หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และหมู่
ตัวชี้วัด
1. ใช้ความคิดริเริ่มในการแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และหมู่ (ศ 3.1 ม.4-6/3)
2. วิจารณ์การแสดงตามหลักนาฏศิลป์และการละคร (ศ 3.1 ม.4-6/4)
การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นคู่
* รำย่าหรันตามนกยูง
การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นหมู่
* ระบำดาวดึงส์
การวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร
หลักการชมการแสดงนาฏศิลป์และละคร
สาระสำคัญ
1. การแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่และหมู่ เป็นการแสดงที่มีกระบวนท่ารำที่มีความสวยงาม และในการแสดง ต้องมีความพร้อมเพรียง จะทำให้การแสดงมีความสวยงามมากขึ้น
2. การสร้างสรรค์และการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร ผู้วิจารณ์ควรมีความรู้ความเข้าใจในการ แสดง เป็นการวิจารณ์เพื่อสร้างสรรค์ เพื่อให้การแสดงเกิดการพัฒนา และผู้ชมการแสดงควรมีหลักในการชมการแสดง จะทำให้เข้าใจการแสดงมากขึ้น
การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นคู่
การรำเป็นคู่ คือการรำโดยใช้ผู้แสดง 2 คน ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของการรำและระบำ เช่น รำอวยพร รำรจนาเสี่ยงพวงมาลัย รำย่าหรันตามนกยูง
การแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่ ควรพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
ความสามารถในการรำ ควรเลือกผู้ที่มีลีลา ท่ารำที่มีความเหมาะสม มีความสามารถใกล้เคียงกันทั้งด้านลีลา ท่ารำ การเคลื่อนไหว
รูปร่างลักษณะของผู้แสดง โดยพิจารณาให้เหมาะสมกัน เช่น รำคู่พระ-พระ หรือรำคู่นาง-นาง ควรให้มีความสูง รูปร่างและใบหน้าเหมาะสมกัน แต่ถ้าเป็นรำคู่พระ-นาง ตัวพระจะต้องมีรูปร่างสูงกว่าตัวนาง ยกเว้นในกรณีที่เป็นการรำแบบไล่จับกันตัวพระและตัวนางมีรูปร่างใกล้เคียงกันได้ เช่น รำย่าหรันตามนกยูง
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง จะต้องมีความเหมาะสมกับชุดการแสดง
การแต่งกาย ควรเหมาะสมกับผู้แสดง ชุดการแสดง และสถานที่
ดนตรีและบทร้อง มีความไพเราะเหมาะสมกับชุดการแสดง
ตัวอย่างการแสดงการรำเป็นคู่ในรูปแบบรำ รำย่าหรันตามนกยูง
ประวัติความเป็นมาของการแสดง
การแสดงชุดย่าหรันตามนกยูงเป็นการแสดงจากละครในเรื่อง อิเหนา ซึ่งเป็นศิลปะแบบแผนชั้นสูง ในการแสดงละครในเรื่องอิเหนาจะมีชุดการแสดงสั้นๆ ใช้ประกอบคั่นการแสดงในช่วงเปลี่ยนฉากการแสดง เช่น ระบำนกเขา ระบำเทพบันเทิง และย่าหรันตามนกยูงซึ่งเป็นการรำคู่ระหว่างคนกับสัตว์
การแสดงชุดย่าหรันตามนกยูงจะอยู่ในตอน โสกันต์สียะตรา โดยสียะตราซึ่งเป็นน้องชายของบุษบา ปลอมตัวเป็นย่าหรันออกตามหาอิเหนาและบุษบา จนกระทั่งเข้าเฝ้าท้าวกาหลัง ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 2 เพลงที่ใช้ในตอนนี้คือ เพลงเชิดฉิ่ง ความหมายของเพลง คือ การไล่ติดตามจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งในระยะไกล
