เด็กเยาวชนก็เป็นสมาชิกกลุ่มหนึ่งที่สำคัญของสังคมที่จะส่งผลลัพธ์ต่อคุณภาพสังคมไทย ทั้งนี้ด้วยเหตุผลหลายประการได้แก่ 1) เด็กเป็นสัดส่วนของประชากรกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง2) ประชากรกลุ่มนี้เป็นคนรุ่นใหม่ ไม่มีโอกาสสัมผัสสังคมในยุคก่อนชีวิตในสังคมกระแสโลกาภิวัตน์รุนแรง ย่อมโน้มเอียงไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลงอย่างเต็มตัวและรวดเร็ว 3) คนกลุ่มนี้ย่อมมีบทบาทในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบสังคมในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 4) พฤติกรรมเสี่ยงอย่างมากมายของเด็กไทยปัจจุบันย่อมสะท้อนคุณภาพที่น่าเป็นห่วงต่อคุณภาพสังคมที่จะตามมาในอนาคต และ5 ) สภาพแวดล้อมทางสังคมไทยปัจจุบันไม่อยู่ในสภาพที่จะคุ้มครอง ปกป้องและพัฒนาเด็กไทยให้เป็นองค์ประกอบที่จะส่งผลลัพธ์ต่อคุณภาพสังคมได้ดีเท่าที่ควร (เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยทางสังคม, 2549) อาจจะสรุปได้ว่าการวิเคราะห์พฤติกรรมเสี่ยงของเด็กไทยจึงเป็นการคาดการณ์ให้เห็นถึงความมั่นคงของสังคมไทยสู่ความมั่นคงของมนุษย์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
นอกจากนี้การที่เด็กเยาวชนมีความรู้ ความสามารถและความประพฤติดีอยู่ในกรอบของศีลธรรมจรรยาบรรณที่ดี ย่อมเป็นเยาวชนที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกันเยาวชนเป็นวัยที่ค่อนข้างมีปัญหาทั้งร้างกายและจิตใจ เป็นวัยที่เริ่มเปลี่ยนจากความเป็นเด็กเข้าสู่วัยหนุ่มสาว ร่างกายเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วในระยะนี้เด็กวัยรุ่นส่วนมากจึงรู้สึกสับสนและถ้าการปรับตัวตามธรรมชาติไม่ดีพอ เด็กวัยรุ่นก็รู้สึกว่าตนมีปัญหาซึ่งอาจจะส่งผลไปถึงพฤติกรรมบางอย่างที่เบี่ยงเบนออกไป ปัญหาที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กวัยรุ่นนี้คือ ปัญหาด้านบุคลิกภาพที่อาจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย (คณะอนุกรรมการวิจัยและจัดสัมมนาคณะกรรมการดำเนินงาน ยูนิเซฟ, 2542) ชี้ให้เห็นว่าการที่มีพฤติกรรมก้าวร้าวและเบี่ยงเบนไปในกลุ่มวัยรุ่นนั้น ถือได้ว่าเป็นปกติโดยธรรมชาติของวัยรุ่นที่เกิดการปรับตัว ทั้งด้านร่างกายและทัศนะคติต่อสิ่งแวดล้อมใหม่
อย่างไรก็ตามวัยรุ่นยังเป็นวัยที่มีความคิดในเชิงวิเคราะห์ไม่มากนัก เนื่องจากยังขาดประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตและเป็นวัยที่มีจิตใจไหวเอนกับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย มีความคิดเชิงจินตนาการสูง ในขณะเดียวกันก็อาจหลงผิดจนเสียคนได้ง่าย ซึ่งทำให้เกิดปัญหาและภาระสังคม อาจจะเห็นได้เช่น ปัญหาอาชญากรรม ปัญหายาเสพติด ปัญหาการทำแท้ง ปัญหาการกระทำความผิดของเด็กวัยรุ่น ปัญหาโสเภณี ปัญหาการทะเลาะวิวาท เป็นต้น (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ) อาจกล่าวได้ว่าวัยรุ่นเป็นกำลังสำคัญของสังคมที่จะก้าวไปพัฒนาประเทศ ในขณะเดียวกันก็ได้ก่อปัญหาให้กับสังคมไปพร้อม ๆ กัน
ในราวปี 2500 สังคมและครอบครัวไทยเริ่มนำเอาความทันสมัยเข้าสู่ประเทศ เกิดภาวะที่เรียกว่า “วัตถุนิยม” คนไทยชื่นชมกับการมีทรัพย์สินและวัตถุสิ่งอำนวยความสะดวก (เอกวิทย์ ณ ถลาง, 2540) สังคมไทยที่เคยนับถือผู้ที่มีคุณธรรมความดีเป็นผู้นำได้เปลี่ยนเป็นการชื่นชมผู้ที่มีทรัพย์สินที่มั่งคั่งเป็นผู้นำทางสังคม เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและยกย่องวัตถุสิ่งของและทรัพย์สินแทน มีปรากฏให้เห็นแทรกอยู่ในกิจกรรมประเพณีไทย เช่น การลงแขกในการเก็บเกี่ยวก็หมดหายไป กลายเป็นการจ่ายเป็นจำนวนเงินค่าตอบแทน เป็นต้น (Klausner, 1987) ทำให้ทุนทางสังคมที่อยู่บนพื้นฐานการเกื้อกูลกันของครอบครัวและชุมชนลดลง การเปลี่ยนของสังคมทันสมัยดังกล่าวมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม
