ข่าวประเภทเเรงๆ
1.ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ( NFP คือ Non-Farm Payroll )
ความแรง 100-300 Pips (ข่าวยอดฮิต จะมีข่าวทุกศุกร์แรกของเดือนจำไว้เลย)
2.ตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ( PMI คือ Purchasing Managers Index ) ความแรง 50-100 Pips
3.ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค ( CPI คือ Consumer Price Index ) ความแรง 50-100 Pips
4.ตัวเลขการขายปลีก ( Retail Sales ) ความแรง 50-100 Pips
5.ตัวเลขสินค้าประเภทคงทน ( Durable Goods ) ความแรง 50-100 Pips
6.ตัวเลขการขึ้นและลดอัตราดอกเบี้ย ( Funds Rate ) ความแรง 100-300 Pips
7.คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ ( FOMC Speaks ) ความแรง 100-300 Pips
**************************************************************************************************
ระดับที่เรียกว่าสำคัญมากมีอะไรบ้าง... : ลำดับ ชื่อในปฏิทิน
1 Non farm Payrolls
Non-Farm payroll การจ้างงานนอกภาคเกษตร ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเดือนละหนึ่งครั้งจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ สัปดาห์แรกของเดือน ข่าวนอนฟาม Non-Farm payroll นี้จะ รายงานตัวเลขการจ้างงานทั้งหมดของคนงานสหรัฐในธุรกิจต่างๆ
2 Unemployment Rate
หมายถึง ตัวเลขอัตราการว่างงาน ตัวเลขดังกล่าวจะสะท้อนเศรษฐกิจได้ดี
3 Trade Balance :
ดุลการค้า (อังกฤษ: Balance of Trade) คือการเปรียบเทียบระหว่างผลต่างมูลค่าการนำเข้าสินค้ากับมูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศ โดยทั่วไปโดยทั่วไประยะเวลาที่ใช้เปรียบเทียบ คือ รายเดือน รายไตรมาส และรายปี ซึ่งถ้านำเข้ามากกว่าส่งออกแสดงว่าขาดดุลการค้า แต่ถ้าส่งออกมากกว่านำเข้าแสดงว่าเกินดุลการค้า และถ้าส่งออกและนำเข้าเท่ากันเรียกว่า สมดุลการค้า
ชนิดของดุลการค้า
เกินดุลการค้า (Surplus Balance of Trade) คือ มูลค่าส่งออกมากกว่ามูลค่านำเข้า ใช้แก้ปัญหาเงินฝืด
ขาดดุลการค้า (Deficit Balance of Trade) คือ มูลค่าการนำเข้าสินค้ามากกว่ามูลค่าการส่งออก ใช้แก้ปัญหาเงินเฟ้อ
ดุลการค้าสมดุล (Equilibrium Balance of Trade) คือ ภาวะที่ประเทศมีรายรับรวมเท่ากับรายจ่ายรวมจากการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศ
โดยปกติประกาศทุกวันที่ 20 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของ 2 เดือนก่อนหน้านี้ โดยการประกาศจะบอกให้รู้ถึงทิศทางของการส่งออกและการนำเข้า ซึ่งตัวเลข Trade Balance จะสามารถคาดคะเนตัวเลข GDP ในอนาคตได้ ตัวเลข Trade Balance จะนำค่าตัวเลข Export ลบกับ ตัวเลข Import หากผลที่ออกมามีค่าเป็น + จะหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี และมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
4 GDP ( Gross Domestic Production ) :
ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ จะประกาศทุก ๆ สัปดาห์ที่ 3 หรือ 4 ของเดือน โดย GDP คือตัววัดที่กว้างที่สุดเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจ การที่ตัวเลข GDP เปลี่ยนแปลงไปจะหมายถึงความเปลี่ยนแปลงของอัตราการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ซึ่งจะบ่งบอกเกี่ยวพันถึงอัตราเงินเฟ้อ การที่ตัวเลข GDP เพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นตามไปด้วย
5 PCE Price Deflator ( Personal Consumption Expenditure) :
ดัชนีผู้บริโภค คือการวัดการเปลี่ยนแปลงทางด้านราคาของสินค้าและบริการที่ใช้ในการบริโภค...ดัชนีผู้บริโภค จะเป็นดัชนีตัวหนึ่งที่ที่มีประโยชน์มากที่ชี้ให้เราเห็นว่า ในขณะนี้ค่าครองชีพ (Cost of living)สูงกว่าหรือต่ำกว่าจากเดือนที่ผ่านมา อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากเดือนที่ผ่านมาเท่าไหร่ บริษัทจะต้องเพิ่มหรือลดราคาสินค้า