ลักษณะการแต่งกาย
ผู้แสดงแต่งกายยืนเครื่อง ย่าหรันสวมเสื้อแขนสั้นสีเหลือง สวมเครื่องประดับปันจุเหร็จ มีม้าแผงติดอยู่ที่ข้างเอวด้านขวาและเหน็บกริชไว้ที่เอวด้านซ้าย มือถือแส้ม้า ส่วนนกยูงจะแต่งเลียนแบบนกยูง แต่ยืนเครื่องพระเพียงครึ่งล่างเท่านั้น
ดนตรีประกอบการแสดง
ใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้า
กระบวนท่ารำ
เนื่องจากการแสดงชุดนี้แสดงถึงการไล่ติดตามระหว่างคนกับสัตว์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. การรำตีบท จะรำตามเนื้อร้องซึ่งมีทั้งบทของย่าหรันและนกยูง เมื่อถึงบทรำของนกยูงย่าหรันจะตีบทตามเนื้อร้อง
2. การรำเข้ากับทำนองเพลง จะเป็นการรำไล่ติดตามหรือรำซ้ำท่าสุดท้ายของบทร้อง จะใช้ทำนองเพลงเชิดฉิ่งและเพลงเชิดจีน ใช้รำหลังหมดเนื้อร้อง
บทร้องรำย่าหรันตามนกยูง
-ปี่พาทย์ทำเพลงเชิดฉิ่ง-
(ย่าหรันติดตามนกยูงรอบเวที)
-ร้องเพลงเชิดจีน-
เมื่อนั้น บุหรง สุรารักษ์ ปักษี
เห็นย่าหรัน ดั้นดัด พนาลี ควบขับ พาชี ตามมา
จึงโผผิน บินไป ให้ห่าง แล้วเยื้องย่าง หยุดยืน คอยท่า
ฟ้อนรำ ทำที กิริยา ปักษา แกล้งล่อ รอรั้ง
-เชิดจีน เชิด-
การแสดงที่เป็น รำคู่
รำแม่บท
การประดิษฐ์ท่ารำที่เป็นหมู่
การรำเป็นหมู่ คือ การรำที่มีผู้แสดงมากกว่า 2 คนขึ้นไป ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของการแสดงรำและระบำ เช่น ระบำกฤดภินิหาร ระบำดาวดึงส์ ระบำเทพบันเทิง รำวงมาตรฐาน รำโคม
การแสดงนาฏศิลป์เป็นคู่ ควรพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
ความสามารถในการรำ การแสดงควรจัดเป็นหมู่ จำนวนผู้แสดงอาจเป็นจำนวนคู่หรือจำนวนคี่ก็ได้ โดยดูจากความเหมาะสมของเวที สถานที่ที่ใช้ในการแสดง ความสามารถในการรำควรใกล้เคียงกัน และเน้นความพร้อมเพรียงกัน
รูปร่างลักษณะของผู้แสดง ควรมีความสูง และรูปร่างใกล้เคียงกัน แต่บางชุดการแสดงอาจเรียงลำดับจากผู้แสดงที่รูปร่างเตี้ยไปรูปร่างสูง หรือรูปร่างเล็กไปรูปร่างใหญ่ เช่น การรำโคม เพราะจะมีการแปรแถวเป็นมังกร มีหัวมังกร หางมังกร จึงต้องมีผู้แสดงรูปร่างเล็กเป็นผู้ที่สำหรับต่อตัว
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง เช่น ดอกไม้ โคม พัด จะต้องดูแลรักษาอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงให้มีความสวยงามอยู่เสมอ นอกจากนี้ควรฝึกซ้อมใช้อุปกรณ์ในการแสดงให้เกิดความคุ้นเคย เพื่อให้การแสดงสวยงาม และพร้อมเพรียงกัน
การแปรแถว เป็นการเคลื่อนไหวของผู้แสดงจำนวนมาก เพื่อให้การแสดงรูปแบต่าง ๆ มีความพร้อมเพรียง เห็นความสามารถของผู้แสดงและควรมีท่าจบสวยงาม
