งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นจังหวัดหนองบัวลำภู ปี 2552” ใช้รูปแบบวิธีศึกษาแบบ Mixed Method Research ประกอบด้วย Qualitative Research & Quantitative Research ซึ่งมีรายละเอียดขอบเขตการวิจัยดังนี้
1. ขั้นตอนแรกเป็นการศึกษาเชิงคุณภาพเพื่อที่จะศึกษาถึงปัจจัยกำหนดที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นนำไปสู่การวิเคราะห์องค์ประกอบของปัจจัยโดยการจัดประชุมกลุ่มแสดงความคิดเห็น (Group Discussion)
2. ขั้นตอนที่สองเป็นการศึกษาเชิงปริมาณเก็บข้อมูลภาคตัดขวาง (Cross sectional study) ณ เวลาทีศึกษาโดยการสำรวจ (Survey Research) เครื่องมือเป็นแบบสอบถามจะพัฒนาขึ้นจากการจากวิเคราะห์องค์ประกอบของปัจจัยที่เป็นตัวกำหนดการทะเลาะวิวาทเด็กวัยรุ่นจากการศึกษาเชิงคุณภาพ เพื่อที่จะศึกษาถึงการรับรู้ การขัดเกลาทางสังคม ความคาดหวังในการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ใช้เด็กวัยรุ่นเป็นหน่วยวิเคราะห์ (Unit of analysis)
ประชากรเป้าหมายและกลุ่มตัวอย่าง
1. กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาเชิงคุณภาพ ได้เลือกประชากรเป้าหมายแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) ได้แก่ ประชาชนทั่วไป กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มหรือชมรมต่าง ๆ ในชุมชนบ้านกุดเต่า หมู่ที่ 7 ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ด้วยเหตุผลว่า เคยมีประวัติการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นแบบอย่างด้านเป็นหนึ่งได้ด้วยการไม่พึ่งยาเสพติด หรือกลุ่ม TO BE NUMBER ONE
2. กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาเชิงปริมาณได้เลือกตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratify Random Sampling) เจาะจงในเด็กวัยรุ่นกลุ่มนักเรียน/นักศึกษาในสถานศึกษาด้วยเหตุว่ามีการกระจายของตัวอย่างมาจากหลากหลายพื้นที่ที่น่าเชื่อถือ (Validity Distribution) ใช้ขนาดตัวอย่าง (Sample Size) จากการคำนวณสูตร Pearson Product Moment Correlation Analysis (Cohen, 1977)
l = ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์จากตาราง (Table 9.4.2; Cohen, 1977)
เงื่อนไขในการกำหนดค่า l คือ ที่ระดับ Power = .95 และค่าความน่าเชื่อถือ 95% (a=.05)
U=จำนวนปัจจัยใช้ในการพยากรณ์ผู้วิจัยประมาณค่าเท่ากับ 10 ปัจจัยค่า l เท่ากับ 24.38, = ค่าสัมประสิทธิ์ถดถอยระหว่างตัวแปรกำหนดเท่ากับ .10 (Cohen, 1977)
แทนค่าในสูตรได้ขนาดตัวอย่างเท่ากับ 240 ตัวอย่าง
การสุ่มตัวอย่าง (Random Sampling)
1. การศึกษาเชิงคุณภาพ ใช้การสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างที่เป็นประชาชนทั่วไปและกลุ่มเด็กเยาวชนในสังคมชุมชน บ้านกุดเต่า หมู่ที่ 7 ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมืองหนองบัวลำภู
2. การศึกษาเชิงปริมาณใช้แบบสุ่มแบบชั้นภูมิ (Stratify Random Sampling) ดังนี้
เลือกสถานศึกษาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงในสถานศึกษาโดยการประมาณค่าสัดส่วนตัวอย่าง (Proportion Sampling) ขนาดตัวอย่าง ดังนี้
2.1 สถานศึกษาขนาดเล็กประชากรน้อย ได้แก่ วิทยาลัยพิชยบัณฑิตหนองบัวลำภู จำนวน 40 ตัวอย่าง
2.2 สถานศึกษาขนาดกลางประชากรค่อนข้างมาก ได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคหนองบัวลำภู จำนวน 80 ตัวอย่าง
2.3 สถานศึกษาขนาดใหญ่ประชากรมีเป็นจำนวนมาก ได้แก่ โรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร จำนวน 120 ตัวอย่าง
2.4 เลือกผู้ให้ข้อมูลโดยการสุ่มแบบบังเอิญ (Accidental Random Sampling)ในกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยู่ในสถานศึกษาช่วงวันทำการให้ครบตามขนาดตัวอย่างที่กำหนด
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้แบ่งเป็น 2 แบบตามวิธีการวิจัย
1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ผู้วิจัยใช้แนวทางการทำกิจกรรมกลุ่ม (Group participatory Guideline)โดยแบ่งเป็น 2 ระดับ ประกอบด้วย
