การวัดระยะทางการเคลื่อนที่ของวัตถุที่มีการสั่นสะเทือนว่า มีการเคลื่อนที่ไปจากจุดอ้างอิงเท่าใดในการสั่นสะเทือนแต่ละรอบ
นิยมวัดเป็นมิลลิเมตร (mm) หรือนิ้ว
วัดแบบเต็มคลื่น (Peak to Peak)
ใช้กับการเคลื่อนที่ที่มีความเร็วรอบ ที่ไม่เกิน 1200 rpm หรือ 20Hz
การวัดความเร็ว (Velocity)
เป็นการวัดความเร็วในการเคลื่อนที่ของวัตถุที่สั่นสะเทือนว่า มีความเร็วเท่าไหร่ในแต่ละรอบของการสั่นสะเทือน
โดยปกตินิยมวัดเป็นมิลลิเมตร/วินาที (mm/s) และนิ้ว/วินาที (inch/sec) ในการวัดความเร็วเรามักจะวัดแบบ RMS
วัดการสั่นสะเทือนที่มีความถี่ระหว่าง 20Hz -1,000Hz
การวัดอัตราเร่ง (Acceleration)
การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนของความเร็วในการเคลื่อนที่ต่อหน่วยเวลาของวัตถุที่มีการสั่นสะเทือน
วัดการสั่นสะเทือนที่ความถี่สูงคือตั้งแต่ 10,000 Hz ขึ้นไป
การสั่นสะเทือนที่ความถี่สูงนั้นระยะทางการเคลื่อนที่จะน้อยและในขณะเดียวกันความเร็วในการเคลื่อนที่จะสูงมาก
Acceleration (mm/s2) ใช้วัดความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรที่ความถี่ Frequency สูงกว่า 1,000 Hz แต่โดยส่วนมากมักจะใช้วัดและวิเคราะห์ความสั่นสะเทือนและการชำรุดเสียหายของลูกปืน (Bearing)
Velocity (mm/s) นิยมใช้วัดมากที่สุด ใข้วัดความสั่นสะเทือนของเครื่องจักรที่มีความถี่ปานกลาง (10 – 1,000 Hz) ใช้วิเคราะห์ความสั่วสะเทือนของเครื่องจักรโดยทั่วไป เช่น มอเตอร์ ปั้ม พัดลม
Displacement (mm) ใช้วัดความสั่นสะเทือนที่ความถี่ต่ำๆ ไม่เกิน 10 Hz นิยมใช้วัดแบบ Peak to Peak
Step 2. เลือก class ของเครื่องจักร/ มอเตอร์ Determine the class of targeted object (JIS / ISO)
ตามมาตรฐาน JIS B 0906 แบ่งประเภทของเครื่องจักรออกเป็น 4 ประเภท โดยใช้ค่าสั่นสะเทือนของ Velocity RMS ในการประเมิน
Class 1 เครื่องจักรขนาดเล็ก มีกำลังต่ำกว่า 15 kw
Class 2 เครื่องจักรขนาดกลาง มีกำลังตั้งแต่ 15 ถึง 75 kw หรือ เครื่องจักรทีมีกำลังตั้งแต่ 75 ถึง 300 kw ที่ติดตั้งบนฐานยืด
Class 3 เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนฐาน
Class 4 เครื่องจักรขนาดใหญ่และมีเทอร์โบ ติดตั้งบนฐาน
Example of vibration ตัวอย่างการวิเคราะห์ตวามสั่นสะเทือนด้วเครื่องวัดวัดความสั่นสะเทือนในการวิเคราะห์
A=Good, B=Acceptable, C=Warning, D=Dangerous
1. จุดวัดในแนวแกน (Axial, A)
2. จุดวัดในแนวนอน (Horizontal, H)
3. จุดวัดในแนวตั้ง (Vertical, V)
ในการวัดนั้นจุดที่วัด จะต้องเป็นจุดที่เป็นตัวเรือนเครื่องจักรหรือตัวเรือนของมอเตอร์ไม่แนะนำให้วัดบนฝาครอบหรือชิ้นส่วนอื่นๆเพราะจะทำให้ค่าที่ได้จากการวัดผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง และในการวัดนั้นแรงกดของทุกครั้งที่วัดของทุกจุดจะต้องเท่ากัน หรือเลือกใช้ โพรบแบบแม่เหล็ก
ในการวัดแต่ละแนวนั้น ค่าที่ได้จากแต่ละแนวของการวัดจะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนขึ้นซึ่งจะขออธิบายเบื้องต้นต่อไป
คือจุดวัดที่อยู่ในแนวขนานกับเพลาของเครื่องจักรที่ต้องการวัด ในการวัดนั้นเราต้องวัดในจุดที่อยู่ใกล้กับเพลาให้มากที่สุด การสั่นสะเทือน ที่เกิดขึ้นมากผิดปกติหรือเกิดขึ้นอย่ารุนแรงในแนวนี้มีสาเหตุมาจากการหมุนของเพลาการคดงอของเพลา และการ Misalignment