ในช่วงปี พ.ศ. 2530-2540 ท่ามกลางการพัฒนามิติทางเศรษฐกิจอย่างแข็งขันและจริงจัง ก่อให้เกิดความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจอย่างมากมาย โดยมีความเจริญมากเท่าไหร่ ความเสื่อมโทรมมิติสิ่งแวดล้อมและมิติทางสังคมยิ่งอ่อนแอลงและมีแนวโน้มว่าปัญหาทางสังคมจะเพิ่มมากขึ้นและทวีความรุนแรง ในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมและความเจริญเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่ขยายตัวไปนอกเมืองรวมถึงกระแสสังคมยุคโลกาภิวัตน์ (Globalization) ซึ่งเป็นยุคแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน ทำให้เกิดการไหลบ่าทางวัฒนธรรมอย่างรวดเร็วและแผ่กว้างไปในทุกพื้นที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในทุกส่วนของสังคมไทยทั้งในชนบทและเมือง วิถีชีวิต เศรษฐกิจและการเมือง (ฑิตยา สุวรรณะชฎ, 2546) ภายใต้รูปลักษณ์ของการกลายเป็นเมืองมากขึ้น ทำให้สังคมวัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนก้าวเข้าสู่วัฒนธรรมแห่งการบริโภคแบบทุนนิยม เด็กวัยรุ่นตกอยู่ในภาวะมีพฤติกรรมที่เบี่ยงเบนตามกระแสโลก สาเหตุหนึ่งเกิดจากครอบครัวไม่สามารถทำหน้าที่กล่อมเกลาทางสังคมได้ดีเท่าที่ควร เนื่องจากใช้เวลาไปกับการแข่งขันในสังคมทุนนิยม ทำให้เด็กวัยรุ่นอยู่ในสถานภาพเสี่ยงหรือวิกฤตที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ (จันทร์เพ็ญ ชูประภาวรรณ, 2541) ชี้ให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในระบบเศรษฐกิจและสังคมนั้น ส่วนหนึ่งได้เสริมสร้างความทันสมัย (Modernization) ในขณะเดียวกันก็ได้บั่นทอนวัฒนธรรมการกล่อมเกลาทางสังคมในระบบครอบครัว ที่มีต่อเด็กวัยรุ่นอันเป็นขุมพลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
จากการสำรวจของสถาบันที่เกี่ยวข้องกับเด็กวัยรุ่น พบว่า กลุ่มเยาวชน นักเรียน นักศึกษาในปัจจุบันมากกว่าร้อยละ70 มีปัญหาพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตได้แก่ การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การเที่ยวสถานบันเทิง เล่นการพนัน ใช้ยาเสพติด ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย มีเพศสัมพันธ์ ทะเลาะวิวาท และการคิดฆ่าตัวตาย ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้มีผลกระทบต่อสภาพทางจิตใจ การเรียน โดยผลการสำรวจยังพบว่าคนที่มีปัญหาจะมีคะแนนผลการเรียนตกต่ำมากกว่าคนที่ไม่มีปัญหา นอกจากนี้ยังพบอีกว่าพฤติกรรมปัญหาต่าง ๆ มีความเกี่ยวเนื่องและสัมพันธ์กันสูงขึ้นเรื่อย ๆ กล่าวคือในแต่ละคนที่มีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่งมักจะมีปัญหาอื่น ๆ ประกอบด้วย เช่น คนที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักจะมีการเที่ยวสถานบันเทิง มีเพศสัมพันธ์ มีการทะเลาะวิวาท การใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และเล่นการพนัน (ศรีศักดิ์ จามรมาน, 2548) ชี้ให้เห็นว่าปัญหาแต่ละปัญหาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวและรอรับการแก้ไขเพียงปลายเหตุเท่านั้น หากมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล
