หน้าที่ชาวพุทธ
การเรียนรู้ถึงหน้าที่ของพระภิกษุในการปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยและจริยาวัตรอย่างเหมาะสมหน้าที่ของพระภิกษุ พระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษา ปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน สืบต่อพระพุทธศาสนามีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาย ได้แก่
1. ปริยัติ ได้แก่ การศึกษา พระภิกษุมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย เป็นผู้มีความรู้ ความจำ ซึ่งเกิดจากการสดับตรับฟังมากและการศึกษาเล่าเรียนมามาก จากนั้นก็เริ่มนำพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนนั้นมาสั่งสอนพุทธศาสนิกชนโดยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่แนะนำให้พุทธศาสนิกชนได้ใช้และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ
2. ปฏิบัติ พระภิกษุเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วจะมากหรือน้อยก็ตาม ย่อมต้องได้ประพฤติปฏิบัติตนทั้งในด้านพุทธบัญญัติและการอบรมขัดเกลาจิตใจของตนให้สะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดไม่ให้บกพร่อง ไม่ให้ด่างพร้อย
3. ปฏิเวธ แปลว่า การรู้แจ้งแทงตลอดในข้อธรรมของพระพุทธเจ้า พระภิกษุเมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมย่อมรู้แจ้งแทง ตลอดในพระธรรมวินัยนั้น ได้รับมรรคผลหลังจากที่ได้เพียรพยามปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่มุ่งหวังไว้
หากจะสรุปหน้าที่ของพระภิกษุแล้ว พระภิกษุย่อมมีหน้าที่ที่สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1. คันถธุระ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน
2. วิปัสสนาธุระ ได้แก่ การปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม พระภิกษุนอกจากจะทำหน้าที่ทั้งสามประการแล้ว ยังต้องควรได้ช่วยเหลือสังคม ด้วยการช่วยพัฒนาท้องถิ่นกันดารต่าง ๆ ช่วยบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะอันเป็นสมบัติทางศาสนา ช่วยพัฒนาสาธารณประโยชน์พื้นฐานของสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาศาสนา และอนุเคราะห์ให้กุลบุตรกุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียนตามความเหมาะสมอีกด้วย
จริยาวัตรของภิกษุ
พระภิกษุนอกจากจะมีหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ยังต้องมีจริยาวัตร ได้แก่ การหมั่นพิจารณาตนเอง คือ พิจารณาเตือนใจตนเองอยู่เสมอตามหลัก ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ (ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ) ได้แก่ มีความเป็นอยู่ง่าย บริโภคปัจจัย 4 โดยพิจารณา ไม่บริโภคด้วยตัณหา มีอากัปกิริยาที่เรียบร้อยดีงามเหมาะสมกับสมณสารูปหมั่นพิจารณาตัวเองว่าตนเองและเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายยังติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่ ทุกคนจักต้องพลัดพรากจากของที่รักที่ชอบใจ มีกรรมเป็นของตนไม่สามารถหลีกหนีได้ ไม่ตกอยู่ในความประมาท ไม่ปล่อยเวลาให้ปราศจากประโยชน์ ยินดีในที่สงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นต้น
ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เมื่อได้เรียนรู้หน้าที่และจริยาวัตรของพระภิกษุสามเณรเช่นนี้แล้ว จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้นำหน้าที่และจริยาวัตรของท่านมาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้แก่
1. การศึกษาเล่าเรียน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ
2. การประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมที่ถูกต้องดีงาม เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเองและส่วนรวม ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ใคร ๆ