คือ จุดวัดที่อยู่ในแนวนอนหรือแนวขนานกับพื้น หรือ ตั้งฉากกับจุดยึดของฐานมอเตอร์ หรือเครื่องจักรซึ่งจะวัดทางด้านขวา หรือ ด้านซ้ายของชิ้นส่วนหรือเครื่องจักรที่ต้องการวัดก็ได้แต่มุมการวัดต้องได้ 90 องศา หรือใกล้เคียง กับจุดวัดที่เป็นแนวตั้ง (Vertical,V) การสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นมากผิดปกติหรือเกิดขึ้นอย่างรุนแรงในแนวนี้มีสาเหตุมาจากความสมดุล (Balance) ของเพลา ใบพัด ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่เป็นวงกลม หรือการแกว่งของเพลา ของเครื่องจักรนั้น ๆ
คือ จุดวัดที่อยู่ในแนวตั้งฉากกับกับพื้น หรือด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับจุดจับยึดมอเตอร์หรือเครื่องจักรโดยทั่วๆ ไปแล้วจุดที่ทำการวัดคือจุดวัดที่อยู่ด้านบนของเครื่องจักรที่ต้องการจะวัดเช่นด้านบนของมอเตอร์หรือปั้มโดยจุดที่วัดจะต้องมีมุมขนาน 90 องศา หรือใกล้เคียงกับจุดวัดในแนวนอน
การประเมินสภาพของBearingโดยใช้ค่าความสั่นสะเทือนของ E3 Peak โดยเทียบกับค่ามาตรฐานของSKF มีการแบ่งเป็น 3 ประเภท
ขนาด Bearing Innerเส้นผ่านศูนย์กลาง ตั้งแต่ 200-500 มิลลิเมตร ความเร็วในการหมุน น้อยกว่า 500 รอบต่อนาที
ขนาด Bearing Innerเส้นผ่านศูนย์กลาง ตั้งแต่ 50-300 มิลลิเมตร ความเร็วในการหมุน ตั้งแต่ 500-1800 รอบต่อนาที
ขนาด Bearing Innerเส้นผ่านศูนย์กลาง ตั้งแต่ 20-150 มิลลิเมตร ความเร็วในการหมุน ตั้งแต่ 1800-3600 รอบต่อนาที
1. ควรมีความรู้เกี่ยวกับ มาตรฐานการวัดการสั่นสะเทือน อาทิเช่น ISO 2373:1974, ISO 10816-1 หรือ ISO 10816-3 ในที่นี้ขอแนะนำ มาตรฐาน ISO 10816-1 เป็นมาตรฐานในการบอกระดับความรุนแรงด้านการสั่นสะเทือน โดยมีเงื่อนไขการใช้งานเบื้องต้น คือ
a. ย่านความถี่ 10 – 1000 Hz
b. แอมพลิจูด หน่วย mm/sec, rms (ความเร็ว)
c. โดยเครื่องจักรต้องมีความเร็วของเพลา ไม่น้อยกว่า 120 รอบต่อนาที
โดยค่าระดับของ ISO 10816 part 1 ดังแสดงรูปที่ 1
รูปที่1: แสดงค่ามาตรฐาน ISO 10816-1
โดยมาตรฐาน ISO 10816-1 จะจำแนกเครื่องจักรตาม กำลัง(Power, kW) ของเครื่องจักร โดยแบ่งเป็น 4class
Class I: สำหรับเครื่องจักรที่มี กำลัง ไม่เกิน 15 kW
Class II: สำหรับเครื่องจักรขนาดกลางที่มี กำลัง ตั้งแต่ 15 kW ถึง 75 kW
Class III: สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีฐานแบบ rigid มี กำลัง ไม่เกิน 300 kW
Class III: สำหรับเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่ฐานเป็นแบบ soft อาทิ gas turbine, turbo generator ที่มีกำลัง ไม่เกิน 10MW
หรือ
มาตรฐานการวัดความสั่นสะเทือน
Class1 : เครื่องจักรขนาดเล็กมีกำลังต่ำกว่า 15 kW
Class2 : เครื่องจักรขนาดกลาง มีกำลังตั้งแต่ 15 ถึง 75 kW
Class3 : เครื่องจักรที่มีกำลังตั้งแต่ 75 ถึง 300 kW ที่ติดตั้งบนฐานยึดที่แข็งแรง
Class4 : เครื่องจักรขนาดใหญ่ มีกำลังมากกว่า 300 kW ที่ติดตั้งบนฐานที่ยึดแน่น (Rigid Foundation)
ตามมาตรฐาน ISO 10816 ได้ระบุระดับความรุนแรงของการสั่นสะเทือนที่จำเป็นต้องทำการซ่อมบำรุงไว้ เมื่อเราวัดได้ค่าความสั่นและทราบถึงประเภทของเครื่องจักรของเราแล้ว ให้นำค่ามาเทียบตามตารางที่ 2