มากไปกว่านั้นสังคมไทยยังพบเห็นความรุนแรงในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในด้านการทารุณกรรมทางกาย จิตใจ และทางเพศที่กระทำต่อเด็ก เยาวชนและสตรี ปัญหาครอบครัวแตกร้าว ขาดความสงบสุขหรือหย่าร้าง ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเด็กวัยรุ่น ซึ่งปรากฏอยู่ในทุกประเทศที่พัฒนาไปสู่ภาคอุตสาหกรรม (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2539) อาจจะกล่าวได้ว่าการกลายเป็นเมืองอุตสาหกรรม (Industrialization City) ได้บั่นทอนกระบวนการกล่อมเกลาทางสังคม ทั้งทางตรงและทางอ้อม ปัญหาสำคัญที่ครอบครัวประสบ 3 อันดับแรก คือ ปัญหาการเงินปัญหาการไม่มีเวลาให้กันในครอบครัวและปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว (ศูนย์วิจัยกรุงเทพโพลล์ สถาบันวิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ , 2548 ) ทำให้เด็กวัยรุ่นเจริญเติบโตมาจากสภาพสังคมที่มีความสัมพันธ์ในครอบครัวน้อย ย่อมทำให้จิตใจหยาบกระด้าง ก้าวร้าว ชอบความรุนแรงหรือมีความไม่มั่นคงในด้านจิตใจ ส่งผลต่อการก่อเหตุทะเลาะวิวาทในที่สุด
นอกจากนี้วัยรุ่นบางคนต้องหนีออกจากบ้านไปเผชิญกับความรุนแรงภายนอกบ้าน ดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยการเข้าร่วมกลุ่มมิจฉาชีพ เริ่มประพฤติตนในการต่อต้านสังคม (วิชา มหาคุณ, 2542 ; ธวัชชัย ไทยเขียว และคณะ, 2549 ; ภูมิพงษ์ ขุนฉนมฉ่ำ, 2547) สะท้อนให้เห็นว่าสุ่มเสี่ยงที่ทำให้เกิดพฤติกรรมก่อเหตุทะเลาะวิวาทนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากผลพวงของการพัฒนาประเทศที่เด็กวัยรุ่นตกอยู่ภายใต้การครอบงำของอุตสาหกรรมวัฒนธรรม (Industrial Culture)และสื่อสารมวลชน(Mass Media) ที่หน่วยงานหรือองค์กรภาครัฐได้มุ่งพัฒนาระบบเศรษฐกิจ เปิดเสรีทางการค้า ให้อิสระสื่อ จนทำให้ละเลยการควบคุมขอบเขตในการบริโภคสื่อ เป็นเหตุให้นำไปสู่การเอาอย่าง (Idols) และการเลียนแบบ (Copying)โดยถือว่าการทะเลาะวิวาทเป็นเพียงกลไกประกอบวัฒนธรรมสมัยนิยมของวัยรุ่น (Popular Culture)
แต่อย่างไรก็ตามระยะต่อมาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 9 (2545-49) รัฐเองก็ได้พยายามให้ความสำคัญกับสถาบันที่เป็นพื้นฐานทางสังคมให้เข้ามามีบทบาท โดยเฉพาะสถาบันครอบครัวที่ถือได้ว่าเป็นเบ้าหลอมตัวแบบแรกของเด็กวัยรุ่น ในงานศึกษาของนักวิชาการหลายท่าน พอสรุปได้ว่า ปัจจัยด้านการหย่าร้างของบิดามารดา ครอบครัวมีรายได้น้อย สภาพสังคมที่แออัด และการทะเลาะวิวาทของบิดามารดา ได้กลายเป็นแรงหนุนเสริมให้วัยรุ่นมีจิตใต้สำนึกที่จะก่อเหตุทะเลาะวิวาท ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากครอบครัว (จุฑาทิพย์ จันทรวิศรุต, 2538 ; ธีรพล ยุกตเสวี, 2540 ; สุนันทา กาญจนพงษ์, 2540 ; โอฬาร เอี่ยมประภาส, 2541) อาจจะกล่าวได้ว่า พื้นฐานครอบครัวพึ่งปฏิบัติเป็นตัวแบบให้กับเด็กวัยรุ่น หากไร้ระเบียบ ไร้วัฒนธรรมที่ดีงาม ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เด็กวัยรุ่นมีพฤติกรรมก้าวร้าวชวนทะเลาะวิวาทเพราะขาดระบบการกล่อมเกลาทางสังคม สะท้อนให้เห็นถึงผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจ ส่วนหนึ่งทำให้เด็กวัยรุ่นเกิดพฤติกรรมที่ฝ่าฝืนระเบียบจากการปะทะประสานกับวัฒนธรรมใหม่ที่รุกล้ำวัฒนธรรมเดิม วิถีชีวิตของเด็กวัยรุ่นโดยธรรมชาติก็อยากจะเกิดการเรียนรู้และเลียนแบบดังที่กล่าวข้างต้น ดังจะเห็นได้อย่างเป็นรูปธรรมจากกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุทะเลาะวิวาทใช้ระเบิดขว้างเข้าใส่คู่อริหน้าเวทีหมอลำซิ่ง ในงานฉลองศาลาการเปรียญวัดศิริมงคล บ้านโนนนาใหม่ หมู่ที่ 13 ตำบลโนนสะอาด อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2552 ที่ผ่านมาเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 คนและมีผู้บาดเจ็บ 107 คน