การแต่งกาย เครื่องแต่งกายต้องมีความสวยงาม เหมาะสมกับผู้แสดง และชุดการแสดง เรียงลำดับสีชุดให้สวยงาม (ถ้าชุดเป็นชุดสี)
ดนตรีและบทร้อง ควรใช้ดนตรีและบทร้องที่เหมาะสมกับการแสดง เพื่อให้การแสดงสวยงามและมีคุณค่า
ตัวอย่างการแสดงการรำเป็นหมู่ในรูปแบบระบำ ระบำดาวดึงส์
ประวัติความเป็นมาของการแสดง
ระบำดาวดึงส์ ได้ถูกปรับปรุงท่ารำขึ้นมาใหม่ให้แตกต่างจากระบำมาตรฐานอื่น การแสดงชุดนี้เป็นระบำประกอบการแสดงละครดึกดำบรรพ์เรื่อง สังข์ทอง ตอนตีคลี แต่เดิมได้จัดการแสดง ณ โรงละครดึกดำบรรพ์ วังบ้านหม้อ ในปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
ระบำดาวดึงส์เป็นบทพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้พรรณนาความงดงามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และทิพยสมบัติของพระอินทร์
ระบำดาวดึงส์ได้ปรับปรุงท่ารำบางท่าเลียนแบบท่าเต้นพิธีแขกเจ้าเซ็น โดยท่ารำแบบนี้เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษ์มนตรีทรงประดิษฐ์ขึ้นโดยมีหม่อมเข็ม กุญชร ณ อยุธยา เป็นผู้ควบคุมฝึกหัดคิดท่ารำ
บทร้อง “ระบำดาวดึงส์”
(ปี่พาทย์ทำเพลงเหาะ รัว)
- ร้องเพลงตะเขิ่ง -
ดาวดึงส์เทวโลกมโหฬาร เป็นที่อยู่สำราญฤทัยหรรษ์
สารพัดงามจริงทุกสิ่งอัน สารพันอุดมสมใจปอง
เทพบุตรผุดผ่องพรรณโฉมยง งามทรงอาภรณ์ไม่มีหมอง
นางอัปสรงอนสงวนนวลละออง งามทรงเครื่องทองและเพชรนิล
- ร้องเพลงเจ้าเซ็น -
สมเด็จพระอมรินทร์ปิ่นมงกุฎ ทรงวชิราวุธธนูศิลป์
รักษาเทวสีมาเป็นอาจิณ อสุรินทร์อสุรีไม่บีฑา
อันอินทรปราสาททั้งสาม ทรงงามสูงเงื้อมกลางเวหา
สี่มุขหุ้มมาศสะอาดตา ใบระกาแกมแก้วประกอบกัน
ช่อฟ้าช้อยเฟ้อยเฉื่อยชด บราลีที่ลดมุขกระสัน
มุขเด็จทองดาดกนกพัน บุษบกสุวรรณชมพูนุท
ราชยานเวชยนต์รถแก้ว เพริศแพร้วกำกงอลงกต
แอกงอนอ่อนสลวยชวยชด เครือขดช่อตั้งบัลลังก์ลอย
รายรูปสิงห์อัดหยัดยืน สุบรรณจับนาคหิ้วเศียรห้อย
ดุมพราววาววับประดับพลอย แปรกแก้วกาบช้อยสะบัดบัง
เทียมด้วยสินธพเทพบุตร ทั้งสี่บริสุทธิ์ดั่งสีสังข์
มาตลีอาจขี่ขับประดัง ให้รีบรุดสุดกำลังดังลมพา
- ปี่พาทย์ทำเพลงรัว –
ดนตรีที่ใช้ในการแสดง
การแสดงระบำดาวดึงส์ใช้วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งดัดแปลงมาจากวงปี่พาทย์เครื่องคู่และเครื่องใหญ่ โดยลดเครื่องดนตรีบางชนิด สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้กำหนดเครื่องดนตรีได้แก่ ระนาดเอกตีด้วยไม้นวม ระนาดทุ้มเหล็ก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ตะโพนคู่ ฉิ่ง ฆ้องหุ่ย 7 ลูก ตะโพนและกลองแขก เพื่อให้เสียงทุ้มนุ่มนวล ไม่แข็งกร้าว เพลงที่ใช้ประกอบท่ารำ ได้แก่ เพลงเหาะ เพลงรัว เพลงตะเขิ่ง และเพลงแขกเจ้าเซ็น
เครื่องแต่งกายระบำดาวดึงส์
เครื่องแต่งกายระบำดาวดึงส์