3. การปฏิบัติสมาธิ ให้จิตใจมีความสงบร่มเย็น มีสติอยู่กับตัว ระลึกได้อยู่ตลอดเวลา
4. การหมั่นพิจารณาตนเอง ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป
5. การพิจารณาตนเองว่าอะไรทำแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ ไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท
หน้าที่ชาวพุทธ การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้าน การสนทนา การแต่งกาย มารยาทการพูดกับพระภิกษุตามฐานะ
หน้าที่ชาวพุทธ
ชาวพุทธคือ ผู้ที่เลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ประกอบด้วย นักบวช คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา โดยเรียกรวมๆว่า พุทธบริษัท 4 ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มสงฆ์ แยกเป็น พระภิกษุสงฆ์ และพระภิกษุณีสงฆ์
2. กลุ่มคฤหัสถ์ แยกเป็นอุบาสก และอุบาสิกา
ชาวพุทธทั้ง 2 กลุ่ม ต่างมีหน้าที่และบทบาทต่อพระพุทธศษสนาแตกต่างกัน ดังนี้
อุบาสก (ชาย) และอุบาสิกา (หญิง) หมายถึง ชาวพุทธผู้ครองเรือนหรือคฤหัาถ์ผู้อยู่ใกล้พระศาสนา ซึ่งอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อพระศาสนาและประกอบกิจกรรมทางศาสนามากกว่าชาวพุทธทั่วไป เช่น สามทานรักษาพระอุโบสถศีล (ถือศีล 8) ในวันพระเป็นต้น อุบาสก อุบาสิกาที่ดีควรยึดหลัก " อุบาสกธรรม 7 " เป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติตน ดังนี้
1.หมั่นไปวัดตามโอกาสที่เหมาะสม เพราะ การไปวัดจะได้พบปะกับพระภิกษุผู้ทรงศีลทรงคุณธรรมหรือได้พบกับมิตรที่สนใจในเรื่องธรรมเหมือนกับเรา ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการคบหากัลยาณมิตร หรือเรียกว่ามิตรที่ดี ซึ่งจะส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า
ยํ เว เสวติ ตาทิโส ( ยังเว เสวะติ ตาทิโส ) คบคนเช่นไรก็เป็นคนเช่นนั้นแล
2.หมั่นฟังธรรม เมื่อมีโอกาสควรใส่ใจในการฟังธรรมอยู่เสมอ เพราะการฟังธรรมเป็นเหตุให้ได้รู้สิ่งไม่รู้ ส่วนสิ่งที่รู้แล้วก็จะช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้น เช่น การไปวัดเพื่อฟังเทศน์ ฟังธรรมตามโอกาสต่าง ๆ ฟังการแสดงธรรมเทศนาทางวิทยุหรือทางโทรทัศน์ เป็นต้น
3.พยายามสนใจศึกษาและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศานามาใช้ปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง
4.มีความเลื่อมใสในพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เพราะพระสงฆ์แต่ละรูปได้เสียสละความสุขทางโลก เพื่อมาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอันเป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์และพระสงฆ์ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบต่ออายุของพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวตลอดไป
5.ตั้งจิตให้เป็นกุศลในขณะฟังธรรม มิใช่ฟังธรรมโดยคิดในแง่ อคติ คิดขัดแย้ง พยายามฟังธรรมเพื่อก่อให้เกิดกุศล จิตใจจะได้เป็นสุข
6.ทำบุญกุศลตามหลักและวิธีการของพระพุทธศาสนา ไม่แสวงบุญนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
7.ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน ถ้าสามารถช่วยเหลือพระพุทธศาสนาได้ ด้วยวิธีการใดก็ควรขวนขวายเร่งรีบกระทำ อาทิ การตั้งชมรมพุทธศาสน์ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย จัดให้มีการอบรมเยาวชน บุคคลทั่วไป หรือ คนต่างชาติให้เข้าใจใน พระพุทธศาสนา
มารยาทชาวพุทธ
