มลพิษทางอากาศมีอันตรายต่อร่างกาย
สารพิษ หมายถึงสารเคมีที่เข้าสู่ร่างกาย หรือสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย แม้จำนวนเล็กน้อย ก็ทำให้เกิดอันตราย ต่ออวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เป็นผลให้เกิดความเสียหาย หรือถึงแก่ความตายได้สารมีพิษที่บุคคลในบ้าน อาจได้รับอันตราย ได้แก่ ยาฆ่าแมลง ยารักษาโรคทุกชนิด ยาปราบศัตรูพืช น้ำด่าง น้ำกรด สารที่ใช้ทำความสะอาดต่างๆ แอลกอฮอล์ สีทาบ้าน น้ำมันเบนซิน เชื้อเพลิงเหลวทุกชนิด รวมทั้งอาหาร และพืชพันที่ปนเปื้อนด้วยสารมีพิษ
1 การเข้าสู่ร่างกาย
1. การหายใจเข้าระบบทางเดินหายใจ (Inhalation)
2. การซึมผ่านผิวหนัง (Skin Absorption)
3. การกลืมเข้าระบบทางเดินอาหาร (Ingestion)
2. อันตรายต่อร่างกาย
มลพิษทางอากาศมีผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยได้หลายประการ ระบบทางเดินหายใจเป็นส่วนแรกที่สัมผัสกับมลพิษ และรับผลโดยตรง สารมลพิษหลายอย่างทำให้เนื้อเยื่อของอวัยวะเกิดระคายเคือง เนื่องจากขนาดหรือรูปร่าง ประกอบกับสมบัติทางเคมี ซึ่งอาจเสริมพิษภัยให้รุนแรงมากขึ้น ฝุ่นละอองขนาดเล็กพอควร จะผ่านขนจมูก และระบบป้องกันของร่างกาย เข้าสู่ชั้นในสุด คือ ถุงลมในปอด ส่วนที่มีขนาดใหญ่เกินไป ถูกจับ และขับออก จากร่างกายตั้งแต่ต้น สมรรถนะของระบบหายใจจึงอาจลดและเสื่อมลงมากน้อยเท่าใดนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดของฝุ่น เพราะฝุ่นบางชนิด เป็นพิษมากกว่าชนิดอื่น เช่น ตะกั่ว แอสเบสทอส หรือบางกรณีฝุ่นทำหน้าที่เป็นแกนกลางให้ก๊าซจับ แล้วชักนำเอาก๊าซ ซึ่งปกติจะฟุ้งกระจายไม่มีทิศทางให้เข้าถึงปอด นอกจากนี้ฝุ่นบางชนิด เช่น วาเนเดียม และแมงกานีส ยังสามารถเร่งปฏิกิริยาก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ให้เป็นกรดกำมะถัน ฤทธิ์กรดจึงทำอันตรายระบบหายใจได้มากยิ่งขึ้นผลต่อผู้สูดหายใจเอาสารมลพิษเข้าไป จึงมีอย่างสลับซับซ้อน ทั้งยังอาจเกิดขึ้นได้อย่างฉับพลันทันที หรือค่อยสะสมทีละเล็กทีละน้อย แล้วจึงปรากฏอาการในภายหลัง นอกจากนี้คนบางกลุ่มยังรับอันตรายเร็วและมากกว่าคนทั่วไปเป็นพิเศษอีกด้วย ดังเช่น ในกรณีวิกฤติการณ์ในกรุงลอนดอน ในปี ค.ศ. ๑๙๕๒ และ ๑๙๖๒ (พ.ศ. ๒๔๙๕ และ ๒๕๐๕) นั้น เชื่อกันว่าสม็อกและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ปกคลุมกรุงลอนดอนอยู่อย่างหนาทึบ เป็นระยะเวลา ๕ วัน เป็นเหตุให้มีผู้คนล้มตายเป็นจำนวน ๔,๐๐๐ คน และ ๓๔๐ คนตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็ก และผู้เป็นโรคทางเดินหายใจ ปศุสัตว์ต่างๆ ในบริเวณนั้นก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน
วิธีการควบคุมป้องกันมลพิษทางอากาศ