· เทวดา แต่งกายยืนเครื่องพระ นุ่งผ้ายกจีบโจงหางหงส์ทับสนับเพลา สวมเสื้อปักดิ้นเลื่อมลายกนกแขนสั้น ปลายแขนติดกนก สวมเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ ศิราภรณ์ชฎายอดชัย
· นางฟ้า แต่งกายยืนเครื่องนาง นุ่งผ้ายกจีบหน้านางทิ้งชายพก สวมเสื้อในนาง ห่มด้วยผ้าห่มนาง ปักด้วยดิ้นเลื่อมลายกนก สวมเครื่องประดับถนิมพิมพาภรณ์ ศิราภรณ์มงกุฎกษัตริย์
การแสดงที่เป็น รำหมู่
ระบำดาวดึงส์
ตัวอย่างการแสดงการรำเป็นหมู่ในรูปแบบระบำ รำกระทบไม้
"รำกระทบไม้" เป็นการละเล่นพื้นเมืองของชาวจังหวัดสุรินทร์ เดิมเรียกว่า "เต้นสาก" ประเทศไทยมีอาชีพทางกสิกรรมมาช้านาน การทำนาผลิตข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทย และทำรายได้เป็นสินค้าออกให้แก่ประเทศไทยอย่างมากมาย ชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่จึงคลุกคลีอยู่กับการทำนา เริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ ดำ และเก็บเกี่ยว เป็นต้น ด้วยนิสัยรักสนุก หลังจากเลิกงาน จึงนำสากตำข้าวมากระทบกันเป็นเครื่องประกอบจังหวะ พร้อมกับมีการละเล่นให้เข้ากับจังหวะ แต่เดิมคงเป็นจังหวะตำข้าวในลักษณะยืนตำ 2 คน ต่อมาจึงลากไม้สากมาวางตามยาว มีคนจับปลายสาก หัว ท้าย ข้างละคน พร้อมทั้งใช้ไม้หมอนรองเคาะเป็นจังหวะภายหลังกรมศิลปากรได้ศึกษาการละเล่นชนิดนี้ และนำมาปรับปรุงจัดระเบียบแบบแผนเรียงลำดับท่ารำขึ้น โดยไม่ทิ้งเค้าแบบแผนเดิม และได้นำออกแสดงเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2500 เนื่องในงานแลกเปลี่ยนศิลปวัฒนธรรมกับราชอาณาจักรลาวในการปรับปรุงครั้งนั้น เนื่องจากบทร้องของเก่าไม่เหมาะสมที่จะรำได้สวยงาม กรมศิลปากรจึงได้ขอให้อาจารย์มนตรี ตราโมท แต่งบทร้อง และท่านผู้หญิงหม่อม แผ้ว สนิทวงศ์เสนีย์ เป็นผู้ประดิษฐ์ท่ารำขึ้นใหม่ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการรำ นอกจากไม้เคาะจังหวะประกอบการร่ายรำแล้ว ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรได้นำวงปี่พาทย์เครื่องห้า เครื่องคู่ บรรเลงลำนำ ทำนองเพลงให้ไพเราะ
บทร้อง มีความหมายในการละเล่นในยามค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวง มีการร่ายรำของหนุ่มสาวมีการเกี้ยวพาราสีกัน ตามเนื้อร้องดังนี้
แสงรัชนี ส่องสีนวล
ชื่นใจชวน ยั่วยวนใจชมอภิรมย์เริงใจ
เคล้าคู่เคียงไป ฟ้อนกรายร่ายรำ
หนุ่มวอนกลอนกล่าว เว้าสาวหวานฉ่ำ
จันทร์งามยามค่ำ เป็นสายนำดวงใจ
ยามเดือนลอยเด่น เหมือนดังเป็นใจให้
สาวหนุ่มพลอดกัน กรีดกรายร่ายรำ สำเริงรื่น
แสนชื่นชอบเชิง เริงรำ ทำทางกั้น
สับเปลี่ยนเวียนผัน กันสำราญ
ร่ายรำท่ามกลาง แสงเดือนเด่น
เยือกเย็นน้ำค้าง ช่างซาบซ่าน
สาวรำนำหนุ่ม ชุ่มชื่นบาน
ต่างสุขศานต์ แสนงามยามค่ำคืน
อุปกรณ์
