การบริหารจัดการ (Management) เป็นการใช้วิธีการจัดการฝ่ายต่างๆในองค์กรให้สามารถดำเนินการได้ตามแผนงาน โดยทั่วไปธุรกิจ SMEs จะมีฝ่ายงานด้านการตลาด การผลิต การเงินและบัญชี การบริหารบุคคล และฝ่ายธุรการ ซึ่งเจ้าของกิจการต้องร่วมกันวางแผนงาน และกำกับดูแลให้ผู้จัดการหรือคนที่รับผิดชอบงานแต่ละฝ่ายได้ทำงานให้เป็นตามเป้าหมายที่ตั้งได้ ซึ่งการที่จะบริหารจัดการงานเหล่านี้ได้ เจ้าของกิจการควรดำเนินงานตาม 5 ขั้นตอนต่อไปนี้
การวางแผน (Planning) เป็นการกำหนดเป้าหมายในอนาคตของกิจการและกำหนดกิจกรรมที่จะต้องดำเนินงานเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกิจการ
การจัดองค์กร (Organizing) มีการจัดแบ่งอำนาจหน้าที่รับผิดชอบ และสายงานการบังคับบัญชาด้วยการแบ่งงาน กระจายอำนาจ และจัดงานให้กับแผนกหรือฝ่ายต่างๆที่เหมาะสมกับธุรกิจ
การจัดพนักงานทำงาน (Staffing) มีการจัดหาบุคลากรเข้าทำงานด้วยการสรรหา คัดเลือก ฝึกอบรมและพัฒนาให้บุคลากรสามารถทำงานได้ตามแผนที่วางไว้
การอำนวยการหรือสั่งงาน (Directing) คือการสั่งงาน ชี้แนะ ติดตามผลดำเนินการให้เป็นตามแผนงาน
การรายงาน
การจัดงบประมาณ
คณะกรรมการความปลอดภัย
คณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (คปอ.) เป็นการร่วมมือจากทุกภาคส่วนในองค์กรในการดำเนินงานด้านความปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นนายจ้าง ลูกจ้าง โดยมีหน้าที่ในการพิจารณานโยบายและแผนงานด้านความปลอดภัยในการทำงาน รายงานและเสนอแนะมาตรการหรือแนวทางปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องตามกฎหมายเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำงาน ส่งเสริม สนับสนุน กิจกรรมด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการ สำรวจการปฏิบัติการด้านความปลอดภัยในการทำงาน และตรวจสอบสถิติการประสบอันตรายที่เกิดขึ้นในสถานประกอบกิจการนั้น วางระบบการรายงานสภาพการทำงานที่ไม่ปลอดภัยให้เป็นหน้าที่ของลูกจ้างทุกคนทุกระดับต้องปฏิบัติ รวมทั้งประเมินผลการดำเนินงานด้านความปลอดภัยในการทำงานของสถานประกอบกิจการ เป็นต้น โดยสถานประกอบกิจการควรมีการประชุมอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ทั้งนี้ กฎกระทรวงบริหารการจัดการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2549 ได้กำหนดให้สถานประกอบกิจการที่มีจำนวนพนักงานตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ต้องมีคณะกรรมการความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทํางานของสถานประกอบกิจการ และได้แบ่งจำนวนของคณะกรรมการความปลอดภัยฯ ตามจำนวนลูกจ้าง ดังนี้
นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างระดับบริหารเป็นประธาน
ผู้แทนนายจ้างระดับบัญชา 1 คนเป็นกรรมการ
ผู้แทนลูกจ้าง 2 คนเป็นกรรมการ
จป.เทคนิคขั้นสูงหรือ จป.วิชาชีพ เป็นกรรมการและเลขานุการ
นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างระดับบริหารเป็นประธาน
ผู้แทนนายจ้างระดับบัญชา 2 คนเป็นกรรมการ
ผู้แทนลูกจ้าง 3 คนเป็นกรรมการ
จป.เทคนิคขั้นสูงหรือจป.วิชาชีพ เป็นกรรมการและเลขานุการ