สภาวะการที่บรรยากาศกลางแจ้งมีสิ่งเจือปน เช่น ฝุ่นละออง ก๊าซต่าง ๆ ละอองไอ กลิ่น ควัน ฯลฯ อยู่ในลักษณะ ปริมาณ และระยะเวลาที่นานพอที่จะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของมนุษย์หรือสัตว์ หรือทำลายทรัพย์สินของมนุษย์หรือสิ่งแวดล้อมอื่นสารมลพิษทางอากาศปฐมภูมิ เป็นสารมลพิษทางอากาศ ที่ถูกปล่อยออกมาจากแหล่งกำเนิดโดยตรง เช่น จากโรงงานอุตสาหกรรมมีผลกระทบโดยตรงและเป็นสารตั้งต้นของสารมลพิษทางอากาศทุติยภูมิ [3]สารที่ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศปฐมภูมิคือ Sulfur dioxide , Carbon monoxide Nitrogen dioxide , ground-level ozone lead , carbon particles สารมลพิษทางอากาศทุติยภูมิ เป็นมลพิษทางอากาศที่ไม่ได้เกิดหรือปล่อยออกมาโดยตรง ในอากาศ น้ำหรือดิน สารมลพิษเกิดกระบวนการสังเคราะห์ในสภาวะแวดล้อมโดยมีปฏิกิริยาทางเคมีที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่ปล่อยออกมา เช่น ก๊าซโอโซน ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาเคมี Photochemical Oxidation ระหว่างก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจนกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่อยู่ในบรรยากาศโดยมีแสงแดดเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา เป็นต้น
1. การควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ การป้องกันและควบคุมมลพิษทางอากาศ มีข้อควรคำนึงถึงในแง่ของการดำเนินการป้องกัน และควบคุมให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม นั่นหมายความว่า จะต้องมีมาตรฐานหรือเกณฑ์ต่างๆ มาใช้ในการเปรียบเทียบผลจากการประเมินตรวจวัดว่าสูงกว่าหรือได้เกณฑ์มาตรฐาน ดังนั้น การควบคุมและป้องกันอย่างได้ผล จึงต้องแยกดำเนินการใน 2 ขั้นตอนคือ การควบคุมการปล่อยสารมลพิษหรือลดการผลิตสารมลพิษจากแหล่งกำเนิด (Source Control) ให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ และ การควบคุมหรือกำจัดสารมลพิษที่ปล่อยออกจากแหล่งกำเนิดสู่บรรยากาศ (Emission Control)
2. กากรควบคุมที่ผ่านมลพิษ การควบคุมสารมลพิษไม่ให้มีในบรรยากาศในปริมาณที่มาก จนก่อให้เกิดอันตรายนั้น การกำหนดมาตรการที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ หรือวิธีการควบคุมป้องกันไม่ให้มีการปล่อยสารมลพิษสู่บรรยากาศนั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง ได้แก่ ชนิดและปริมาณของสารมลพิษ สภาพดินฟ้าอากาศ ภูมิประเทศ เป็นต้น แต่ปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการเลือกใช้วิธีการกำจัดหรือลดสารปนเปื้อน เพื่อไม่ให้ถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศคือชนิดของสารมลพิษ ซึ่งอาจแยกเป็น แอโรซอลและแก๊ส (อินทรีย์และอนินทรีย์)
3. การควบคุมที่ตัวพนักงาน เป็นการควบคุมและป้องกันที่ตัวพนักงานไม่ได้รับมลพิษหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมการทำงาน
