"ปรัชญาการดูแลรักษาสุขภาพในระดับปฐมภูมิมีรากฐานวิธีคิดมาจากทัศนะการมองสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic approach) เป็นการมองสุขภาพที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันทั้งชีวิต มากกว่าการเน้นแค่ความเจ็บป่วยหรือการจัดการกับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย โดยจะพิจารณาที่ “ตัวคนทั้งคน” ความเกี่ยวเนื่องของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมทางกายภาพและทางสังคมที่มีปฏิสัมพันธ์กับคนคนนั้นว่ามีผลต่อสุขภาพและความเจ็บป่วย แตกต่างจากปรัชญาการแพทย์กระแสหลักที่ลดทอนสุขภาพให้เหลือเพียงมิติทางกายภาพหรือมิติทางชีววิทยา" การโหยหาและเรียกร้องถึงสุขภาวะของผู้สูงอายุ จึงมักเกิดการขับเคลื่อนผ่านพิธีกรรมทางวัฒนธรรม มากกว่า "การปรุงแต่ง" ของนักคิด เช่น การรวมกลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การสื่อสารความเชื่อด้านสุขภาพและการบอกต่อเพื่อสุขภาพจึงมักเห็นได้ในกลุ่มผู้สูงอายุ
ที่ผ่านมาการแปลปรัชญาหรือวิธีคิดสุขภาพปฐมภูมิ บริการปฐมภูมิ ไปสู่ปฏิบัติการสุขภาพมิติใหม่ยังมีข้อจำกัดหลายประการ หน่วยบริการปฐมภูมิจึงถูกลดทอนคุณค่าและบทบาทให้เหลือเพียงบริการด่านหน้าทำหน้าที่คัดกรองผู้ป่วย (Gate keeper) ทำให้เหมือนแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาล (Extended OPD) และเป็นบริการสำหรับคนจน การนิยามบริการปฐมภูมิเช่นนี้เป็นการเอางานที่เป็นจุดอ่อนของบริการปฐมภูมิมาเป็นภาพตัวแทนสื่อสารกับคนในวงกว้าง ไม่เพียงทำให้ไม่สามารถพัฒนาบริการปฐมภูมิจากลักษณะเด่นที่เป็นเอกลักษณ์หรือหัวใจของบริการปฐมภูมิได้ หนำซ้ำการนิยามและการสร้างภาพตายตัว (Stereotype) เช่นนี้ให้กับบริการปฐมภูมิยังมีผลลดทอนกำลังใจคนทำงาน ทำให้คนทำงานไม่เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีในงานที่ตนเองทำ
(โกมาตร และประชาธิป, 2550: 14 - 17)