นายจ้างหรือผู้แทนนายจ้างระดับบริหารเป็นประธาน
ผู้แทนนายจ้างระดับบัญชา 4 คนเป็นกรรมการ
ผู้แทนลูกจ้าง 5 คนเป็นกรรมการ
จป.เทคนิคขั้นสูงหรือจป.วิชาชีพ เป็นกรรมการและเลขานุการ
โดยกรรมการมีวาระ 2 ปี และหากคณะกรรมการมีมากกว่าขั้นต่ำ ให้เพิ่มกรรมการจากผู้แทนนายจ้างและผู้แทนลูกจ้างในสัดส่วนที่เท่ากันซึ่งในแต่ละตำแหน่งนั้นสามารถดำเนินการได้ ดังนี้
>> ประธานกรรมการ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง นายจ้างสามารถแต่งตั้งได้เลย<<
>> ผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง จะต้องมีการเลือกตั้งให้เป็นตามกฎหมายกำหนด<<
>> เลขานุการที่เป็น จป.วิชาชีพหรือ จป.เทคนิคขั้นสูง นายจ้างสามารถแต่งตั้งได้ตามความเหมะสม กรณีไม่มีจป.วิชาชีพหรือ จป.เทคนิคขั้นสูง ให้นายจ้างแต่งตั้งผู้แทนนายจ้างมาเป็น <<
คณะกรรมการความปลอดภัยฯ จึงมีความสำคัญในการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน เพื่อป้องกันอันตราย อุบัติเหตุ และโรคจากการทำงาน ส่งผลให้การประสบอันตรายลดลง และเกิดการร่วมมือของทุกภาคส่วนในองค์กรให้สามารถขับเคลื่อนงานด้านความปลอดภัยฯ เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานอย่างจริงจังและยั่งยืน
กิจกรรมสร้างเสสริมความปลอดภัยในการทำงาน
กิจกรรม 5ส เป็นกระบวนการหนึ่งที่เป็นระบบมีแนวปฏิบัติ ที่เหมาะสมสามารถนำมาใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขงานและรักษาสิ่งแวดล้อมในสถานที่ทำงานให้ดีขึ้น ทั้งในส่วนงานด้านการผลิต และด้านการบริการ ซึ่งนำมาใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร ได้อีกทางหนึ่ง
สะสาง Seiri (เซริ) (ทำให้เป็นระเบียบ) คือ การแยกระหว่างของที่จำเป็นต้องใช้กับของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ขจัดของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ทิ้งไป
สะดวก Seiton (เซตง) = สะดวก (วางของในที่ที่ควรอยู่) คือ การจัดวางของที่จำเป็นต้องใช้ให้เป็นระเบียบสามารถหยิบใช้งานได้ทันที
สะอาด Seiso (เซโซ) = สะอาด (ทำความสะอาด) คือการปัดกวาดเช็ดถูสถานที่ สิ่งของ อุปกรณ์ เครื่องมือเครื่องจักร ให้สะอาดอยู่เสมอ
สุขลักษณะ Seiketsu (เซเคทซึ) = สุขลักษณะ (รักษาความสะอาด) คือ การรักษาและปฏิบัติ 3ส ได้แก่ สะสาง สะดวก และสะอาดให้ดีตลอดไป
สร้างนิสัย Shitsuke (ซึทซึเคะ) = สร้างนิสัย (ฝึกให้เป็นนิสัย) คือ การรักษาและปฏิบัติ4ส หรือสิ่งที่ กำหนดไว้แล้วอย่างถูกต้องจนติดเป็นนิสัย
เหตุผลที่กิจกรรม 5ส ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย
5ส เป็นเทคนิคที่ทุกคนสามารถเข้าใจแนวทางการปฏิบัติได้ง่าย อุปกรณ์ที่ใช้มีเพียงเครื่องมือทำความสะอาด ซึ่งใช้งบประมาณต่ำ ผู้ทำ 5ส ได้เรียนรู้การทำงานเป็นทีมเป็นกิจกรรมที่ปฏิบัติเป็นกลุ่มพื้นที่ ซึ่งมีส่วนสนับสนุนเรื่องการทำงานเป็นทีม สมาชิกในพื้นที่ได้ร่วมกันวางแผนและลงมือปรับปรุงพื้นที่ ปฏิบัติงานของตนเอง และกลุ่มกิจกรรม 5ส ยังช่วยเสริมสร้างทักษะการเป็นผู้นำให้แก่หัวหน้าพื้นที่อีกด้วยเห็นผลที่เป็นรูปธรรม พื้นที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้ดีขึ้นและมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการจัดเก็บสิ่งของเป็นระเบียบมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาค้นหาของหรือเอกสาร การปรับปรุงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่มองเห็นได้และเป็นรูปธรรม ส่งเสริมการสร้างนิสัย และการมีวินัยในหน่วยงาน