การควบคุมป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางกาพภาพ
อันตรายจากความร้อน
ความผิดปกติที่เกิดจากการมีอุณหภูมิสูง เมื่ออุณหภูมิของร่างกายสูงกว่า 41 องศาเซลเซียส จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม เซลล์ประสาทบางส่วนในระบบประสาทส่วนกลางจะถูกทำลายอย่างถาวร และถ้ายังได้รับความร้อนเพิ่มขี้นอีกศูนยควบคุม อุณหภูมิทั้อยู่ในสมองจะเสียไป ไม่สามารถระบายความร้อนออก จะทำให้เกิดความรู้สึกมึนงงและ อาจเกิดอาการชักอย่างรุนแรงได้ (severe convulsion) ซึ่งอาจช่วยลดอุณหภมิโดยการเช็ดตัวด้วยน้ำผสมแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย อุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส ป็นอุณหภูมสูงสุดที่คนจะทนอยู่ได้ หากไม่ได้ช่วยลดความร้อนอย่างมีประสิทธิภาพ เขลล์ทั่วไปจะถูกทำลายและ อาจถึงแก่ชีวิตได้
1. เป็นลมปัจจุบัน ร่างกายไม่สามารถปรับตัวได้ทันผู้ป่วยจะลมหมดสติ อุณหภูมิร่างกายสูง ตัวแห้ง ผิวแดง
2. อ่อนเพลียเนื่องจากความร้อน ทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่ไปมาก จะทำให้เสียสมดุล เกิดอาการเพลีย เมื่อนล้า เป็นตะคริว
3. การแก้ไข โดยออกมาสู่ที่เย็นๆอากาศถ่ายเทได้ดี
4. อันตรายที่เกิดความร้อน
1. ทำให้อ่อนเพลีย
2. ทำให้ขาดน้ำเพราะเสียเหงื่อออกไปมาก
3. ทำให้เป็นตะคริว
4. ทำให้เป็นลม หมดสติ
5. การป้องกันตัวพนักงาน
1. ใช้อุปกรณ์ป้องกัน
2. เลือกพนักงานที่แข็งแรง
3. จัดน้ำและเกลือแร่เพื่อลดความกระหายน้ำของพนักงาน
4. ปรับสภาพกับสภาพความร้อนขณะทำงาน
5. ลดชั่งโมงการทำงาน
อันตรายจากแสงสว่าง
1. ประเภทของแสง
1. อันตรายจากแสงเหนือม่วง(Ultraviolet Light, UV) ทำให้นัยน์ตาอักเสบ ตาแดง หรือเยื่อบุตาในชั้นตาดำอาจถูกทำลาย ทำให้ขุ่นมองเห็นไม่ชัด จะพบในงานเชื่อมโลหะ งานเกษตรกลางแจ้ง งานก่อสร้างกลางแจ้ง เป็นต้น
2. อันตรายจากแสงใต้แดง(Infrared, IR) ทำให้ตาขุ่น ไม่สามารถมองเห็นได้ชัด จะพบในงานอุตสาหกรรมเป่าแก้ว งานหล่อหลอมโลหะ งานเชื่อมชนิดต่างๆ และการอบสี เป็นต้น
3. อันตรายจากแสงในช่วงคลื่นของความถี่วิทยุโทรทัศน์ ช่วงคลื่นนี้จะทำอันตรายต่อเลนส์ของนัยน์ตามากที่สุด เพราะมีการดูดกลืนของรังสีวิทยุ ทำให้เกิดความร้อนสูง ซึ่งนัยน์ตาจะมีการไหลเวียน หรือถ่ายเทความร้อนที่ไม่เพียงพอทำให้เซลล์ของนัยน์ตาเกิดการขุ่นมัวได้เร็ว ทำให้เป็นตาต้อได้
2. อันตรายจากแสงสว่าง