แต่เดิมวางไม้สากตามความยาว 2 อัน ให้ไม้หมอนรองหัวและท้ายไม้ทั้ง 2 ด้าน ปลายสากจะมีคน 2 คน จับปลายเพื่อกระทบกัน ภายหลังกรมศิลปากรปรับปรุง และจัดลำดับท่ารำให้เป็นระเบียบขึ้นแต่ยังคงรักษาเค้าแบบแผนเดิม โดยปรับ ปรุงเป็นไม้ไผ่ 2 ลำ ขนาดเท่ากันยาวประมาณ2 - 4 เมตร และใช้ไม้เนื้อแข็งเป็นหมอนวางรองทั้งสองปลาย ผู้กระทบนั่งกับพื้นจับปลายทั้งสองคนเพื่อจะได้ตีกระทบกัน
การแต่งกาย
การแต่งกาย แต่งได้ 2 แบบ คือ
1. การแต่งกายแบบพื้นเมือง
ชาย นุ่งโจงกระเบน สวมเสื้อคอกลม แขนสั้น มีผ้าคาดเอว และผ้าคาดไหล่
หญิง นุ่งผ้าซิ่นป้ายข้างยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอก คอปิดห่มสไบทับเสื้อ ปล่อยผมทัดดอกไม้ สวมเครื่องประดับพองาม มีสร้อยคอ ต่างหู
2. การแต่งกายแบบกรมศิลปากร
ชาย นุ่งกางเกงขาสามส่วน หลากสี วามเสื้อคอกลม มีผ้าคาดเอว และผ้าโพกศีรษะ
หญิง นุ่งซิ่นมีเชิง ป้ายข้างยาวกรอมเท้า สวมเสื้อแขนกระบอกคอกลมหรือคอปิด ห่มสไบเฉียง เข็มขัดทับเสื้อ สวมสร้อยคอและต่างหู ปล่อยผมทัดดอกไม้
วิธีเล่นกระทบไม้
วางไม้ไผ่ตันไว้กับพื้นให้ห่างกันพอที่จะวางไม้ไผ่สีสุกลง แล้วเหลือปลายไว้ใช้จับประมาณ 2 คืบ ผู้เล่น ( 2 คน ) จับไม้ยาวเคาะเป็นจังหวะ โดยรั้งให้ไม้ยาวมากระทบกัน 1 ครั้ง แล้วจึงยกไม้ยาวแยกห่างกันออก เคาะไปที่ไม้สั้น 2 ครั้ง สลับกันไปตามจังหวะเพลง ช่วงระยะเคาะไม้สั้นจะเว้นช่องว่างระหว่างไม้ยาวประมาณ ครึ่งศอก เพื่อให้ผู้รำชาย - หญิง ได้หย่อนเท้าก้าวลงไปในช่องนั้น แล้วยกออกตามจังหวะเพลงได้อย่างสวยงาม และถ้าผู้รำเผลอก้าวพลาดผิดจังหวะ ไม้ไผ่คู่นั้นจะกระทบเท้าผู้รำทันที
จังหวะกระทบไม้จะเป็นจังหวะ 8 จังหวะ แล้วย้อนกลับไปใหม่เรื่อยๆ ดังนี้
ท่ารำ-กระบวนท่ารำ
1 รำท่าสอดสร้อยมาลา ย่ำเท้าตามจังหวะเพลง
2 รำตามเนื้อร้องตีบทตามความหมายของเพลง
3 ผู้แสดงชายทั้ง 4 คนแสดงในจังหวะที่รวดเร็วเพื่อเป็นการอวดฝีมือแก่ฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงรำอยู่ด้านหลัง เปรียบเสมือนการให้กำลังใจแก่ฝ่ายชาย
4 ผู้แสดงฝ่ายหญิงเปลี่ยนออกมาแสดงอย่างสนุกสนาน ฝ่ายชายเปลี่ยนกลับไปรำอยู่ด้านหลัง
5 ทั้งชายและหญิงออกมาจับคู่รำเหมือนเดิมร่ายรำผ่านการกระทบไม้ทั้ง4คู่เน้นการใช้เท้าและความพร้อมเพรียงกันอย่างสนุกสนาน
6 แสดงการแตะไหล่ในการประกอบจังวะอย่างพร้อมเพรียงแสดงถึงความสามัคคีของผู้แสดงทั้งหมด
7 ผู้กระทบไม้ เปลี่ยนไม้วางเป็นลักษณะรูปเครื่องหมายกากบาท ผู้แสดงการร่ายรำทั้ง 8 แสดงโดยให้ฝ่ายหญิงอยู่วงในและฝ่ายชายอยู่วงนอกมีการควงสลับคู่กันอย่างสนุกสนาน
รำกระทบไม้
การวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละคร
การวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์และละครไทยนั้น ผู้วิจารณ์ต้องแสดงความคิดเห็นประกอบการ เสนอแนะและแนวทางการปรับปรุงแก้ไข โดยอยู่บนพื้นฐานของหลักการวิจารณ์ที่ถูกต้อง ผู้วิจารณ์ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์เกี่ยวกับการแสดง การชมและศึกษาด้านนาฏศิลป์และละครไทยอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ใจกว้าง รู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ปราศจากอคติ ความลำเอียงส่วนตัว จึงจะทำให้การแสดงนาฏศิลป์และละครมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น