การปฏิบัติกิจกรรม 5ส อย่างสม่ำเสมอจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวันจะเสริมสร้างลักษณะนิสัยและความเป็น ระเบียบ วินัยให้แก่ผู้ปฏิบัติกิจกรรม สิ่งของในที่ทำงานมีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และจัดเก็บอย่างเป็นระบบ ทำให้การทำงาน มีประสิทธิภาพสูงยิ่งขึ้น
การสร้างจิตสำนักและกำหนดวิธีการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย
1 การสร้างจิตสำนักเพื่อความปลอดภัยโดยประสาสัมผัสทั้ง 5
การสร้างความปลอดภัยในลักษณะนี้ สามารถกระทำได้โดยการฝึกใช้ประสามสัมผัสทั้ง 5 ซึ่งประกอบไปด้วย ดา หู จมูก ปาก และผิวหนัง เป็นเครื่องตรวจสอบความไม่ปลอดภัยให้ตนเอง
- ตา : ใช้สอดส่องหาสิ่งผิดปกติหรือสิ่งที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งสำคัญที่สุด
- หู : ใช้ฟังเสียงสิ่งผิดปกติของเครื่องจักร เครื่องมือและกระบวนการผลิต
- จมูก : ใช้ดมกลิ่นที่ผืดปกติบริเวณพื้อนที่ทำงาน
- ปาก : ใช้สำหรับรัส่งข้อมูลและแจ้งเหตุ
- ผิวหนัง : ใช้รับความรู้สึกที่ผิดปกติ เช่น ร้อน เย็น และอาการแพ้ต่างๆ
2 . การสร้างจิตสำนึกเพื่อความปลอดภัยให้คงอยู่ตลอดไป
1) คิดอยู่เสมอว่าอุบัติเหตุเป็นสิ่งที่ป้องกันได้
2) ความเสี่ยงเพียงนิดเดียวก็เกิดอุบัติเหตุได้
3) ผู้ได้รับอุบัติเหตุจะสูญเสียมากที่สุด
4) การทำงานด้วยความเคยชิน ไม่ใช่เป็นหลักป้องกันว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุ
5) ปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยให้เป็นนิสัย
6) ความเร่งรีบ หรือรีบร้อนจะทำให้ลืมกฎความปลอดภัย
7) ทุกฝ่ายต้องให้ความร่วมมือในการป้องกันอุบัติเหตุ
8) ฝ่ายบริหารต้องให้ความสำคัญ และให้การสนับสนุน
9) มีการอบรม สัมมนา หรือดูงานความปลอดภัยสม่ำเสมอ
10) การป้องกันอุบัติเหตุต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง
3 การกำหนดวิธีการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย
1) ขั้นตอนการ
ก สำสวจสถานที่สะอาบเรียบร้อยดีหรือยัง
ข ท่านแต่งกายได้เหมาะสมและรัดกุมพร้อมที่จะทำงานแล้วหรือ
ค การติดตั้งครื่องมือ อุปกรณ์เรียบร้อยแล้วหรือ
ง เครื่องป้องกันที่ต้องใช้ เช่น แว่นตา หมวก เครื่องป้องกัน ถุงมือ รองเท้า อยู่ในสถาพเรียบร้อย และสามารถที่จะหยิบมาใช้ได้แล้วหรือ
2) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน
ก ปฏิบัติงานตามขั้นตอนของการทำงานที่ปลอดภัย
ข เลือกใช้เครื่องมือถูกลักษณะและถูกกับงาน
ค ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท
3) ขั้นหลังการปฏิบัติงาน