ประกาศทุก ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน โดย PCE จะบอกถึงการอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน โดย PCE จะบ่งบอกถึงความสามารถในการจับจ่ายของภาคครัวเรือน โดยตัวเลข PCE ที่สูงจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่เติบโต ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
6 CPI ( Consumer Price index ) :
ประกาศทุก ๆ วันที่ 13 ของเดือน โดย CPI จะเป็นตัววัดเกี่ยวกับระดับราคาของสินค้าและบริการที่ซื้อโดยผู้บริโภค CPI ที่เห็นประกาศกันจะมี CPI กับ Core CPI ซึ่งต่างกันตรงที่ว่า Core CPI จะไม่รวม ภาคอาหารและ ภาคพลังงานโดยปกติ CPI จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงอัตราเงินเฟ้อ โดยตัวเลข CPI ที่สูงจะเป็นตัววัดเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
7 TICS ( Treasury International Capital System ) :
TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้างโดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ประกาศทุกวันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน โดย TIC จะรวบรวมข้อมูลของ US เพื่อดูว่าการลงทุนของคน US และ คนต่างชาติเป็นอย่างไรบ้าง โดยหากข้อมูล TICS เป็นตัวเลขที่สูงจะหมายถึงเศรษฐกิจของ US ที่แข็งแกร่งซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
8 FOMC ( Federal open Market committee meeting ) :
การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ ประชุม Fed เรื่องของอัตรา ดอกเบี้ยการปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยลดลงค่าเงินออ่นลงเช่นกัน
จะประชุมเมื่อไร ไม่มีตายตัวแน่นอน แล้วแต่เค้าจะนัดกัน โดยการประชุมจะดูภาพรวมและผลของการประชุมที่สนใจกันคือเรื่องของอัตรา ดอกเบี้ย การปรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
9 Retail Sales :
ยอดขายปลีก ประกาศทุกวันที่ 13 ของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนที่แล้ว โดยจะวัดจากใบเสร็จของการค้าปลีก ซึ่งโดยปกติจะมองในภาพของสินค้า ซึ่งจะไม่สนใจเรื่องของบริการ และอื่น ๆ (เช่นพวกค่าเบี้ยประกัน หรือค่าทนาย) Retail Sales ที่ไม่รวมการซื้อรถ จะเรียกว่า Core Retail Sales โดยการเปลี่ยนแปลงของตัวเลขการขายจะหมายถึงราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้หมายถึงความต้องการซื้อที่ลดลง การที่ตัวเลข Retail Sales มีตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีและแข็งแกร่ง ซึ่งมีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
10 Univ. Of Michigan Consumer Sentiment Survey :
ดัชนีความเชื่อมั่น ผู้บริโภคออกทุกวันศุกร์ที่สองของเดือน โดย Michigan Index จะเปรียบเทียบระหว่างดัชนีสองตัวคือ สิ่งที่คาดหวัง และสิ่งที่เป็นไปจริง ๆ ถ้าสิ่งที่คาดหวังไว้และสิ่งที่เป็นจริงมีค่าใกล้เคียงกัน หมายถึงเศรษฐกิจเป็นไปในแนวทางเดียวกับที่หวังไว้ ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
11 PPI ( Producer Price Index ) :
ดัชนีราคาผู้ผลิต ประกาศแถว ๆ วันที่ 11 ของเดือนซึ่งจะเป็นข้อมูลของเดือนก่อน PPI จะเป็นตัววัดราคาของสินค้าในมุมมองของการค้าส่ง PPI ที่ไม่รวมพวกอาหารและพลังงานจะเรียกว่า Core PPI ซึ่งจะถูกจับตามองมากกว่า เพราะจะมีผลกับอัตราเงินเฟ้อ เนื่องจาก PPI จะเป็นตัวที่ออกมาก่อน CPI หาก PPI มีค่าสูงมักจะทำให้ CPI มีค่าที่สูงตามไปด้วย ดังนั้นการที่ PPI มีค่าสูงจะทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
12 Weekly Jobless Claims :
ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ประกาศทุกวันพฤหัส จะเป็นข้อมูลของสัปดาห์ปัจจุบันรวมถึงวันศุกร์ที่แล้วด้วย ซึ่งจะบอกถึงการว่างงาน โดยปกติจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้จากข้อมูลก่อนหน้าย้อนหลังไปราว ๆ 4 สัปดาห์ แล้วมาทำเป็นกราฟ ทั่วไปแล้วหากมีความเปลี่ยนแปลงเกิน 30,000 จะเป็นสัญญาณบอกถึงการจ้างงานที่เปลี่ยนแปลงไป (อาจจะดีขึ้นหรือแย่ลง) ตัวเลขที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงคนว่างงานที่มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินอ่อนค่าลง
13 Personal Income :
รายได้ส่วนบุคคล ระกาศแถว ๆ วันที่ 5 ของการทำงานในแต่ละเดือน Personal Income เป็นตัววัดเกี่ยวกับรายได้ (ไม่สนว่าจะได้มาจากไหน เช่นพวก ค่าเช่า, ได้มาจากรัฐ, เงินเดือน, ดอกเบี้ย หรืออื่น ๆ) โดยตัวนี้จะเป็นตัวชี้ถึงความต้องการในการบริโภคในอนาคต (แต่ไม่เสมอไปนะ เพราะบางทีรายได้ที่มากขึ้น แต่คนอาจจะไม่จับจ่ายใช้สอยก็ได้) ตัวเลข Personal Income ที่สูงจะหมายถึงอำนาจในการซื้อและเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเศรษฐกิจน่าจะดี ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
14 Personal spending :
รายจ่ายส่วนบุคคล ประกาศแถว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า Personal Spending จะเป็นตัวเลขเกี่ยวกับรายจ่ายของบุคคล การจับจ่ายที่ลดลงจะหมายถึงรายได้ที่ลดลง ซึ่งจะทำให้กระแสเงินโดยรวมลดลง (แต่ก็เช่นเดียวกับ Personal Income บางทีการจ่ายลดลงไม่ได้หมายถึงรายได้ที่ลดลง แต่อาจจะไม่อยากจะจับจ่ายก็เป็นได้) ตัวเลขการจับจ่ายที่มากขึ้น จะเป็นสัญญาณที่บ่งว่าเศรษฐกิจดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
15 BOE Rate Decision ( Bank Of England ) :
ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆที่ไม่ใช่ US และ ECB จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆเปลี่ยนแปลงไป โดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นโดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ :-
-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไปหรือแข็งไป)
- อัตราเงินเฟ้อและเงินฝืด (ECB ประกอบไปด้วย 25 ประเทศในยุโรป คือ Italy, France, Luxembourg, Belgium, Germany,Netherlands, Denmark, Ireland, United Kingdom, Greece, Spain, Portugal, Austria, Finland, Sweden,Czech Republic, Estonia, Cyprus, Latvia, Lithuania, Hungary, Malta, Poland, Slovakia และSlovenia)
16 ECB Rate Decision ( Europe Central Bank )
ประกาศตัวเลขอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆที่ไม่ใช่ US จะทำให้ค่าเงินของประเทศนั้น ๆ เปลี่ยนแปลงไปโดยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นโดยปกติการปรับอัตราดอกเบี้ยจะคำนึงถึง 2 อย่างคือ
-อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (อาจจะอ่อนไปหรือแข็งไป)
- อัตราเงินเฟ้อ และเงินฝืด
17 Durable Goods orders :
ดัชนีชี้วัดถึงกิจกรรมการผลิตที่จะเกิดขึ้นในอนาคตประกาศแถว ๆ วันที่ 26 ของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของเดือนก่อน โดยจะเป็นตัววัดปริมาณของการสั่งสินค้า การส่งสินค้า โดยจะเป็นตัววัดถึงภาคการผลิต ซึ่งหากว่าเศรษฐกิจมีปัญหาจะส่งผลให้ปริมาณการสั่งสินค้าลดลง ตัวนี้จะเป็นเหมือนตัวบอกถึง GDP และ PDE การที่ตัวเลข Durable Goods Orders มีค่าที่มากขึ้น จะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
18 ISM Manufacturing Index ( Institute of Supply Manager ) :
