วันที่โพสต์: Sep 04, 2017 5:28:8 AM
มันสำคัญอยู่ที่เรื่องสอน ไม่ใช่สำคัญที่เรื่องสวด เรื่องสวดนี้ทำให้คนไม่รู้อะไร ไม่เข้าใจอะไรเลย เพราะว่าสวดภาษาที่เราฟังกันไม่รู้เรื่อง เช่นโยมไปฟังเพราะสวดมนต์นี่ ไม่รู้ว่าท่านสวดว่าอะไร หรือไปฟังเพราะสวดศพก็ไม่รู้ว่าท่านสวดเรื่องอะไร เราเพียงสักนั่งฟังไปตามประเพณี เป็นพิธีเท่านั้น นี่คือการสวด แต่ว่าการสอนนั้นคือการพูดชี้แจง แสดงเหตุผล ในเรื่องเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ให้คน
ที่มานั้นได้เกิดความรู้ความเข้าใจ ถ้ามีการสอนมากศาสนาก็แพร่หลาย แต่ถ้าสวดมากศาสนาคงเดิม คือ ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้า ไม่ได้ทำตนให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในสมัยนี้ถ้ายังสวดกันอยู่มาก ๆ จะไปไม่รอด แต่ถ้าเราสอนกันให้มากจะดีขึ้น อันนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่เหมือนกัน ญาติโยมจะทำอะไรก็ควรจะมุ่งไปในการสอน ในการเผยแผ่ธรรมะอย่ามุ่งเอาแต่เรื่องการสวดกันท่าเดียว เพราะว่ามันจะกลายเป็นพิธีรีตองไปหมด ไม่ใช่เนื้อแท้ของธรรมะ หรือ
ไม่ใช่เนื้อแท้ของพระศาสนา ที่เราทั้งหลายควรจะเข้าถึงกัน สมมุติว่าเราจะนิมนต์พระไปที่บ้าน เรานัดญาตินัดโยมมาประชุมกัน เช่นในครอบครัวเรา วันไหนเรานึกขึ้นได้ถึงพ่อแม่ ปู่ ตา ย่า ยาย อยากจะทำบุญอุทิศให้ท่านเสียหน่อย เราก็นัดญาติทุกคนมาประชุมพร้อมกัน เมื่อประชุมพร้อมกันแล้วเราก็นิมนต์พระ ไปแสดงธรรม ให้คนที่มาประชุมกันฟัง ปรารภเหตุถึงการสิ้นบุญของพ่อแม่ คนที่มาทุกคนก็จะได้
ลืมหูลืมตาเพราะได้ฟังธรรมะ ได้เกิดความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วก็จะได้เตือนให้สำนึกว่า เราทุกคนเป็นสมาชิกของตระกูลนี้ ของครอบครัวนี้ พ่อแม่ปู่ตาย่ายายท่านตายไปแล้ว ท่านได้ทำอะไร ๆ ไว้ให้พวกเราทั้งหลาย ได้กินอยู่อาศัย สะดวกสบายอยู่เราก็ควรจะสำนึกถึงคุณของคนเหล่านั้น แล้วควรจะสำนึกถึงความงามความดี ที่บรรพบุรุษของเราเคยกระทำมา ให้เดินตามทางที่บรรพบุรุษเคยเดิน ถ้าเรานิมนต์พระไปทำอย่างนั้น ทุกคนก็จะได้รับความสำนึกในหน้าที่ ในการงาน อันตนจะพึงปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนเป็นหน้าที่ของตน อันนี้มันก็ดีขึ้น แต่ถ้าเรานิมนต์พระไปสวดมนต์ บังสุกุล ฉันเสร็จแล้วท่านก็กลับวัด อาตมามอง ๆ ดูแล้ว ไม่ค่อยจะได้อะไรเท่าไหร่ แต่ได้ความอิ่มใจนิดหน่อย
ปัญญานันท ภิกขุ หอจดหมายเหตุ พุทธทาส