ก เก็บเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆไว้ในที่ที่ของมันให้เรียบร้อย อย่าคิดว่าไม่เป็นไรพรุ่งนี้ก็ต้องใช้อีกวางไว้แล้วกัน
ข สถานที่ทีอันตรายควรปิดป้ายบอกเอาไว้ เช่น กำลังซ่มเครื่องจักร อาจติดป้ายบอกเอาไว้ว่า “ อย่าเข้าใกล้เครื่องจักรกำลังซ่อม “
ค ทำความสะอาดและเคลียร์พื้นที่ให้เรียบร้อยก่อนที่จะเลิกงานแต่ล่ะวัน เพราะมิฉะนั้นจะเกิดการหมักหมมขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
4 การป้องกัน
อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่สามรถป้องกันได้และมีวิธีการป้องกันเสมอหากไม่ประมาท ดังนั้นการป้องกันอุบัติเหตุในการทำงานเป็นวิธีการที่ถูกต้องและเป็นการลงทุนที่ฉลาด เพราะการลงทุนด้านการป้องกันย่อมดีกว่าการแก้ไขหลังจากเกิดอุบัติเหตุแล้ว แต่ในการป้องกันที่จะให้ได้ผลนั้นทุกคนในองค์กรนั้นๆ จะต้องมีหน้าที่และรับผิดชอบร่วมกัน คือผู้บริหาร ผู้ควบคุมงาน (หัวหน้างาน) และพนักงานดดยมีหน้าที่ดังนี้
1 ผู้บริหาร : เช่น จัดให้มีการอบรมวิธีการแห่งการปลอดภัยแก่คนงาน
2 ผู้ควบคุมงาน (หัวหน้างาน) : เช่น สอนวิธีการทำงานแก่คนงานและควบคุมให้ทำงานอย่างปลอดภัย
3 พนักงาน : ต้องเคารพและเชื่อฟังกฏเกณฑ์และปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สำหรับในสถานศึกษาหรือสถาบันฝึกการอาชีพต่างๆ ผู้มีหน้าที่จะประกอบไปด้วย ผู้บริหารครูฝึกและผู้รับการฝึก โดยมีหน้าที่ดังนี้
1. ผู้บริหาร : เช่น กำหนดนโยบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับวิธีการฝึกที่ปลอยภัยพร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักรที่มีความปลอดภัยต่อการฝึดก จัดหาอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัย และให้มีการบังคับใช้อย่างเตร่งครัด
2. ครูฝึก : เช่น สอนวิธีการปฏิบัติงานที่ถูกต้องแก่ผู้รับการฝึก โดยเน้นถึงทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานแต่ละรายชิ้น แลละควบคุมดูแลให้ผู้รับการฝึกปฏิบัติงานอย่างปลอดภัย พร้อมทั้งครูฝึกต้องเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้รับการฝึกด้วย
3. ผู้รับการฝึก : ผู้รับการฝึกต้องปฏิบัติต้องตามกฎ ระเบียบ ข้อบังคับของการฝึกอย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะการใช้เครื่องจักรที่มีคม เช่น เครื่องเลื่อย เครื่องกลึง และเครื่องตัด ควรจะได้รับอนุญาตจากผู้ฝึกก่อนก่อนใช้หรือศึกษาวิชาการใช้ให้เข้าใจก่อนปฎิบัติงาน
การประเมินความเสี่ยงในที่ทำงาน
1) ระบุเหตุการณ์เสี่ยงในที่ทำงานของคุณ
การระบุความเสี่ยงที่เป็นอันตรายแบบมีนัยสำคัญทีสำนักงานของคุณ ความเสี่ยงเป็นโอกาสที่ใครบางคนอาจจะเสียหายจากอันตรายที่มาพร้อมกับข้อบ่งชี้ของวิธีการที่รุนแรงและอันตราย อาจจะเกิดจากกฎหมาย พรบ. กฎระเบียบบางอย่างที่ล้าสมัย ซึ่งความเสี่ยงส่วนใหญ่ที่มีนัยสำคัญคุณจะไม่สามารถขจัดความเสี่ยงได้ทั้งหมด แต่คุณจะต้องหาทางปกป้องเจ้าหน้าที่ผู้ปฎิบัติงาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย “ด้วยแนวทางปฎิบัติที่สมเหตุสมผล”