ดัชนีภาคอุตสาหกรรมโรงงาน ออกทุกวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า ตัวนี้จะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงภาคการผลิต ซึ่งรวบรวมข้อมูลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ การสั่งซื้อสินค้าใหม่, การผลิต, การจ้างงาน, สินค้าคงคลัง, เวลาในการขนส่ง, ราคา, การส่งออก และการนำเข้า การที่ตัวเลข ISM มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจะแสดงถึงเศรษฐกิจที่ดี และสามารถทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้นได้
19 Philadelphia Fed. Survey :
ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนหน้า โดยการสำรวจนี้จะมองมุมกว้างในทิศทางของภาคการผลิต ซึ่งจะมีความสัมพันธ์ร่วมกับ ISM ที่มองเป็นลักษณะของการผลิตเป็นตัว ๆ ไป โดย Philadelphia Fed Survey จะบอกถึงการเปลี่ยนแปลงของยุทธวิธีของผู้ผลิต ประกอบด้วย ชั่วโมงการทำงาน, พนักงาน และอื่น ๆ ซึ่งตัววัดตัวนี้มีความสำคัญมากในระบบเศรษฐกิจ การที่ตัวเลขเพิ่มขึ้นจะทำให้ค่าเงินแข็งขึ้น
20 ISM Non-Manufacturing Index :
สถาบันจัดการอุปทานของสหรัฐ (ISM) ออกราว ๆ วันที่สามของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นการสำรวจของกลุ่ม การเงิน, ประกันภัย, อสังหาริมทรัพย์, สื่อสาร และ ทั่วไป การที่ตัวเลข ISM เพิ่มขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น และทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
21 Factory Orders :
คำสั่งซื้อโรงงาน ออกราว ๆ วันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน Factory Order เป็นการวัดการสั่งสินค้าทั้งหมด การสั่งสินค้าที่สูงหมายถึง demand ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
22 Industrial Production & Capacity Utilization :
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมออกราว ๆ กลางเดือน เป็นข้อมูลย้อนหลัง 1 เดือน ซึ่งเป็นตัววัดว่าการผลิตของอุตสาหกรรมได้ผลออกมาจริง ๆ เท่าไร การที่ตัวเลขออกมาสูงขึ้นหมายถึง demand ที่เพิ่มขึ้น มีผลทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
23 Non-Farm Productivity :
การจ้างงานนอกภาคการเกษตร ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว อันนี้เป็นตัววัดของผลงานของคนงานและต้นทุนในการผลิตของสินค้า ในสถาวะที่เงินเฟ้อมีความสำคัญตัวเลขนี้ สามารถที่จะทำให้ตลาดเคลื่อนไหวได้ โดยถ้าตัวเลขที่ลดลงสามารถบอกถึงอนาคตที่เปลี่ยนไป เช่นตัวเลข GDP ที่ดี แต่ถ้าตัวเลขนี้ขัดกันก็สามารถทำให้ตลาดมีผลกระทบได้ การที่ตัวเลข Non-Farm Productivity เพิ่มขึ้น หมายถึงการยืนยันในเรื่องของพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดี และส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
24 Current Account Balance :
ออกราว ๆ วันที่ 7 ของเดือนที่ 2 ของ ควอเตอร์ เป็นข้อมูลของควอเตอร์ที่แล้ว Current Account Balance จะบอกถึงความแตกต่างของเงินสำรอง และการลงทุน ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในส่วนของการซื้อขายกับต่างประเทศ ถ้า Current Account Balance เป็น + จะหมายถึงเงินออมในประเทศมีสูง แต่ถ้าเป็น - จะหมายถึงการลงทุนภายในประเทศเป็นเงินจากต่างประเทศมาลงทุน ถ้า Current Account Balance เป็น + ส่งผลให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
25 Consumer Confidence ( Consumer Sentiment ) :
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค(ConsumerConfidence Index) จะบออกว่าสำคัญมากและมากที่สุดทุกครั้งเมื่อเศรษฐกิจจะดีหรือแย่นั้น ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ก็จะเป็น indicator ตัวหนึ่งที่บอกได้อย่างดีที่มันมีความสำคัญก็เพราะว่า