มารยาท คือ การแสดงออกที่มีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติโดยได้รับการอบรมให้งดงามตามความนิยมแห่งสังคมมารยาท ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม มีการศึกษา อบรมเป็นสำคัญ ดูกิริยา ฟังวาจาของคนแล้ว พอคาดได้ว่าผู้นั้นได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างไรพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมารยาท คือ ความสุภาพและสำรวม คนสุภาพจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะคนที่มีอะไรในตัวเองแล้วจึงจะสุภาพอ่อนน้อมได้ ความสุภาพอ่อนน้อมมิได้เกิดจากความเกรงกลัวแต่ถือว่าเป็นความกล้า ส่วนความสำรวม คือ การเป็นคนมีสติ ไม่พูดไม่ทำอะไรที่เกินควร รู้จักการปฏิบัติที่พอเหมาะพองาม คิดดีแล้วจึงทำ คาดแล้วว่าการกระทำจะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย มิใช่เฉพาะตัวคนเดียวมารยาทแสดงออกมาที่กิริยาท่าทางและการพูดจา อาศัยการบอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึกเองจนเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ คนดีมารยาทดีเท่ากันแต่อาจไม่เหมือนกัน เพราะคนมีบุคลิกภาพต่างกัน การแสดงออกย่อมต่างกันด้วย มีตัวร่วม คือ แสดงออกมาแล้วเป็นผลดีแก่ตัว เพราะทำให้ผู้อื่นพอใจด้วยรู้สึกว่าได้รับเกียรติ เมื่อให้เกียรติแก่ผู้อื่น ตนเองก็จะเป็นผู้มีเกียรติด้วย สังคมใดมีคนแสดงมารยาทดีต่อกัน สังคมนั้นเป็นสังคมของผู้มีเกียรติ
การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้าน การจัดเตรียมสถานที่ การสนทนา การแต่งกาย มารยาทการพูด
ในการประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ ที่บ้าน ไม่ว่ากรณีใด ๆ เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เป็นต้น ชาวพุทธนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบศาสนพิธีที่บ้าน เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวตลอดถึงญาติมิตร สิ่งที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้านและการจัดเตรียมสถานที่ ได้แก่
1. การจัดอาสนะสงฆ์ให้เหมาะสม ซึ่งสามารถจัดได้ 2 วิธี คือ วิธีแรก ยกพื้นที่นั่งพระสงฆ์ให้สูงขึ้น พื้นที่ยกสูงมีผ้าปูเพื่อเป็นที่นั่งพระสงฆ์ การจัดลักษณะนี้ แขกที่มาร่วมงานจะนั่งเก้าอี้ ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้เสื่อหรือพรมปูบนพื้นธรรมดา อาสนะสงฆ์ควรมีผ้าขาวหรือผ้าปูนั่ง ปูบนเสื่อหรือพรมอีกทีหนึ่ง เพื่อให้พระสงฆ์นั่งในที่สูงกว่าฆราวาส
2. การต้อนรับพระสงฆ์ สิ่งที่ควรเตรียม ได้แก่ เจ้าภาพควรจัดคนไว้ปรนนิบัติพระสงฆ์ จัดถวายน้ำฉันตลอดถึงคอยจัดรองเท้าของพระสงฆ์วางให้เรียบร้อย
3. การประเคนของพระ คือ การถวายสิ่งของแด่พระสงฆ์ด้วยกิริยาแสดงความเลื่อมใสศรัทธา แสดงกิริยาอ่อนน้อมต่อพระสงฆ์
4. การสนทนา เมื่อกำลังสนทนากับพระสงฆ์ ควรประนมมือในขณะที่พูดกับท่าน ไม่ควรพูดล้อเล่น พูดคำหยาบและเรื่องไร้สาระ รวมทั้งไม่พูดสนทนากับท่าน ในที่ลับตาสองต่อสองเพราะเป็นการผิดวินัยของพระสงฆ์ และก่อให้เกิดข้อครหาแก่บุคคลทั่วไป
5. การแต่งกาย เมื่อมีศาสนพิธีที่บ้าน เจ้าภาพหรือผู้เกี่ยวข้องในงาน ควรแต่งกายให้เรียบร้อย ไม่นุ่งกระโปรงสั้นรัดรูปจนเห็นสัดส่วนของร่างกาย หรือสวมเสื้อผ้าบางเกินไป ไม่ควรสวมชุดนอน ควรแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย สีเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายหรือสีฉูดฉาดจนเกินควร เครื่องประดับก็ใส่พอสมควร