ขั้นตอนแรกของการประเมินความเสี่ยง คือ การมองหาอันตราย อุปสรรค ข้อบ่งชี้ที่จะทำให้การปฎิบัติงานขององค์กร ฝ่ายงาน ส่วนงาน และเจ้าหน้าที่ปฎิบัติโครงการ ประสบปัญหา และควรเป็นสิ่งที่มองเห็นได้ง่ายๆ เช่น สายเคเบิ้ลไฟฟ้าที่พาดผ่านอาคารและประตูเข้าออกสำนักงานย้อยลงมาต่ำจนน่ากลัว หรือ เกิดประกายไฟในช่วงฝนตกในบริเวณจุดเชื่อมต่อ จุดแลกบัตรพนักงานเข้าออกที่ไม่มีการถ่ายรูปกล้องวงจรปิดใบหน้าผู้เข้าออกสำนักงาน พื้นผิวบริเวณอาคารมีรอยแตกร้าวลึกและกว้าง เป็นต้น
หรืออาจจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสและรู้สึกได้ เช่น กระบวนการทำงานที่ซับซ้อน และผ่านการกลั่นกรองหลายคณะ เอกสารผ่านผู้อนุมัติหลายฝ่ายงาน (แต่ละคนมาโดยตำแหน่งไม่ได้มีความรู้ในงานที่ได้รับมอบหมาย) เอกสาร TOR ออกแบบไม่ครอบคลุมความต้องการของผู้ว่าจ้าง และมีการแก้ไขได้ยากทำให้ได้ผลงานที่ไม่สามารถนำไปใช้ปฎิบัติงานได้จริงตามประสงค์
คุณควรจะมีการแยกความแตกต่างระหว่าง :
สถานที่ทำงานที่มีความอันตราย : โครงสร้างอาคารที่เก่า ลิฟท์ที่ไม่มีการบำรุงรักษาตามเวลา ไม่มีการซ้อมการหนีไฟ อุปกรณ์ดับเพลิงล่าสมัย ไม่ครอบคลุม
กิจกรรมที่มีความอันตราย : หน่วยงานที่อยู่ตามไซต์งาน หรืองานประเภทก่อสร้าง การเชื่อมโลหะ การซ่อมบำรุงเครื่องจักรขนาดใหญ่
สิ่งแวดล้อมที่เป็นอันตราย : การไม่มีการกันพนักงานที่ติดเชื้อไข้หวัด หรือไวรัสทำให้ป่วยไปยังห้องพักผ่อนพยาบาล ไม่มีจุดตรวจไข้สำหรับพนักงานหรือตู้ยาประสำนักงาน การปรับเปลี่ยนแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาสในสำนักงาน ฯลฯ
วิธีการสังเกตความเสี่ยงที่เป็นอันตราย
การเดินสำรวจอาคารสำนักงานโดยรอบ และบริเวณลานจอดรถยนต์
การพูดคุยกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถึงจุดที่มีความเสี่ยงสูง
การพูดคุยกับพนักงานที่กลับบ้านดึกๆ หรือกลับบ้านเป็นคนสุดท้ายประจำ
การตรวจสอบบันทึกอุบัติเหตุและการบำรุงรักษาอุปกรณ์ส่วนกลางของสำนักงาน
2) ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจ ใครที่อาจจะได้รับผลกระทบจากความเสี่ยง
การประเมินสถานการณ์ด้านความเสี่ยงบางอย่าง ที่ไม่มีความแน่นอน เช่น คุณสมชายเดินทางออกไปซื้อก๋วยเตี๋ยวตอนดึก คนเดียวด้วยเท้าเปล่าเพราะรีบร้อน กลับอีกเหตุการณ์หนึ่่ง คุณสมศักดิ์ เดินทางไปเที่ยวเกาะกลางทะเลกับเพื่อน และอยากใช้ชีวิตชาวเกาะด้วยการดำน้ำพร้อมหอกเพื่อไปแทงปลาในทะเล ซึ่ง 2 เหตุการณ์นี้จะมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน แต่มนุษย์ทุกคนได้รับการพัฒนาสัญญาณเตือนภัยขึ้น “สัญชาตญาณ” ที่มีอยู่ในทุกคน
ในโลกนี้มีความเสี่ยงที่แตกต่างกันมากมาย และมีความสลับซับซ้อนที่ต่างกันด้วยในแต่ละคนและแต่ละกลุ่ม เพราะความเสี่ยงที่เกิดกับบุคคลหนึ่ง อาจจะไม่มีผลกระทบต่ออีกบุคคลหนึ่งด้วยแม้จะอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น ความเสี่ยงด้านสุขภาพ นั้นเป็นเหตุผลที่คุณจะต้องมีวิธีการที่จะวางแผนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นรูปธรรม มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ทางธุรกิจที่มีการถือครองเงินสดมากมาย
ขั้นตอนการเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง
ขั้นตอนแรก คือ การระบุความเสี่ยง ซึ่งหมายความว่า การกำหนดสิ่งที่ไม่ดีอาจจะเกิดขึ้นกับธุรกิจ หรือ องค์กรของคุณ ให้คุณเขียนลงบนกระดาษทั้งหมดและจัดหมวดหมู่ของกลุ่มประเด็นความเสี่ยงต่างๆ
ขั้นตอนที่สอง คือ การประเมินความเสี่ยง สิ่งนี้คือสิ่งที่คุณจะต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละบุคคล ที่มีความเสี่ยงจากสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ขอให้นำข้อมูลในกระดาษที่จดมาทำการวิเคราะห์ ด้วยการแบ่งออกเป็น 3 สถานการณ์ (1) สถานการณ์ที่ดีที่สุดทีความเสี่ยงในลักษณะใด รูปแบบใด (2) สถานการณ์ปกติ มีความเสี่ยงในลักษณะใด รูปแบบใด (3) สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มีความเสี่ยงในลักษณะใด รูปแบบใด ตอนนี้ขอให้คุณทำการประเมินผลความเสี่ยง ว่าคุณจะดำเนินการการอย่างไร มีการเตรียมความพร้อมหรือยัง ถ้าเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยงแบบนี้ขึ้นจริงๆ จะมีความรุนแรงมากน้อยแค่ไหน ฯลฯ
ขั้นตอนที่สาม คือ ขอให้คุณจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงและพิจารณาผู้ที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย เช่น ความเสี่ยงที่มีโอกาสเกิดขึ้นสูง รวมกับมีผลกระทบที่น่ากลัวจะถูกนำไปอยู่ด้านบนของรายการประเมินความเสี่ยงของคุณ ความเสี่ยงที่มีโอกาสน้อยที่จะเกิดขึ้นและมีผลกระทบเล็กน้อยจะถูกรวมไปอยู่ด้านล่างของรายการของคุณ เมื่อคุณได้ทำการจัดลำดับความสำคัญของทุกรายการความเสี่ยงครบแล้ว ก็เป็นกระบวนการเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นหรือเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น หรือพยามลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
(ในขั้นตอนการปกป้องความเสี่ยงและการบริหารจัดการความเสี่ยง เราจะขออธิบายรายละเอียดในคราวต่อไปครับ ซี่งจะมี 4 ประเภทครับ)
3) การบันทึกผลการวิจัยเกี่ยวกับเหตุการณ์ความเสี่ยงและผลกระทบของความเสี่ยงที่เกิดขึ้น
การบันทึกข้อมูลเหตุการณ์ความเสี่ยงควรจะเก็บไว้ในระบบสารสนเทศที่เป็น Web Based ที่อนุญาติให้ผู้ใช้งานสามารถอินเตอร์เฟซ หรือล็อคอินเข้าใช้งานได้อย่างง่าย เพื่อให้สามารถนำข้อมูลหรือรูปแบบการวิเคราะห์ความเสี่ยงในอดีตมาเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหา และทำการปรับปรุงฐานข้อมูลความเสี่ยงให้มีความทันสมัย และมีประสิทธิภาพในการบันทึก การบันทึกความเสี่ยงควรจะมีลักษณะเป็นเครือข่าย เพื่อช่วยให้เพิ่มความคล่องตัวในกระบวนการ โดยการให้ผู้ใช้งานที่มีความรู้ด้านสารสนเทศเบื้องต้น และผู้ที่ผ่านการอบรมเกี่ยวกับทฤษฎีความเสี่ยงจนมีความรู้ความเข้าใจที่จะสามารถนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์ความเสี่ยง และประเมินความเสี่ยงขององค์กรต่อไป กระบวนการเก็บข้อมูลความเสี่ยงนี้สามารถปรับแต่งเพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการขององค์กรของคุณ ซึ่งหมายถึง การบันทึกข้อมูลความเสี่ยงที่เป็นลักษณะเครือข่ายด้วยระบบสารสนเทศนี้ จะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรของด้วยด้วยความสะดวกรวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ
ในการบันทึกข้อมูลความเสี่ยงด้วยระบบสารสนเทศแบบเครือข่าย ด้วยการใช้หน้าจอเดียวเพื่อจับข้อมูลที่จำเป็นในการจัดการทุกประเภทของความเสี่ยง (เช่น กลยุทธ์ Operational, Hazard, หรือ โครงการสำคัญ) ปัจจัยการผลิต เช่น เหตุการณ์ความเสี่ยง และสาเหตุของเหตุการณ์ความเสี่ยง ในเชิงคุณภาพ หรือ เชิงปริมาณ เกี่ยวกับความน่าจะเป็นและผลกระทบต่อเจ้าของความเสี่ยง หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง ด้วยการควบคุมและทำการตรวจสอบข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลสารสนเทศ
การเก็บข้อมูลการประเมินความเสี่ยงและแผนปฎิบัติการ ความเสี่ยงนั้นจะสามารถประเมินความเสี่ยงที่เหลืออยู่ (ความเสี่ยงที่ยังคงอยู่แม้จะมีตัวควบคุมภายในเพื่อลดความเสี่ยงในสถานการณ์นั้นแล้ว) หากมีความจำเป็นใดๆ ที่มีความเสี่ยงที่เหลือจะได้รับในระดับเป้าหมายที่มีเป้าหมายเพื่อลดความเสี่ยงต่อร่วมกับการกระทำกิจกรรมเพิ่มเติม ทั้งนี้ควรจะมีการเชื่อมโยงกับวันที่ในขณะปัจจุบันเพื่อลดความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ
แผนการปฎิบัติการเจ้าหน้าที่บริหารความเสี่ยงและบุคลากรที่เกี่ยวข้องสามารถกำหนดและมอบหมายให้มีความเสี่ยงเพื่อให้แน่ใจว่าระดับที่เหมาะสมของกิจกรรมการมีส่วนร่วมและการตอบสนองจะดำเนินการ การทำเครือข่ายบริหารความเสี่ยงจะช่วยให้คุณประเมินการใช้ทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ในการจัดการความเสี่ยงกับระยะเวลาที่ต้องการและสร้างเส้้นทางการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพในกระบวนการ
4) การประเมินผลการสอบทานความเสี่ยงและปิดความเสี่ยง
การบริหารความเสี่ยงด้วยการใช้ระบบสารสนเทศแบบเครือข่าย หรือ Web Based เป็นเครื่องมือและกลไกที่มีประสิทธิภาพมาก สำหรับการลงนามเพื่อปิดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในองค์กรแบบทั่วทั้งองค์กร ซึ่งหมายความว่าองค์กรสามารถมั่นใจได้ว่าระดับความเสี่ยงภายในองค์กรได้รับการดูแลและมีการจัดการที่ถูกต้องเหมาะสม การทำเครื่องหมายปิดความเสี่ยงในกระบวนการบริหารความเสี่ยง ในองค์กรเพื่อสร้างความมั่นใจว่าผู้นำหรือผู้บริหารองค์กรจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรไปได้อย่างสะดวกและราบลื่น
การบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรในรูปแบบเครือข่ายสารสนเทศ หรือ ระบบ Web Based ถือเป็นการจัดการที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการที่จะรวบรวมความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กรในเวลาที่รวดเร็วและสามารถประเมินสถานการณ์ความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที ใช้งานได้กับความเสี่ยวที่มีความซับซ้อนสูง หรือเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน และการบริหารจัดการเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลเพื่อตัดสินใจในการบริหารความเสี่ยงของระดับผู้บริหารได้