1.1 ระดับชุมชนเพื่อศึกษาปัจจัยกำหนดที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญ บริบทของหมู่บ้านและประเด็นเกี่ยวกับภูมิหลังกระบวนการก่อเหตุทะเลาะวิวาทในชุมชน ประเด็นในด้านสังคมและวัฒนธรรม ระบบการศึกษา ค่านิยมความเชื่อ การย้ายถิ่นและประเด็นอื่น ๆ ที่ครอบคลุมมิติทั้งในระดับบุคคลและชุมชน
1.2 ระดับบุคคล ซึ่งกำหนดประเด็นแนวทางการทำกิจกรรมกลุ่มเพื่อนิยามความหมายหรือตีความเกี่ยวกับ
1.2.1 คุณลักษณะทางประชากร ได้แก่ เพศ อายุ ภูมิลำเนา สถานที่พักพิงปัจจุบัน ประวัติการหย่าร้างของบิดามารดา ฐานะของครอบครัว จำนวนสมาชิก ระดับการศึกษาสูงสุดในครอบครัวและตำแหน่งของบุคคลในครอบครัวในระดับชุมชน
1.2.2 การรับรู้ ประกอบด้วย การก่อเหตุทะเลาะวิวาท ลักษณะของความรุนแรง พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นและสิ่งกระตุ้นให้เกิดการก่อเหตุ เป็นต้น
1.2.3 ระบบการขัดเกลาทางสังคม ประกอบด้วย ทั้งทางตรงและทางอ้อม
1.2.4 ความคาดหวังในการดำเนินชีวิต ได้แก่ เป้าหมายชีวิต ความคาดหวังในตัวเองและความคาดหวังแก่ครอบครัว
1.2.5 พฤติกรรมการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ประกอบด้วย ทัศนะคติที่เป็นลักษณะพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ ความสมานฉันท์ ความปรองดอง การประนีประนอมและความไว้วางใจกัน และทัศนะคติที่เป็นลักษณะพฤติกรรมเชิงลบ ได้แก่ ความคิดฝังจำ การร้างแค้น การสร้างพื้นที่อำนาจของกลุ่ม ค่านิยมและปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ
2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ
การสร้างเครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูลเชิงปริมาณเป็นแบบสอบถาม ตัวแปรอิสระหรือตัวแปรต้น ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นจากการทบทวนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ครอบคลุมประเด็นที่ต้องการศึกษา ประกอบด้วย คุณลักษณะทางประชากร การรับรู้ ระบบกล่อมเกลาทางสังคมและความคาดหวังในการดำเนินชีวิต ในส่วนตัวแปรพึ่งพิงหรือตัวแปรตามผู้วิจัยจะได้พัฒนาข้อคำถามจากข้อมูลเชิงคุณภาพในประเด็นพฤติกรรมการก่อเหตุทะเลาะวิวาท เพื่อที่จะนำมาเป็นตัวชี้วัดในแบบสอบถามต่อไป
การวัดตัวแปร ในการศึกษาเชิงปริมาณ ผู้วิจัยได้กำหนดตัวแปรและการวัดตัวแปรที่ต้องศึกษา ดังนี้
การวัดตัวแปรต้นหรือตัวแปรอิสระ
คุณลักษณะทางประชากร
1. ระดับการวัดแบบนามบัญญัติ (Nominal Scale) ประกอบด้วย เพศ ภูมิลำเนา สถานที่พักพิงปัจจุบัน ประวัติการหย่าร้างของบิดามารดาและตำแหน่งของบุคคลในครอบครัวในระดับชุมชน
2. ระดับการวัดแบบอันดับ (Ordinal Scale) ประกอบด้วย ฐานะของครอบครัว จำนวนสมาชิกและระดับการศึกษาสูงสุดในครอบครัว
3. การรับรู้ มีระดับการวัดแบบ Rating Scale แบบ 5 ระดับ ประกอบด้วย การก่อเหตุทะเลาะวิวาท ลักษณะของความรุนแรง พฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นและสิ่งกระตุ้นให้เกิดการก่อเหตุ
4. การขัดเกลาทางสังคม มีระดับการวัดแบบ Rating Scale แบบ 5 ระดับ ประกอบด้วย ระบบกล่อมเกลาทางสังคมในครอบครัวและระบบกล่อมเกลาทางสังคมนอกครอบครัว
5. ความคาดหวังในการดำเนินชีวิต มีระดับการวัดแบบ Rating Scale แบบ 5 ระดับ ประกอบด้วย เป้าหมายชีวิต ความคาดหวังในตัวเองและความคาดหวังแก่ครอบครัว
การวัดตัวแปรพึ่งพิงหรือตัวแปรตาม ได้แก่
พฤติกรรมการก่อเหตุทะเลาะวิวาท ที่ผู้วิจัยจะได้พัฒนาข้อคำถามจากข้อมูลเชิงคุณภาพประกอบด้วย ทัศนะคติที่เป็นลักษณะพฤติกรรมเชิงบวก ได้แก่ ความสมานฉันท์ ความปรองดอง การประนีประนอมและความไว้วางใจกัน และทัศนะคติที่เป็นลักษณะพฤติกรรมเชิงลบ ได้แก่ ความคิดฝังจำ การร้างแค้น การสร้างพื้นที่อำนาจของกลุ่ม ค่านิยมและปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของเครื่องมือในการวิจัยครั้งนี้ได้ทำใน 2 ลักษณะคือ
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือในการวิจัยเชิงคุณภาพ
1. การตรวจสอบความเที่ยงตรงและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเชิงคุณภาพ กระทำโดยการสัมภาษณ์กับผู้รู้และเด็กเยาวชนที่หลากหลายตามหลัก Triangulation การจดบันทึกภาคสนามและการสร้างข้อสรุปแบบอุปนัย รวมทั้งการตรวจสอบข้อมูลจากเอกสารและเรียนปรึกษาที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญในสาขาที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความถูกต้องเชิงเนื้อหา จนแน่ใจว่าข้อมูลที่ได้มีความเที่ยงตรงและเชื่อถือได้
2. การตรวจสอบคุณภาพแบบแนวทางการสัมภาษณ์ข้อมูลโดยวิธีสามเส้าเชิงวิธีการ (Methodology Triangulation) โดยทดลองใช้วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่หลากหลายวิธีการได้แก่ การสนทนากลุ่ม การสังเกตแบบมีส่วน การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกและการประชุมกลุ่ม
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือในการวิจัยเชิงปริมาณ
1. ความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือ (Content Validity) ผู้วิจัยได้ปรึกษาที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญมีความชำนาญเฉพาะด้านและมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษา
2. ความเที่ยงของเครื่องมือ (Reliability) ผู้วิจัยนำแบบสอบถามไปทดลองใช้ (Try Out) จำนวน 30 ตัวอย่าง ในชุมชนบ้านกุดเต่า หมู่ที่ 7 ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ใช้วิธีการของครอนบาค (Cronbach’s Method) โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) เพื่อหาค่าความเชื่อมั่น(a)ในความเที่ยงของเครื่องมือ แล้วนำมาตรวจสอบทำการปรับค่าให้ได้ช่วงค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง 0.7-0.9 จึงนำไปใช้ในการเก็บข้อมูลจริงในพื้นที่ศึกษา
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพจากชุมชนตัวอย่างที่ถูกเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยมีเงื่อนไขในการเลือก (Selection Criteria) ตัวอย่างโดยเลือกจากชุมชนบ้านกุดเต่า หมู่ที่ 7 ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู ผู้วิจัยได้ใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่หลากหลายวิธีเพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือ ดังนี้
การเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย
1. การสังเกต (Observation) ได้แบ่งการสังเกตออกเป็น 2 แบบ ได้แก่ การสังเกตแบบมีส่วนร่วมและการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วมในปรากฏการณ์การดำเนินชีวิตที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพระดับครอบครัว
2. การสนทนากลุ่มและการสัมภาษณ์เชิงลึก (Focus Group & In-depth Interview) ผู้วิจัยใช้การสนทนากลุ่มเด็กวัยรุ่นในระดับชุมชนและการสัมภาษณ์ระดับบุคคล
การเก็บข้อมูลเชิงปริมาณ ประกอบด้วย
ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณผู้วิจัยได้ใช้เทคนิคการเก็บข้อมูลโดยการสำรวจ (Survey) จากแบบสอบถาม (Questionnaires) ที่สร้างขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูล
1. ในการวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเนื้อหา (Content Analysis) จำแนกหมวดหมู่ของข้อมูลให้เป็นระบบโดยจัดลำดับความสำคัญให้เกิดความเข้าใจในความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูลในบริบทของชุมชน
2. ในการวิจัยเชิงปริมาณ ใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อตรวจสอบค่าความเป็นไปได้ของข้อมูลป้องกันการลงข้อมูลผิดพลาด ด้วยโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์โดยใช้วิธีการทางสถิติ Descriptive Explore Analysis
3. เพื่ออธิบายข้อมูลใช้การวิเคราะห์การแจกแจงข้อมูลตัวแปรเดียว (Univariate) โดยใช้วิธีการทางสถิติ Descriptive Frequency Percent (%) Mean ( ) and Standard Deviation (SD.)
4. เพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของข้อมูลสองตัวแปร (Bivariate) โดยใช้วิธีการทางสถิติ Pearson Coefficient Correlation (r) and c2-test
5. เพื่อวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น ด้วยสถิติ Multiple Regression Analysis (MRA)