 เป็นต้น
ระดับเสียงแบบพื้นที่ (Leq 5 นาที) ตรวจวัดเฉพาะเสียงดังต่อเนื่อง (Continuous Noise) แบบคงที่ (Steady-state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่อง มีระดับเสียงเปลี่ยนแปลงไม่เกิน3 dB(A)
ระดับเสียงเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน (TWA: Time WeightedAverage) ตรวจวัดระดับเสียงประเภทเสียงดังต่อเนื่องแบบไม่คงที่ (Non-steady Stat Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่อง ที่มีระดับเสียงเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 10 dB(A) และเสียงดังเป็นช่วง ๆ (Intermittent Noise)
ปริมาณเสียงสะสมที่ตัวบุคคล (Noise Dose) เพื่อประเมินเป็นระดับเสียงที่สัมผัสเฉลี่ยตลอดระยะเวลาการทำงาน (TWA: Time Weighted Average) เครื่องวัดปริมาณเสียงสะสม (Noise Dosimeter) มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรฐานIEC 61252 หรือเทียบเท่า เช่น ANSI S1.25 หรือดีกว่า
เสียงกระทบหรือเสียงกระแทก (Impulse or Impact Noise) เพื่อประเมิน การสัมผัสกับระดับเสียงกระทบหรือกระแทกที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นและอันตรายจะเกิดขึ้นกับระบบการได้ยิน ขึ้นกับระดับเสียงและจำนวนครั้งที่สัมผัส ตรวจวัดด้วยเครื่องวัดเสียงกระทบหรือกระแทก (Impulse or Impact Noise Meter) มีคุณลักษณะสอดคล้องกับมาตรฐาน IEC 61672 หรือ IEC 60804 หรือเทียบเท่า เช่น ANSI S1.43 หรือดีกว่า
ระดับเสียงแบบพื้นที่แยกความถี่ (Sound Pressure Level and Octave band Analyzer) เพื่อประเมินลักษณะของเสียงใช้เป็นข้อมูลในการจัดการควบคุม ป้องกันผลกระทบจากเสียง เครื่องมือวิเคราะห์ความถี่เสียง
แผนผังแสดงระดับเสียง (Noise Contour Map) โดยใช้ Software ที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย ทราบการกระจายตัวของเสียงในรูปแบบของแผนที่เสียงในแต่ละพื้นที่มีเสียงอยู่ระดับใดในภาพรวม เพื่อใช้ในการจัดการควบคุม ป้องกันผลกระทบจากเสียงและจัดทำมาตรการอนุรักษ์การได้ยิน
4 สารเคมี (Chemical Agents)
1) การตรวจวัดเพื่อประเมินปริมาณความเข้มข้นของสารเคมีในสภาพแวดล้อมการทำงานในลักษณะของ
เส้นใย เช่น ฝุ่นฝ้าย, ฝุ่นแอสเบสตอส
ฝุ่นรวม (Total Dust)
ฝุ่นขนาดเล็กหายใจเข้าถึงระบบทางเดินหายใจส่วนปลาย (Respirable Dust)
ฝุ่นสารพิษ (Toxic Dust) ของสารโลหะหนักต่าง ๆ
ก๊าซ (Gas) ที่เป็นของไหลในสภาพวะปกติ
ละออง(Mist) เป็นอนุภาคของของเหลวที่เกิดจากการสเปรย์, การชุบ
ไอระเหย (Vapour) ที่เกิดจากสารทำละลาย
ฟูม (Fume) ที่เกิดจากอนุภาคของของแข็ง
2) การตรวจวัดและวิเคราะห์ระดับความเข้มข้นของสารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการใช้วิธีการเครื่องมือ และอุปกรณ์ที่เป็นมาตรฐานสากล หรือเป็นที่ยอมรับโดยอ้างอิงวิธีการจากหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง ได้แก่
NIOSH: The National Institute for Occupational Safety and Health
OSHA: Occupational Safety and Health Administration
ACGIH: American Conference of Governmental Industrial hygienists
JISHA: Japan Industrial Safety and Health Association
ISO: International Organization for Standardization
สมอ: สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
ASTM: American Society for Testing and Material
3) เครื่องมือและอุปกรณ์ตรวจวัดและวิเคราะห์สารเคมีอันตรายทางห้องปฏิบัติการ ได้รับการสอบเทียบความถูกต้อง (Calibration)การตรวจสอบและบำรุงรักษาตามบริการของหน่วยงานมาตรฐานอ้างอิง หรือตามมาตรฐานที่ผู้ผลิตกำหนด