แสงสว่าง มีความสำคัญอย่างมากที่จะช่วยให้ผู้ทำงานสามารถทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ทำให้งานมีคุณภาพจากการที่สามารถมองเห็นชิ้นงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้เกิดผลผลิตที่มีคุณภาพและมีปริมาณเพิ่มขึ้น และลดอัตราการสูญเสียของชิ้นงานได้ ฉะนั้น การจัดแสงสว่างในสถานที่ทำงานให้เหมาะสมกับสิ่งแวดล้อมการทำงาน จึงมีความสำคัญต่อผู้ปฏิบัติงานและต่อเจ้าของสถานประกอบการ แสงสว่างน้อยเกินไป จะมีผลให้ตาทำงานหนักเกินไป เนื่องจากต้องบังคับให้ม่านตาเปิดกว้าง เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เกิดการเมื่อยล้าของตา ทำให้เกิดอาการปวดกระบอกตา มึนศีรษะ ขึ้นได้ ส่งผลกระทบต่อการทำงาน ทำให้หมีประสิทธิภาพลดน้อยลง รวมถึงอาจเกิดความผิดพลาดในการหยิบจับใช้สอยอุปกรณ์เครื่องมือสำนักงานต่างๆ ได้ง่ายขึ้น นำไปสู่อุบัติเหตุได้ แสงสว่างที่มากเกินไป อาจเกิดได้ทั้งจากแหล่งกำเนิดแสงโดยตรง(Direct glare) หรือ แสงจ้าตาที่เกิดจากการสะท้อนแสง (Reflectedglare) จากวัสดุที่อยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ผนังห้อง เครื่องมือ เครื่องจักร เป็นต้น เป็นผลทำให้ประสิทธิภาพในการมองเห็นของผู้ทำงานแย่ลง เมื่อยล้า ปวดตา วิงเวียน มึนศีรษะ อาจมีอาการกล้ามเนื้อหนังตากระตุกร่วมด้วย และนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้เช่นกัน
อันตรายจากเสียงดัง
เสียงดัง หมายถึง เสียงที่มีความดัง จนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อระบบการได้ยิน ทั้งนี้กฎหมายแรงงานระบุให้ต้องควบคุมระดับเสียงที่ลูกจ้างได้รับเฉลี่ยตลอดเวลาการทำงานในแต่ละวัน (Time Weighted Average-TWA) มิให้เกินมาตรฐานที่กำหนดในกฎกระทรวง แบ่งออกเป็นดังนี้
1. ประเภทของเสียง
1. เสียงดังแบบต่อเนื่อง (continuous Noise) เป็นเสียงดังที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำแนกออกเป็น 2 ลักษณะ คือ เสียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (steady-state Noise) และเสียงดีงต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non steady state Noise)
1.1 เลียงดังต่อเนื่องแบบคงที่ (Steady-state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มีระดับเสียง เปลี่ยนแปลง ไม่เกิน 3 เดซิเบล เช่น เสียงจากเครื่องทอผ้า เครื่องปั่นด้าย
1.2 เสียงดังต่อเนื่องที่ไม่คงที่ (Non-steady state Noise) เป็นลักษณะเสียงดังต่อเนื่องที่มี ระดับเลียงเปลี่ยนแปลงเกินก่า 10 เดชิเบล เช่น เสียงจากเลื่อยวงเดือน
2. เสียงดังเป็นช่วงๆ (lntermittent Noise) เป็นเสียงที่ดังไม่ต่อเนีอง มีความเงียบหรีอเบากว่าเป็นระยะๆลลับไปมา เช่น เสียงเครื่องปั๊ม/อัดลม เสียงจราจร เสียงเครื่องบินที่บินผ่าน
3. เสียงดังกระทบ หรือ กระแทก (lmpact or lmpulse Noise) เป็นเสียงที่เกิดขึ้นและสิ้นสุดอย่างรวดเร็ว ในเวลาน้อยกว่า 1 วินาที มีการเปลี่ยนแปลงของเสียงมากกว่า 40 เดชิเบลเช่น เสียงการตอกเสาเข็ ม การปั๊มชิ้นงาน การทุบเคาะอย่างแรง เป็นต้น
2. ระยะเวลาย่อมให้ทำงานในที่เสียงดัง
การป้องกันอันตรายจากการสั่นสะเทือน