จากปรากฏการณ์ดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่าปัญหาการก่อเหตุทะเลาะวิวาทของวัยรุ่นภายใต้บริบทของสังคมที่เปลี่ยนไป ที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ คณะอนุกรรมการเฝ้าระวังและเตือนภัยทางสังคมจังหวัดหนองบัวลำภู ได้ตะหนักและเล็งเห็นความสำคัญในประเด็นปัญหา “การทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น” ซึ่งมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งและมีแนวโน้มจะขยายเป็นวงกว้างและรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในงานเทศกาลงานบุญประเพณีรื่นเริงสาธารณะและได้ส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นอย่างมาก จึงได้จัดทำโครงการวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นจังหวัดหนองบัวลำภู” เพื่อต้องการค้นหาคำตอบว่าปัจจัยใดที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาท และปัจจัยใดที่ทำให้พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทเพิ่มความรุนแรงขึ้น
วัตถุประสงค์การวิจัย
1. เพื่อศึกษาตัวกำหนดที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น
2. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของปัจจัยที่ก่อให้เกิดความรุนแรงของการทะเลาะวิวาท
3. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก่อเหตุทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น
ขอบเขตการวิจัย
งานวิจัยเรื่อง “ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่นจังหวัดหนองบัวลำภู” ได้กำหนดขอบเขตพื้นที่การวิจัยออกเป็น 3 ลักษณะคือ
ขอบเขตเชิงเนื้อหา
ในการศึกษาครั้งนี้มีขอบเขตเชิงเนื้อหาประกอบด้วย ประเด็นปัจจัยที่กำหนดพฤติกรรมก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ครอบคลุม 3 ระดับคือคุณลักษณะส่วนบุคคล การขัดเกลาทางสังคมของสถาบันครอบครัวและการเรียนรู้ทางสังคม
ขอบเขตเชิงประชากร/กลุ่มเป้าหมาย
ประชากรกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการเก็บข้อมูลในการศึกษามี 2 กลุ่มดังนี้
1. มายหลักที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วย นักเรียน/นักศึกษาในโรงเรียนหรือวิทยาลัยที่เปิดทำการในจังหวัดหนองบัวลำภู เนื่องจากผู้ที่ไม่ได้อยู่ในสถานศึกษา ไปขายแรงงานต่างถิ่นไปต่างจังหวัดไม่มีผู้ให้ข้อมูล ซึ่งถือได้ว่ากลุ่มดังกล่าวมาจากหลากหลายพื้นที่สามารถเป็นตัวแทนของตัวอย่างที่ครอบคลุมทั้งจังหวัดได้ เพื่อที่จะศึกษาถึงการรับรู้ของวัยรุ่นและปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการก่อเหตุทะเลาะวิวาท
2. กลุ่มเป้าหมายร่วมที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป กลุ่มวัยรุ่น กลุ่มหรือชมรมต่าง ๆ ในชุมชน เพื่อที่จะศึกษาถึงปัจจัยกำหนดที่ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาทของเด็กวัยรุ่น
ขอบเขตเชิงพื้นที่
1. ในการศึกษาเชิงคุณภาพใช้พื้นที่ศึกษาที่ชุมชนบ้านกุดเต่า หมูที่ 7 ตำบลนามะเฟือง อำเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลำภู
2. ในการศึกษาเชิงปริมาณใช้สถานศึกษาเป็นพื้นที่เก็บข้อมูลได้แก่ วิทยาลัยเทคนิคหนองบัวลำภู วิทยาลัยพิชยบัณฑิตหนองบัวลำภูและโรงเรียนหนองบัวพิทยาคาร เพื่อที่จะให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายทุกอำเภอในจังหวัดหนองบัวลำภู
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. นำผลการวิจัยไปใช้เป็นข้อมูลในการวางระบบเฝ้าระวังและเตือนภัยทางสังคมในจังหวัดหนองบัวลำภูและจังหวัดอื่น ๆ ที่มีสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมที่คล้ายคลึงกัน
2. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบถึงบทบาทที่จะปฏิบัติต่อครอบครัวของเด็กวัยรุ่นในการให้ความรู้ อบรมสั่งสอน การอบรมระเบียบวินัย การปกครอง การให้รางวัลและการลงโทษ
3. เป็นรูปแบบในการนำไปศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสังคมในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทะเลาะวิวาทและกระทำผิดของเด็กวัยรุ่นต่อไป