วันที่โพสต์: Apr 16, 2014 5:48:17 AM
หลายท่านเข้าใจว่าการปฏิบัตินั้น "ต้องเห็นทุกข์ จึงจะเห็นธรรม" อย่างผิดความหมาย อย่างเป็นอวิชชา(ความไม่รู้ตามความเป็นจริง) คือเข้าใจไปว่า ต้องเป็นทุกข์ จึงเห็นธรรม คือต้องเกิดทุกข์ขึ้นเสียก่อน แล้วจึงจะเหมาะแก่การเริ่มปฏิบัติ จึงจะสามารถเห็นหรือเข้าใจในธรรมต่างๆได้ดี หลายๆท่านจึงทอดทิ้งการปฏิบัติโดยกล่าวอ้างว่าไม่มีทุกข์ ทั้งๆที่มีทุกข์ หรือกําลังก่อความทุกข์อยู่ในทุกๆขณะจิตโดยไม่รู้ตัว, แต่แท้ที่จริงนั้นคําว่า เห็นทุกข์ หรือเห็นทุกขอริยสัจนั้นหมายถึง ทุกข์ให้ " รู้ " ที่มีความหมายครอบคลุมว่า มีสติรู้เท่าทันความทุกข์ที่เกิดขึ้น๑. และรู้เข้าใจหรือเห็นในสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของทุกข์อย่างถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม(ธรรมชาติ)กล่าวคือ รู้ซึ้งถึงเหตุที่มาเป็นปัจจัยกันให้เกิดทุกข์ขึ้น๑. จึงมิได้มีความหมายถึงการที่ต้องประสบกับความทุกข์เสียก่อนแล้วจึงควรแก่การศึกษาปฏิบัติ ดังนั้นการประสบกับความทุกข์เป็นเพียงเครื่องกระตุ้นเร่งเร้าให้หาหนทางในการดับทุกข์นั้นๆ ส่วนการดับทุกข์ได้นั้นต้องเห็นทุกข์อย่างแจ่มแจ้งดังกล่าวข้างต้น, ดังนั้นก่อนอื่นจึงต้องกำหนดรู้ในทุกข์
เพื่อประโยชน์ในการใช้ไปในการดับทุกข์ ซึ่งเมื่อดับทุกข์แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือความสุข ที่สะอาด สงบ บริสุทธิ์ อันเป็นกิจอันพึงกระทำใน อริยสัจ ๔ (กิจจญาณ) ดังนั้นพึงทำความเข้าใจความหมายของคําว่า ทุกข์ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างถูกต้องเสียก่อน มิฉนั้นจะไม่เข้าใจในสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของทุกข์ และไม่รู้เป้าหมาย(ทุกข์)ที่จะกําจัดอย่างแท้จริง อันคือ "ทุกข์อะไร?" ที่จะดับสนิทไม่ให้เหลือได้สมดังพระพุทธประสงค์ และเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าทุกข์อะไรที่เป็นทุกข์ประจําขันธ์หรือชีวิต อันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ที่ยังคงต้องเกิด ต้องมี ต้องเป็น? และต้องปฏิบัติเยี่ยงไรจึงไม่เป็นทุกข์ เพราะถ้าไม่รู้ไม่เข้าใจ(อวิชชา)ถึงจุดมุ่งหมายในการ
ปฏิบัติอย่างถ่องแท้ถูกต้อง จักทําให้การปฏิบัตินั้นวนเวียนไม่ก้าวหน้าเพราะมัวแต่ปฏิบัติในสิ่งที่ยึด,ในสิ่งที่ตนเองเข้าใจผิด, หรือเป็นเพราะการยึดถือตามๆกันมาตามประเพณีที่สืบทอดต่อๆกันมาโดยไม่ถูกต้องหรือเข้าใจผิด อันทําให้ปฏิบัติไปตามความเชื่อ ความเข้าใจที่ผิด จึงเป็นไปในสภาพที่พยายามปฏิบัติให้เหนือกว่าสภาวธรรม(ธรรมชาติ)อันยิ่งใหญ่โดยไม่รู้ตัว อันอุปมาได้ดั่งการวิ่งไล่จับเงาที่ย่อมไม่มีวันประสบผลสําเร็จ ดังเช่น ความไม่เข้าใจว่าทุกขอริยสัจ อันเป็นทุกข์ประจำขันธ์หรือชีวิตของทุกคน และเวทนา(ความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่ผัสสะ จึงครอบคลุมถึงทุกขเวทนาที่ไม่ถูกใจ) อันเป็นทุกข์โดยธรรมคือธรรมชาตินั้นยังคงมีอยู่ เมื่อไม่รู้ จึงเกิดการพยายามปฏิบัติไปในลักษณะดับทุกขอริยสัจหรือทุกขเวทนา อันเป็นความเข้าใจผิดอย่างแรงกล้า เพราะทุกข์ที่จะต้องดับไปนั้น หมายถึงทุกข์อุปาทานคือความทุกข์ที่ประกอบด้วยตัณหาอุปาทานเท่านั้น ดังนั้นตามความเป็นจริงแห่งธรรมแล้วเราต้องดับทุกข์อุปาทาน