ทุกครั้งที่รัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ผลนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ประชาชนจะต้องมีความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจที่ตนเผชิญอยู่ว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ไม่เช่นนั้นแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการอัดฉีดเม็ดเงินต่างๆมันจะไม่เป็นผลถ้าประชาชนขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลหรือระบบเศรษฐกิจแล้วว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นเงินที่รัฐบาลอัดฉีดเข้าไปจะไร้ผล เงินในระบบจะไม่หมุนเวียนเนื่องจากคนจะลดการใช้จ่ายและชะลอการลดทุนในทางกลับกันถ้าประชาชนมีความเชื่อมั่นที่ดีแล้วเงินที่รัฐบาลอัดฉีดเข้ามาก็จะเกิดผลเพราะคนจะนำเงินที่ได้มาไปใช้จ่ายและลงทุนเงินในระบบก็จะเกิดการหมุนเวียนซ้ำไปซ้ำมา สร้างรายได้ การจ้างงานและสิ่งอื่นๆตามมาอีกอย่างมากมาย ออกทุกวันอังคารสุดท้ายของเดือน เป็นข้อมูลเดือนปัจจุบัน เป็นการสำรวจในแต่ละครัวเรือน โดยตัวเลขตัวนี้จะมีความสัมพันธ์กับเรื่องของ การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริง การที่ตัวเลขมีค่าที่เพิ่มมากขึ้นหมายถึงเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทำให้ค่าเงินแข็งค่า
26 NY Empire State Index - ( New York Empire Index ) :
ออกทุกสิ้นเดือน โดยเป็นการสำรวจจากผู้ผลิต หากตัวเลขมีค่ามากขึ้น จะทำให้ค่าเงินแข็งค่า
27 Leading Indicators :
ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจ หมายถึง ตัวแปรทางเศรษฐกิจต่างๆที่ปรับตัวล่วงหน้าก่อนตัวแปรอื่นๆ ซึ่งเป็นเครื่องชี้ว่าภาวะเศรษฐกิจในอนาคตจะเป็นอย่างไร ตัวแปรทางเศรษฐกิจเช่นจำนวนชั่วโมงทำงานเฉลี่ยต่อสัปดาห์ จำนวนทุนและโรงงานที่จดทะเบียนเปิดกิจการดัชนีราคาขายส่ง ดัชนีการลงทุน ปริมาณเงินหมุนเวียน เป็นต้นถ้าตัวแปรต่างๆเหล่านั้นเปลี่ยนไปในทางลดลงติดต่อกันหลายเดือนก็จะเป็นเครื่องชี้ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6–15 เดือนข้างหน้าจะหดตัวแต่ถ้าตัวแปรเหล่านั้นเปลี่ยนไปทางสูงขึ้นทุกเดือนติดต่อกันจะเป็นเครื่องชี้ได้ว่าภาวะเศรษฐกิจในช่วง6–15 เดือนข้างหน้าจะขยายตัวโดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
-ดัชนีนำภาวะเศรษฐกิจ (Leading Indicators)
-ดัชนีชี้ภาวะเศรษฐกิจ (Coincidental Indicators)
-ดัชนีชี้ตามภาวะเศรษฐกิจ (Lagging Indicators)
ออกราว ๆ สองสามวันแรกของการทำงานของเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อน ซึ่งจะเป็นบทสรุปของตัวเลขเศรษฐกิจที่ประกาศไปก่อนหน้านี้ ประกอบไปด้วย New Order, Jobless Claim,Money Supply, Average Workweek, Building Permits และ Stock Prices
28 Business Inventories :
สินค้าคงเหลือ/คลัง ออกราว ๆ กลางเดือน ซึ่งเป็นข้อมูลของสองเดือนก่อนเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการขายและสินค้าคงคลังจากภาคการผลิต การค้าส่ง และการค้าปลีกตัวเลขที่สูงขึ้นของ Business Inventory หมายถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ดี ซึ่งทำให้ค่าเงินแข็งค่า
29 IFO Business Index ( Institute of IFO in Germany ) :
ดัชนีภาคุรกิจ โดยสถาบัน IFO ประกาศในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ซึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนก่อน ซึ่งเป็นตัวที่ดูเกี่ยวกับภาคธุรกิจของประเทศเยอรมัน ตัวเลขที่สูงหมายถึงเศรษฐกิจที่ดี จะทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
30 Housing Starts
31 Existing Home sales
32 New Home Sales
33 Auto and Truck sales
34 Employee Cost Index - Labor Cost Index
35 M2 Money Supply - Money Cost
36 Construction Spending
37 Treasury Budget
38 Weekly Chain Stores - Beige Book -Red Book
39 Whole Sales Trade
40 NAPM ( National Association of Purchasing Management)
41. ดัชนี PMI คือ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ
42. Empire State Indexยอดค้าปลีกและดัชนีภาวะธุรกิจโดยรวม