6. มารยาทการพูด การพูดเป็นมารยาทที่สำคัญประการหนึ่ง ผู้ที่พูดดีย่อมแสดงถึงความเป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดที่ประณีตและงดงาม ย่อมเป็นที่รักใคร่ชอบพอของผู้ที่ได้พบเห็นและร่วมสนทนาด้วย การพูดดีนั้น ได้แก่ การพูดด้วยถ้อยคำไพเราะที่เรียกว่า ปิยวาจา เป็นการพูดด้วยถ้อยคำที่เว้นจากโทษ กล่าวคือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดคำเพ้อเจ้อ ฉะนั้น วาจาไพเราะจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญในการพูด เพื่อความสงบสำเร็จประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ย่อมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ที่ได้ฟังและร่วมสนทนาด้วย ทำให้เกิดความนิยมรักใคร่นับถือซึ่งกันและกัน ผู้มีมารยาทจะต้องระมัดระวังในการใช้วาจา ดังนี้
1. ควรใช้วาจาสุภาพและพูดด้วยกิริยาที่สุภาพ ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักภาษา ชัดถ้อยชัดคำ
2. ต้องระวังมิใช้วาจาเท็จ อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายคลายความเชื่อถือ เพราะความเท็จนั้นจะปรากฎไม่วันใดก็วัน หนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
3. ควรพูดให้น่าฟัง สนุกเพลิดเพลิน เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
4. ไม่ใช้วาจายุยงส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกร้าว หรือระหองระแหงกัน ควรหลีกเสียอย่างเด็ดขาด การสนทนาที่ดีย่อมไม่กล่าวในแง่ร้ายหรือกล่าวพาดพิงให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ควรพูดสนทนาในทางที่ก่อให้เกิดความรู้
5. คู่สนทนาที่ดีนั้นไม่ควรเป็นผู้พูดเพียงคนเดียว ควรให้โอกาสให้ผู้อื่นได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นบ้าง
6. ใช้คำพูดที่เหมาะสมที่ควรและถูกหูผู้ที่เราพูดด้วย การพูดวาจาไพเราะย่อมเป็นที่นิยมชมชอบแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง
7. ไม่พูดเสียงดังจนเกินไป หรือพูดพลางหัวเราะพลางในกลุ่มคนที่ตนร่วมสนทนาด้วย จะทำให้เสียบุคลิกลักษณะของสุภาพชนที่ดี
8. ไม่ควรเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเองมากเกินไป จะทำให้ผู้อื่นเกิดความเบื่อหน่ายในการสนทนาด้วย
9. อย่าเอาความลับหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเปิดเผย
10. สุภาพสตรีย่อมมีความสำรวมกายเป็นนิจ ไม่ส่งเสียงอื้ออึง ไม่ทำสนิทหรือหยอกล้อกับบุรุษในที่ลับและที่เปิดเผย ไม่พูดหยาบคาย ไม่หัวเราะเสียงดัง พูดดังจนเกินงามจนเป็นจุดเด่นให้คนอื่นหันมาจ้องมอง
ทิศ 6
หมายถึง บุคคลประเภทต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางสังคม มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่พึงปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
1. ทิศเบื้องหน้า (ปุรัตถิมทิศ) ได้แก่ บิดามารดา
2. ทิศเบื้องขวา (ทักขิณทิศ) ได้แก่ ครูอาจารย์
3. ทิศเบื้องหลัง (ปัจฉิมทิศ) ได้แก่ บุตรภรรยา
4. ทิศเบื้องซ้าย (อุตตรทิศ) ได้แก่ มิตรสหาย
5. ทิศเบื้องล่าง (เหฏฐิมทิศ) ได้แก่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและลูกจ้าง
6. ทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์การเป็นศิษย์ที่ดี ตามหลักทิศเบื้องขวาในทิศ 6
ในด้านความสัมพันธ์กับครูอาจารย์ ศิษย์พึงแสดงคาระนับถือ ตามหลักปฏิบัติในเรื่องทิศ 6 ข้อว่าด้วย ทิศเบื้องขวา ดังนี้
1. ลุกต้อนรับครูอาจารย์ เพื่อแสดงความเคารพ
2. เข้าไปหาครูอาจารย์ เพื่อบำรุง รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เป็นต้น
3. ฟังด้วยดี ฟังเป็น และรู้จักฟังให้เกิดปัญญา
4. ปรนนิบัติ รับใช้หรือบริการครูอาจารย์
5. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ
ส่วนครูอาจารย์ ควรทำหน้าที่ครูต่อศิษย์ คือ ปฏิบัติต่อศิษย์ โดยอนุเคราะห์ ตามหลักทิศเบื้องขวา ในทิศ 6 ดังนี้
1. แนะนำฝึกอบรมให้ศิษย์เป็นคนดี
2. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
3. สิ้นศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
4. ส่งเสริมยกย่องความดีงามความสามารถให้ปรากฏ
5. สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ คือ สอนฝึกศิษย์ให้ใช้วิชาเลี้ยงชีพได้จริง และรู้จักดำรงตนด้วยดี ที่จะเป็นประกันให้ดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยสวัสดี มีความสุขความเจริญ
หน้าที่ชาวพุทธ
การเรียนรู้ถึงหน้าที่ของพระภิกษุในการปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัยและจริยาวัตรอย่างเหมาะสมหน้าที่ของพระภิกษุ พระภิกษุสงฆ์ซึ่งเป็นบรรพชิตในพระพุทธศาสนา มีหน้าที่ศึกษา ปฏิบัติธรรม เผยแผ่คำสอน สืบต่อพระพุทธศาสนามีคุณธรรมและหลักความประพฤติที่ต้องปฏิบัติมากมาย ได้แก่
1. ปริยัติ ได้แก่ การศึกษา พระภิกษุมีหน้าที่ศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย เป็นผู้มีความรู้ ความจำ ซึ่งเกิดจากการสดับตรับฟังมากและการศึกษาเล่าเรียนมามาก จากนั้นก็เริ่มนำพระธรรมวินัยและข้อวัตรปฏิบัติที่เกิดจากการศึกษาเล่าเรียนนั้นมาสั่งสอนพุทธศาสนิกชนโดยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่แนะนำให้พุทธศาสนิกชนได้ใช้และยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ
2. ปฏิบัติ พระภิกษุเมื่อได้ศึกษาเล่าเรียนมาแล้วจะมากหรือน้อยก็ตาม ย่อมต้องได้ประพฤติปฏิบัติตนทั้งในด้านพุทธบัญญัติและการอบรมขัดเกลาจิตใจของตนให้สะอาดปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ปฏิบัติตามหลักธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดไม่ให้บกพร่อง ไม่ให้ด่างพร้อย
3. ปฏิเวธ แปลว่า การรู้แจ้งแทงตลอดในข้อธรรมของพระพุทธเจ้า พระภิกษุเมื่อได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมย่อมรู้แจ้งแทง ตลอดในพระธรรมวินัยนั้น ได้รับมรรคผลหลังจากที่ได้เพียรพยามปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่มุ่งหวังไว้
หากจะสรุปหน้าที่ของพระภิกษุแล้ว พระภิกษุย่อมมีหน้าที่ที่สำคัญ 2 ประการ ดังนี้
1. คันถธุระ ได้แก่ การศึกษาเล่าเรียน
2. วิปัสสนาธุระ ได้แก่ การปฏิบัติเพื่อให้รู้แจ้งเห็นจริงตามสภาวะต่าง ๆ
อย่างไรก็ตาม พระภิกษุนอกจากจะทำหน้าที่ทั้งสามประการแล้ว ยังต้องควรได้ช่วยเหลือสังคม ด้วยการช่วยพัฒนาท้องถิ่นกันดารต่าง ๆ ช่วยบูรณะซ่อมแซมเสนาสนะอันเป็นสมบัติทางศาสนา ช่วยพัฒนาสาธารณประโยชน์พื้นฐานของสังคมควบคู่ไปกับการพัฒนาศาสนา และอนุเคราะห์ให้กุลบุตรกุลธิดาได้ศึกษาเล่าเรียนตามความเหมาะสมอีกด้วย
จริยาวัตรของภิกษุ
พระภิกษุนอกจากจะมีหน้าที่ดังกล่าวแล้ว ยังต้องมีจริยาวัตร ได้แก่ การหมั่นพิจารณาตนเอง คือ พิจารณาเตือนใจตนเองอยู่เสมอตามหลัก ปัพพชิตอภิณหปัจจเวกขณ์ (ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ) ได้แก่ มีความเป็นอยู่ง่าย บริโภคปัจจัย 4 โดยพิจารณา ไม่บริโภคด้วยตัณหา มีอากัปกิริยาที่เรียบร้อยดีงามเหมาะสมกับสมณสารูปหมั่นพิจารณาตัวเองว่าตนเองและเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายยังติเตียนตนเองโดยศีลไม่ได้อยู่หรือไม่ ทุกคนจักต้องพลัดพรากจากของที่รักที่ชอบใจ มีกรรมเป็นของตนไม่สามารถหลีกหนีได้ ไม่ตกอยู่ในความประมาท ไม่ปล่อยเวลาให้ปราศจากประโยชน์ ยินดีในที่สงัด ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ เป็นต้น
ฉะนั้น พุทธศาสนิกชนผู้นับถือพระพุทธศาสนาว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก เมื่อได้เรียนรู้หน้าที่และจริยาวัตรของพระภิกษุสามเณรเช่นนี้แล้ว จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะได้นำหน้าที่และจริยาวัตรของท่านมาเป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้แก่
1. การศึกษาเล่าเรียน ศึกษาค้นคว้าหาความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ
2. การประพฤติปฏิบัติในหลักธรรมที่ถูกต้องดีงาม เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเองและส่วนรวม ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ใคร ๆ
3. การปฏิบัติสมาธิ ให้จิตใจมีความสงบร่มเย็น มีสติอยู่กับตัว ระลึกได้อยู่ตลอดเวลา
4. การหมั่นพิจารณาตนเอง ประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ให้ฟุ้งเฟ้อจนเกินไป
5. การพิจารณาตนเองว่าอะไรทำแล้ว อะไรยังไม่ได้ทำ ไม่ให้ตกอยู่ในความประมาท
หน้าที่ชาวพุทธ การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้าน การสนทนา การแต่งกาย มารยาทการพูดกับพระภิกษุตามฐานะ
หน้าที่ชาวพุทธ
ชาวพุทธคือ ผู้ที่เลื่อมใสและศรัทธาในพระพุทธศาสนา โดยประกาศตนเป็นพุทธมามกะ ประกอบด้วย นักบวช คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา โดยเรียกรวมๆว่า พุทธบริษัท 4 ซึ่งสามารถแยกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มสงฆ์ แยกเป็น พระภิกษุสงฆ์ และพระภิกษุณีสงฆ์
2. กลุ่มคฤหัสถ์ แยกเป็นอุบาสก และอุบาสิกา
ชาวพุทธทั้ง 2 กลุ่ม ต่างมีหน้าที่และบทบาทต่อพระพุทธศษสนาแตกต่างกัน ดังนี้
อุบาสก (ชาย) และอุบาสิกา (หญิง) หมายถึง ชาวพุทธผู้ครองเรือนหรือคฤหัาถ์ผู้อยู่ใกล้พระศาสนา ซึ่งอุทิศตนเพื่อประโยชน์ต่อพระศาสนาและประกอบกิจกรรมทางศาสนามากกว่าชาวพุทธทั่วไป เช่น สามทานรักษาพระอุโบสถศีล (ถือศีล 8) ในวันพระเป็นต้น อุบาสก อุบาสิกาที่ดีควรยึดหลัก " อุบาสกธรรม 7 " เป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติตน ดังนี้
1.หมั่นไปวัดตามโอกาสที่เหมาะสม เพราะ การไปวัดจะได้พบปะกับพระภิกษุผู้ทรงศีลทรงคุณธรรมหรือได้พบกับมิตรที่สนใจในเรื่องธรรมเหมือนกับเรา ย่อมได้ชื่อว่าเป็นการคบหากัลยาณมิตร หรือเรียกว่ามิตรที่ดี ซึ่งจะส่งเสริมให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น ดังพุทธสุภาษิตที่ว่า
ยํ เว เสวติ ตาทิโส ( ยังเว เสวะติ ตาทิโส ) คบคนเช่นไรก็เป็นคนเช่นนั้นแล
2.หมั่นฟังธรรม เมื่อมีโอกาสควรใส่ใจในการฟังธรรมอยู่เสมอ เพราะการฟังธรรมเป็นเหตุให้ได้รู้สิ่งไม่รู้ ส่วนสิ่งที่รู้แล้วก็จะช่วยให้เข้าใจยิ่งขึ้น เช่น การไปวัดเพื่อฟังเทศน์ ฟังธรรมตามโอกาสต่าง ๆ ฟังการแสดงธรรมเทศนาทางวิทยุหรือทางโทรทัศน์ เป็นต้น
3.พยายามสนใจศึกษาและรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศานามาใช้ปรับปรุงวิถีการดำเนินชีวิตให้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้เกิดความภาคภูมิใจว่าตนเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง
4.มีความเลื่อมใสในพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายเท่าเทียมกัน ทั้งนี้เพราะพระสงฆ์แต่ละรูปได้เสียสละความสุขทางโลก เพื่อมาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยอันเป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นจากทุกข์และพระสงฆ์ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้สืบต่ออายุของพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวตลอดไป
5.ตั้งจิตให้เป็นกุศลในขณะฟังธรรม มิใช่ฟังธรรมโดยคิดในแง่ อคติ คิดขัดแย้ง พยายามฟังธรรมเพื่อก่อให้เกิดกุศล จิตใจจะได้เป็นสุข
6.ทำบุญกุศลตามหลักและวิธีการของพระพุทธศาสนา ไม่แสวงบุญนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า ควรประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา
7.ทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาในทุก ๆ ด้าน ถ้าสามารถช่วยเหลือพระพุทธศาสนาได้ ด้วยวิธีการใดก็ควรขวนขวายเร่งรีบกระทำ อาทิ การตั้งชมรมพุทธศาสน์ในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย จัดให้มีการอบรมเยาวชน บุคคลทั่วไป หรือ คนต่างชาติให้เข้าใจใน พระพุทธศาสนา