การสั่นหรือการแกว่งของวัตถุหรือชิ้นส่วนต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับจุดที่ใช้อ้างอิง เช่นการสั่นสะเทือนของเครื่องจักรเมื่อเปรียบเทียบกับฐานของเครื่อง หรือการสั่นสะเทือนของตลับลูกปืน (Bearing) เมื่อเทียบกับตัวเรือน (Cage or Housing)
1. อันตรายที่เกิดจากการสั่นสะเทือนทั้งตัว
1. เกิดการรำคาญ
2. ทำให้เสียการทรวตัว
3. ลดประสิทธิภาพในการทำงาน
4. เป็นอันตรายต่ออวัยวะภายใน
5. ทำให้ปวดหลัง
2. อันตรายจากการทำงานที่สั่นเฉพาะที
1. กระดูกขาดแคลเซียม
2. มือลีบ
3. ปวดตามข้อมือ
4. โรคซีดชา
การป้องกันอันตรายจากรังสี
กัมมันตภาพรังสี (Radioactivity) เป็นคุณสมบัติของธาตุและไอโซโทปบางส่วน ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นธาตุหรือไอโซโทปอื่น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะมีการปลดปล่อยหรือส่งรังสีออกมาด้วย ปรากฏการณ์นี้ได้พบครั้งแรกโดย เบคเคอเรล เมื่อปี พ.ศ. 2439 ต่อมาได้มีการพิสูจน์ทราบว่า รังสีที่แผ่ออกมาในขบวนการสลายตัวของธาตุหรือไอโซโทปนั้นประกอบด้วย รังสีแอลฟา, รังสีเบต้า และรังสีแกมมาอันตรายจากรังสีแม้รังสีจะมีอยู่ล้อมรอบตัวเรา และมนุษย์ทุกคนก็สามารถใช้ประโยชน์จากรังสีได้ แต่รังสีก็นับได้ว่ามีความเป็นพิษภัยในตัวเองเช่นกัน รังสีมีความสามารถก่อให้เกิดความเสียหายของเซลล์สิ่งมีชีวิต และถ้าได้รับรังสีสูงมากอาจทำให้มีอาการป่วยทางรังสีได้ ดังนั้นผู้ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวข้องกับรังสีจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ เพื่อป้องกันตัวเองและสาธารณชนไม่ให้ได้รับอันตรายจากรังสีเลย
การควบคุมป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางเคมี
ประเภทสารเคมีและการเข้าสู้ร่างกาย
สารเคมี คือวัสดุใดๆ ที่สามารถระบุองค์ประกอบทางเคมีที่แน่นอนได้ เช่น น้ำบริสุทธิ์(H2O) ประกอบด้วยธาตุ ไฮโดรเจน(H) 2 อะตอม และออกซิเจน(O) 1 อะตอมรวมตัวกัน หรืเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ก็ประกอบด้วยธาตุ Na และ Cl อย่างละ 1 อะตอม
ความเป็นพิษของสารเคมี
1. สารที่ทำให้เหิดระคายเคือง
2. สารที่ทำให้เกิดหมดสติได้
3. สารเสพติด
4. สารที่เป็นสารอันตรายต่อระบบการสร้างโลหิต
5. สารที่เป็นอันตรายต่อกระดูก
6. สารที่ทำอันตรายต่อระบบหายใจ
7. สารก่อกลายพันธุ์
8. สารก่อมะเร็ง
9. สารเคมีที่ทำให้ทารกเกิดความพิการ
การป้องกันอันตรายจากเคมี
1. แหล่งกำเนิดของสารเคมี เช่น ใช้สารเคมีที่มีพิษน้อยกว่าแทน
2. ทางผ่านของสารเคมี เช่น การติดตั้งระบบระบายอากาศทั่วไป
3. พนักงานหรือผู้ปฎิบัติงาน เช้น การอบรมถึงอันตรายและการป้องกัน
การควบคุมป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมชีวภาพ
โรคที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทางชีวภาพ
1. วัณโรค ที่เกิดจากไมโคแบคทีเรียหลายสายพันธุ์ ตามปกติคือ วัณโรคโดยปกติก่อให้เกิดอาการป่วยที่ปอดแต่ยังสามารถส่งผลกระทบต่อส่วนอื่นของร่างกายได้ วัณโรคแพร่ผ่านอากาศเมื่อผู้ที่มีการติดเชื้อ MTB มีฤทธิ์ไอ จาม หรือส่งผ่านน้ำลายผ่านอากาศ การติดเชื้อในมนุษย์ส่วนมากส่งผลให้เกิดไร้อาการโรค การติดเชื้อแฝง และราวหนึ่งในสิบของการติดเชื้อแฝงท้ายที่สุดพัฒนาไปเป็นโรคมีฤทธิ์ ซึ่ง หากไม่ได้รับการรักษา ทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตมากกว่า 50%
2. โรคปอดชาวนา โรคนี้เกิดจากเชื้อราในฝุ่นฟางข้าว
3. โรคปอดฝุ่นฝ้าย เกดิจากเชื้อราในฝุ่นฝ้าย
4. แอนแทรคซ์ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
5. คิว ฟีเวอร์ เกดิจากเชื้อริคเกตเซีย
6. บลูเซลโลซีส พบในอาชีพคนงานฆ่าสัตว์และชาวนา
7. อีริซีพีสัส เกิดจากเชื้อแบคทีเรียพบในอาชีพชาวประมง
การป้องกันและควบคุมมลพิษในสภาพแวด้อมการทำงานด้านชีวภาพ
1. รักษาความสะอาดของผิวหนัง
2. เมื่อมีบาดแผลควรรีบทำความสะอาด
3. ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
4. สวมรองเท้าที่ป้องกันน้ำได้
5. รับประทานอาหารที่สุก สะอาด
การควบคุมป้องกันอันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางการยศาสตร์
อันตรายจากสิ่งแวดล้อมทางการยศาสตร์
การยศาสตร์(ergonomics) เป็นคำที่มาจากภาษากรีก คือ "ergon" ที่หมายถึงงาน(work) และอีกคำหนึ่ง "nomos" ที่แปลว่า กฎตามธรรมชาติ(Natural Laws) เมื่อนำมารวมกันกลายเป็นคำว่า "ergonomics" หรือ "laws of work" ที่อาจแปลได้ว่ากฎของงาน ซึ่งเป็นศาสตร์ หรือวิชาการที่เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพงานให้เหมาะสมกับผู้ปฏิบัติงาน หรือเป็นการปรับปรุงสภาพการทำงานอย่างเป็นระบบการยศาสตร์ เป็นศัพท์บัญญัติมาจากคำภาษาอังกฤษว่า "Ergonomics" ซึ่งมีรากศัพท์มาจากคำภาษากรีกประกอบรวมกัน ๓ คำ คือ"ergon" หมายถึง "งาน" (work) "nomoi" หมายถึง "กฎ" (law) และ "ikos" หมายถึง "ศาสตร์หรือระบบความรู้" (ics) หากแปลตามตัวอักษร "Ergonomics" จึงหมายถึง ศาสตร์หรือระบบความรู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกฎกับงาน ส่วนคำว่า "การย์" (การยะ) ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ให้ความหมายว่า หน้าที่ กิจธุระ งาน ดังนั้น ศัพท์บัญญัติว่า การยศาสตร์ จึงมีความหมายว่า ระบบความรู้เกี่ยวกับงาน ซึ่งค่อนข้างตรงกับความหมายของรูปศัพท์ ในคำภาษาอังกฤษ อันตรายจากสิ่งแวดล้อมด้านยศาสตร์ ได้แก่
1. การออกแบบงานไม่เหมาะสมกับผู้ปฎิบัติงาน
2. เครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ไม่เหมาะสม
3. อิริยาบถในการทำงานที่ผิดธรรมชาติ
ประโยชน์ทางการยศาสตร์
1. เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
2. ลดอุบัติเหตุ ค่าใช้จ่ายจากอุบัติเหตุ
3. ต้นทุนการผลิต
4. ระยะเวลาในการฝึกอบรมน้อย
5. เพิมประสิทธิภาพและความสามารถของพนักงาน