๒.๑ พระมหากัสสปะ
มีพระนามเดิมว่า “ปิปผลิ” เป็นบุตรพราหมณ์ กปิละ หมู่บ้านมหาติฏฐะ
เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ เมื่ออายุ ๒๐ ปี ได้แต่งงานกับ ภัททกาปิลานี ด้วยความที่
เป็นผู้มีจิตใจใฝ่ธรรมตั้งแต่เด็ก การแต่งงานจึงเป็นเพียงแต่ในนาม ไม่เกี่ยวข้องกันใน
ด้านกามารมณ์ เมื่อบิดามารดาสิ้นชีวิต จึงพากันสละบ้านเรือนเพื่อออกบวช
ภายหลังการบวชมีชื่อเรียกตามโคตรว่า มหากัสสปะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
ภายหลังจากการบวชแล้ว ๗ วัน ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้เลิศกว่าบุคคล
อื่น (เอตทัคคะ) ท่านเป็นผู้ตั้งมั่นในสัจจะและความกตัญญูกตเวทิตาธรรม เป็นบุตรที่ดี
เคารพเชื่อฟังบิดามารดา พระมหากัสสปะเป็นผู้มีชีวิตเรียบง่าย มีความเคร่งครัดใน
พระธรรมวินัย
๒.๒ พระอุบาลี
เป็นบุตรนายภูษามาลา (ช่างตัดผม) ในกรุงกบิลพัสดุ์ ออกบวชพร้อมกับพระราชกุมารแห่งศากยวงศ์และโกลิยวงศ์ หลังจากบวชแล้ว พระพุทธเจ้าทรงประทานกรรมฐานให้พระอุบาลีได้ฝึกปฏิบัติไม่นานท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ได้รับการยกย่องให้เป็นเอตทัคคะในด้านการทรงจำพระวินัย ให้เป็นผู้วินิจฉัยอธิกรณ์ คือ คดีความที่เกิดขึ้นแก่พระสงฆ์หลายครั้ง ได้รวบรวมพระวินัยที่เป็นพุทธบัญญัติมาจัดเป็นหมวดหมู่จนปรากฏเป็น พระวินัยปิฎก ให้ได้ศึกษาสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
๒.๓ อนาถบิณฑิกเศรษฐี
มีนามเดิมว่า “สุทัตตะ” เป็นบุตรของสุมนเศรษฐีแห่งเมืองสาวัตถี เป็นคนใจบุญ โอบอ้อมอารี จึงได้ตั้งโรงทานแจกอาหารแก่คนยากไร้ ประชาชนจึงเรียกว่า อนาถบิณฑิกะ ท่านฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าและได้ดวงตาเห็นธรรม และประกาศตนเป็นอุบาสก นับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ด้วยความศรัทธา ได้สร้างวัดเชตวันมหาวิหาร ทำหน้าที่ความเป็นชาวพุทธ เป็นทายกที่ดีด้วยการอุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ รวมทั้งชักชวนแนะนำวิธีการทำบุญให้ทานรักษาศีลแก่ชาวบ้าน ท่านเป็นพ่อที่ดีของลูก แม้แต่ลูกชายซึ่งเดิมเป็นคนเกเร ท่านก็ใช้อุบายวิธีที่ชาญฉลาด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นคนดี
๒.๔ นางวิสาขา
เป็นธิดาของธนัญชัยเศรษฐีและนางสุมนาแห่งเมืองภัททิยะ ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าและบรรลุโสดาบัน ขณะอายุได้ ๗ ขวบ เติบโตมาพร้อมกับความงามที่เรียกว่าเบญจกัลยาณี แต่งงานเมื่ออายุ ๑๖ ปี กับปุณณวัฒนกุมาร บุตรของมิคารเศรษฐี ก่อนส่งตัวไป บิดาของนางได้ให้โอวาท ๑๐ ประการ คือ ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า
นางวิสาขา ได้ชื่อว่าเป็น มหาอุบาสิกา คู่กับ อนาถบิณฑิกเศรษฐี มีความศรัทธาในพระรัตนตรัย กิจวัตรอย่างหนึ่ง คือ การไปฟังธรรมทุกวันมิได้ขาด เป็นผู้ริเริ่มถวายผ้าอาบน้ำฝนแก่พระภิกษุ และนางวิสาขาก็ได้สร้างวัดบุพพาราม ถวายเป็นพุทธบูชา
๓) ชาวพุทธตัวอย่าง
๓.๑ พระเจ้าอโศกมหาราช
แห่งราชวงศ์โมริยะเป็นโอรสของพระเจ้าพินทุสาร แห่งเมืองปาฏลีบุตร แคว้นมคธ หลังสวรรคตของพระราชบิดา ได้รับพระนามอีกอย่างหนึ่งว่า “จัณฑาโศก” แปลว่า อโศกผู้ดุร้าย ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จึงได้พระนามใหม่ว่า “ธรรมโศก” แปลว่า อโศกผู้ทรงธรรม ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ได้สร้างมหาวิหารจำนวน ๘๔,๐๐๐ แห่ง พระองค์ได้เปลี่ยนวิเทโศบายจากการเอาชนะศัตรูด้วยการทำสงคราม มาเป็นใช้หลักธรรมพระพุทธศาสนาเป็นแนวทางปกครองประเทศจึงเกิดระบบ “ธรรมราชา”
๓.๒ พระโสณะและพระอุตตระ
เป็นชาวอินเดีย หลังจากบวชทั้งสองเป็นผู้มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก เผยแผ่พระพุทธศาสนาภายใต้พระบรมราชชูปถัมภ์ของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิ แนะนำประชาชนให้รู้จักพระพุทธศาสนา