มารยาทชาวพุทธ
มารยาท คือ การแสดงออกที่มีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติโดยได้รับการอบรมให้งดงามตามความนิยมแห่งสังคมมารยาท ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม มีการศึกษา อบรมเป็นสำคัญ ดูกิริยา ฟังวาจาของคนแล้ว พอคาดได้ว่าผู้นั้นได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างไรพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมารยาท คือ ความสุภาพและสำรวม คนสุภาพจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะคนที่มีอะไรในตัวเองแล้วจึงจะสุภาพอ่อนน้อมได้ ความสุภาพอ่อนน้อมมิได้เกิดจากความเกรงกลัวแต่ถือว่าเป็นความกล้า ส่วนความสำรวม คือ การเป็นคนมีสติ ไม่พูดไม่ทำอะไรที่เกินควร รู้จักการปฏิบัติที่พอเหมาะพองาม คิดดีแล้วจึงทำ คาดแล้วว่าการกระทำจะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย มิใช่เฉพาะตัวคนเดียวมารยาทแสดงออกมาที่กิริยาท่าทางและการพูดจา อาศัยการบอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึกเองจนเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ คนดีมารยาทดีเท่ากันแต่อาจไม่เหมือนกัน เพราะคนมีบุคลิกภาพต่างกัน การแสดงออกย่อมต่างกันด้วย มีตัวร่วม คือ แสดงออกมาแล้วเป็นผลดีแก่ตัว เพราะทำให้ผู้อื่นพอใจด้วยรู้สึกว่าได้รับเกียรติ เมื่อให้เกียรติแก่ผู้อื่น ตนเองก็จะเป็นผู้มีเกียรติด้วย สังคมใดมีคนแสดงมารยาทดีต่อกัน สังคมนั้นเป็นสังคมของผู้มีเกียรติ
การปฏิบัติตนต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้าน การจัดเตรียมสถานที่ การสนทนา การแต่งกาย มารยาทการพูด
ในการประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ ที่บ้าน ไม่ว่ากรณีใด ๆ เช่น งานขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เป็นต้น ชาวพุทธนิยมนิมนต์พระสงฆ์มาประกอบศาสนพิธีที่บ้าน เพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัวตลอดถึงญาติมิตร สิ่งที่ชาวพุทธพึงปฏิบัติต่อพระภิกษุในงานศาสนพิธีที่บ้านและการจัดเตรียมสถานที่ ได้แก่
1. การจัดอาสนะสงฆ์ให้เหมาะสม ซึ่งสามารถจัดได้ 2 วิธี คือ วิธีแรก ยกพื้นที่นั่งพระสงฆ์ให้สูงขึ้น พื้นที่ยกสูงมีผ้าปูเพื่อเป็นที่นั่งพระสงฆ์ การจัดลักษณะนี้ แขกที่มาร่วมงานจะนั่งเก้าอี้ ส่วนอีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้เสื่อหรือพรมปูบนพื้นธรรมดา อาสนะสงฆ์ควรมีผ้าขาวหรือผ้าปูนั่ง ปูบนเสื่อหรือพรมอีกทีหนึ่ง เพื่อให้พระสงฆ์นั่งในที่สูงกว่าฆราวาส
2. การต้อนรับพระสงฆ์ สิ่งที่ควรเตรียม ได้แก่ เจ้าภาพควรจัดคนไว้ปรนนิบัติพระสงฆ์ จัดถวายน้ำฉันตลอดถึงคอยจัดรองเท้าของพระสงฆ์วางให้เรียบร้อย
3. การประเคนของพระ คือ การถวายสิ่งของแด่พระสงฆ์ด้วยกิริยาแสดงความเลื่อมใสศรัทธา แสดงกิริยาอ่อนน้อมต่อพระสงฆ์
4. การสนทนา เมื่อกำลังสนทนากับพระสงฆ์ ควรประนมมือในขณะที่พูดกับท่าน ไม่ควรพูดล้อเล่น พูดคำหยาบและเรื่องไร้สาระ รวมทั้งไม่พูดสนทนากับท่าน ในที่ลับตาสองต่อสองเพราะเป็นการผิดวินัยของพระสงฆ์ และก่อให้เกิดข้อครหาแก่บุคคลทั่วไป
5. การแต่งกาย เมื่อมีศาสนพิธีที่บ้าน เจ้าภาพหรือผู้เกี่ยวข้องในงาน ควรแต่งกายให้เรียบร้อย ไม่นุ่งกระโปรงสั้นรัดรูปจนเห็นสัดส่วนของร่างกาย หรือสวมเสื้อผ้าบางเกินไป ไม่ควรสวมชุดนอน ควรแต่งกายให้สะอาดเรียบร้อย สีเรียบ ๆ ไม่มีลวดลายหรือสีฉูดฉาดจนเกินควร เครื่องประดับก็ใส่พอสมควร