ประเด็นสำคัญในการวิจารณ์นาฏศิลป์และละครไทย มีดังนี้
แนวคิดหรือวัตถุประสงค์ในการแสดง
ต้องวิเคราะห์แนวคิดหรือวัตถุประสงค์ของการจัดการแสดง เช่น ต้องการจัดการแสดงในเชิงอนุรักษ์รูปแบบการแสดงของละครผู้หญิงในราชสำนัก หรือที่เรียกว่าละครในตามจารีตอย่างโบราณ ในการแสดงนี้ควรจะมีการแสดงให้ถูกต้องตามจารีต ทั้งกระบวนการร้อง กระบวนการรำ การแต่งกาย คัดสรรบทละคร เลือกผู้แสดงที่มีความชำนาญ เข้าใจรูปแบบการแสดงและองค์ประกอบอื่น ๆ ได้ถูกต้องตามแบบแผนที่มีมาแต่เดิม หากมีข้อผิดพลาดผู้วิจารณ์ก็ควรแนะนำและแก้ไขจุดบกพร่องนั้นได้ และผู้ชมก็ต้องเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการแสดงในครั้งนั้นด้วย ต้องยอมรับและพร้อมจะชมการแสดงละครอย่างโบราณโดยไม่มีการปรับปรุงหรือพัฒนาการแสดงให้ผิดไปจากแนวคิด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ชม
ความถูกต้องของรูปแบบและขนบธรรมเนียมในการแสดง
พิจารณาว่าการแสดงมีองค์ประกอบถูกต้องหรือไม่ เช่น นาฏศิลป์โขน ควรมีองค์ประกอบและเอกลักษณ์ในการแสดงที่สื่อถึงสัญลักษณ์ของโขนให้ถูกต้องชัดเจน ได้แก่ ลีลาท่าเต้น เครื่องแต่งกาย หัวโขน การพากย์ เจรจา
ความสามารถของผู้แสดง
พิจารณาความสามารถของผู้แสดงโดยวิเคราะห์ถึงความเหมาะสม ความสามารถ ความสวยงามโดดเด่นของผู้แสดง การรับรู้บทบาทหน้าที่ตามบทละครและการสวมบทบาทของผู้แสดงได้อย่างถูกต้อง สามารถเข้าถึงอารมณ์ในการแสดงอย่างประทับใจ
องค์ประกอบในการแสดง
พิจารณาองค์ประกอบในการแสดง ได้แก่ บทการแสดง เครื่องแต่งกาย ดนตรี สถานที่ อุปกรณ์การแสดง ฉาก เทคนิคแสง และเสียง ต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมให้การแสดงน่าชม น่าสนใจ โดยไม่เสียรูปแบบของการแสดง
คุณค่าของการแสดง
ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย ควรมีสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าภูมิปัญญาของคนไทยแฝงอยู่ในการแสดง ไม่ว่าจะเป็นในเชิงแนวคิดด้านคติธรรม วิถีชีวิต สังคม การส่งเสริมจรรโลงศิลปวัฒนธรรมในบริบทของสังคมที่แวดล้อมได้อย่าเหมาะสม
ในการแสดงนาฏศิลป์ไทย ควรมีสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าภูมิปัญญาของคนไทยแฝงอยู่ในการแสดง ไม่ว่าจะเป็นในเชิงแนวคิดด้านคติธรรม วิถีชีวิต สังคม การส่งเสริมจรรโลงศิลปวัฒนธรรมในบริบทของสังคมที่แวดล้อมได้อย่าเหมาะสม
หลักการชมการแสดงนาฏศิลป์และละคร