6. มารยาทการพูด การพูดเป็นมารยาทที่สำคัญประการหนึ่ง ผู้ที่พูดดีย่อมแสดงถึงความเป็นผู้มีความรู้สึกนึกคิดที่ประณีตและงดงาม ย่อมเป็นที่รักใคร่ชอบพอของผู้ที่ได้พบเห็นและร่วมสนทนาด้วย การพูดดีนั้น ได้แก่ การพูดด้วยถ้อยคำไพเราะที่เรียกว่า ปิยวาจา เป็นการพูดด้วยถ้อยคำที่เว้นจากโทษ กล่าวคือ ไม่พูดปด ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ และไม่พูดคำเพ้อเจ้อ ฉะนั้น วาจาไพเราะจึงเป็นคุณสมบัติสำคัญในการพูด เพื่อความสงบสำเร็จประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น ย่อมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้ที่ได้ฟังและร่วมสนทนาด้วย ทำให้เกิดความนิยมรักใคร่นับถือซึ่งกันและกัน ผู้มีมารยาทจะต้องระมัดระวังในการใช้วาจา ดังนี้
1. ควรใช้วาจาสุภาพและพูดด้วยกิริยาที่สุภาพ ใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลักภาษา ชัดถ้อยชัดคำ
2. ต้องระวังมิใช้วาจาเท็จ อันเป็นเหตุให้คนทั้งหลายคลายความเชื่อถือ เพราะความเท็จนั้นจะปรากฎไม่วันใดก็วัน หนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหายทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น
3. ควรพูดให้น่าฟัง สนุกเพลิดเพลิน เป็นไปในทางที่สร้างสรรค์
4. ไม่ใช้วาจายุยงส่อเสียดให้ผู้อื่นแตกร้าว หรือระหองระแหงกัน ควรหลีกเสียอย่างเด็ดขาด การสนทนาที่ดีย่อมไม่กล่าวในแง่ร้ายหรือกล่าวพาดพิงให้บุคคลอื่นได้รับความเสียหาย ควรพูดสนทนาในทางที่ก่อให้เกิดความรู้
5. คู่สนทนาที่ดีนั้นไม่ควรเป็นผู้พูดเพียงคนเดียว ควรให้โอกาสให้ผู้อื่นได้พูดหรือแสดงความคิดเห็นบ้าง
6. ใช้คำพูดที่เหมาะสมที่ควรและถูกหูผู้ที่เราพูดด้วย การพูดวาจาไพเราะย่อมเป็นที่นิยมชมชอบแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง
7. ไม่พูดเสียงดังจนเกินไป หรือพูดพลางหัวเราะพลางในกลุ่มคนที่ตนร่วมสนทนาด้วย จะทำให้เสียบุคลิกลักษณะของสุภาพชนที่ดี
8. ไม่ควรเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเองมากเกินไป จะทำให้ผู้อื่นเกิดความเบื่อหน่ายในการสนทนาด้วย
9. อย่าเอาความลับหรือเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาเปิดเผย
10. สุภาพสตรีย่อมมีความสำรวมกายเป็นนิจ ไม่ส่งเสียงอื้ออึง ไม่ทำสนิทหรือหยอกล้อกับบุรุษในที่ลับและที่เปิดเผย ไม่พูดหยาบคาย ไม่หัวเราะเสียงดัง พูดดังจนเกินงามจนเป็นจุดเด่นให้คนอื่นหันมาจ้องมอง
ทิศ 6
หมายถึง บุคคลประเภทต่าง ๆ ที่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันทางสังคม มีหน้าที่และความรับผิดชอบที่พึงปฏิบัติต่อกัน ดังนี้
1. ทิศเบื้องหน้า (ปุรัตถิมทิศ) ได้แก่ บิดามารดา
2. ทิศเบื้องขวา (ทักขิณทิศ) ได้แก่ ครูอาจารย์
3. ทิศเบื้องหลัง (ปัจฉิมทิศ) ได้แก่ บุตรภรรยา
4. ทิศเบื้องซ้าย (อุตตรทิศ) ได้แก่ มิตรสหาย
5. ทิศเบื้องล่าง (เหฏฐิมทิศ) ได้แก่ ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาและลูกจ้าง
6. ทิศเบื้องบน (อุปริมทิศ) ได้แก่ พระภิกษุสงฆ์การเป็นศิษย์ที่ดี ตามหลักทิศเบื้องขวาในทิศ 6
ในด้านความสัมพันธ์กับครูอาจารย์ ศิษย์พึงแสดงคาระนับถือ ตามหลักปฏิบัติในเรื่องทิศ 6 ข้อว่าด้วย ทิศเบื้องขวา ดังนี้
1. ลุกต้อนรับครูอาจารย์ เพื่อแสดงความเคารพ
2. เข้าไปหาครูอาจารย์ เพื่อบำรุง รับใช้ ปรึกษา ซักถาม รับคำแนะนำ เป็นต้น
3. ฟังด้วยดี ฟังเป็น และรู้จักฟังให้เกิดปัญญา
4. ปรนนิบัติ รับใช้หรือบริการครูอาจารย์
5. เรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ เอาจริงเอาจัง ถือเป็นกิจสำคัญ
ส่วนครูอาจารย์ ควรทำหน้าที่ครูต่อศิษย์ คือ ปฏิบัติต่อศิษย์ โดยอนุเคราะห์ ตามหลักทิศเบื้องขวา ในทิศ 6 ดังนี้
1. แนะนำฝึกอบรมให้ศิษย์เป็นคนดี
2. สอนให้เข้าใจแจ่มแจ้ง
3. สิ้นศิลปวิทยาให้สิ้นเชิง
4. ส่งเสริมยกย่องความดีงามความสามารถให้ปรากฏ
5. สร้างเครื่องคุ้มภัยในสารทิศ คือ สอนฝึกศิษย์ให้ใช้วิชาเลี้ยงชีพได้จริง และรู้จักดำรงตนด้วยดี ที่จะเป็นประกันให้ดำเนินชีวิตที่ดีงามโดยสวัสดี มีความสุขความเจริญ