การชมการแสดงนาฏศิลป์และละคร ผู้ชมการแสดงควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับการแสดงที่จะชมและควรมีหลักในการชมการแสดงนาฏศิลป์ด้วย จะทำให้ผู้ชมเข้าใจการแสดงมากขึ้น หลักการชมการแสดงนาฏศิลป์และละคร มีดังนี้
1. ผู้ชมควรศึกษาเกี่ยวกับท่ารำ เพราะนาฏศิลป์ไทยนั้นท่ารำจัดเป็นภาษาที่ใช้สื่อความหมาย ทำให้ผู้ชมเข้าใจเข้าใจถึงกิริยาอาการต่าง ๆ ของผู้แสดง ผู้ชมที่ดีควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับความหมายและลีลาท่ารำต่าง ๆ
2. ผู้ชมควรเข้าใจเกี่ยวกับภาษาหรือคำร้องของเพลงต่าง ๆ ดนตรีและเพลงร้องประกอบล้วนมีความสำคัญต่อการแสดงนาฏศิลป์ ซึ่งจะมีเพลงขับร้องและเพลงบรรเลง ในเพลงขับร้องนั้นก็จะมีคำร้องที่ส่วนมากเป็นคำประพันธ์หลาย ๆ ประเภท ฉะนั้น ผู้ชมจะต้องฟังภาษาที่ใช้ร้องให้เข้าใจควบคู่กับการชมการแสดง จึงจะเข้าใจการแสดงนั้น ๆ
3. ผู้ชมต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับดนตรีและเพลงต่าง ๆ ต้องเข้าใจทั้งลีลา สำเนียงของเพลง ทำนอง ตลอดจนถึงจังหวะอารมณ์ด้วย จึงจะชมนาฏศิลป์ได้เข้าใจ และเข้าถึงรสของการแสดงได้อย่างสมบูรณ์ นอกจากที่กล่าวมาควรรู้จักถึงชื่อของเครื่องดนตรีและวงดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดงอีกด้วย
4. ผู้ชม ควรเข้าใจถึงลักษณะการแต่งกายและการแต่งหน้าของผู้แสดง ควรมีความเข้าใจว่าเครื่องแต่ง กายของผู้แสดงมีความเหมาะสมกับบรรยากาศและประเภทของการแสดงหรือไม่ เสื้อผ้าเครื่องประดับ และอุปกรณ์ต่าง ๆ เหมาะสมและสอดคล้องกันมากน้อยเพียงใด
5. ผู้ชมที่ดีควรมีความรู้ ความเข้าใจถึงการออกแบบฉากและการใช้แสงและเสียง ควรดูให้เข้าใจว่า เหมาะสมกับการแสดงหรือไม่ บรรยากาศของฉากเหมาะสมกับการแสดงเพียงใด
6. ผู้ชมควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและฐานะของตัวแสดง ในการแสดงที่เป็นเรื่องราวนั้นจะมีตัว ละครหลายตัว ซึ่งมีบทบาทแตกต่างกันออกไป ซึ่งแบ่งตามฐานะของเรื่องนั้น ๆ
7. ผู้ชมควรมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของการแสดง กรณีที่เล่นเป็นเรื่องราวผู้ชมจะต้องติดตามการ แสดงให้มีความต่อเนื่องจึงจะเข้าใจเรื่องราวในการแสดง
8. ผู้ชมควรมีอารมณ์ร่วมไปกับการแสดงเพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับชมและยังเป็นการให้กำลังใจต่อผู้ แสดงอีกด้วย
9. ผู้ชมควรมีมารยาทในการชมการแสดง ปรบมือก่อนและหลังการแสดง ไม่ควรส่งเสียงโห่ร้องในขณะ ชมการแสดงรวมถึงการแต่งกายที่สุภาพเรียบร้อย เหมาะสมกับสถานที่แสดง และเดินทางไปถึงสถานที่จัดการแสดงก่อนเวลา
10. ผู้ชมควรศึกษาสูจิบัตร หากไม่มีสูจิบัตร ก็ควรตั้งใจฟังพิธีกรบรรยายเรื่องราวที่เกี่ยวกับการแสดง เพื่อที่จะรับชมการแสดงอย่างเข้าใจตั้งแต่ต้นจนกระทั่งจบการแสดง
ที่มา : หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐาน นาฏศิลป์ ชั้น ม.4-6 สถาบันพัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.)