วันที่โพสต์: Apr 16, 2014 5:21:47 AM
อันล้วนปรากฎอยู่ในหลักธรรม "ปฏิจจสมุทปบาท" นี้ทั้งสิ้น, แม้ในขณะที่ทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระองค์ท่านก็ได้ตรัสสั่งสอนปฏิจจสมุปบาทอยู่เนืองๆ แต่เนื่องจากความยากและลึกซึ้ง จึงได้แยกออกเป็นส่วนๆ หรือกล่าวในแนวทางอื่นๆเช่นกล่าวแบบอนุโลมคือการเกิดขึ้นของทุกข์บ้าง แบบปฏิโลมการดับไปของทุกข์บ้าง, หรือการกล่าวจากท้ายวงจรของปฏิจจสมุปบาทย้อนไปต้นวงจรบ้าง(ปฏิโลมเทศนา), หรือองค์ธรรมย่อยๆแต่ละองค์ธรรมบ้าง ฯลฯ ก็เพื่อสั่งสอนสรรพสัตว์ตามความเหมาะสมและสถานะการณ์นั้นๆ หรือตามจริตหรือกิเลสอันมีมากมายและหลากหลายของผู้ที่ท่านสั่งสอนเท่านั้น นักปฏิบัติสามารถใช้แก่นธรรมนี้เป็นหลักปฏิบัติ(มรรค-ทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ โดยใช้ความเข้าใจในปฏิจจสมุปบาท)จนดับทุกข์ที่เกิดที่เป็นให้ดับลงไป หรือให้จางคลายจากทุกข์เพื่อให้อยู่ในโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขตามควรแห่งฐานะของตน หรือเพื่อนิโรธอันเป็นการสิ้นภพ สิ้นชาติ ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันชาติ อันเป็นการสิ้นทุกข์อุปาทานหรือความทุกข์ทั้งปวงตลอดกาล, เมื่อสิ้นทุกข์ทั้งปวง นั่นแหละคือสิ่งที่สุขที่สุด ที่เราปุถุชนแสวงหากันจากภายนอกโดยไม่เข้าใจ เพราะความจริงแล้ว สุขนั้นก็ไม่มี มีแต่ทุกข์และดับทุกข์เท่านั้น
(เวสาลีสูตร ๑๘/๑๒๓)
พึงพิจารณาให้เกิดปัญญา โดยการโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย จะพึงพบว่าทุกขเวทนานั้นแม้ยังมีอยู่เป็นธรรมดา แม้ในพระองค์ท่าน อันพึงเกิดขึ้นแก่จิตและกายเป็นธรรมดา แต่พระองค์ท่านไม่ทรงเจริญทุกขเวทนาเหล่าใดเหล่านั้นต่อไปจนเกิดเวทนูปาทานขันธ์ หรือทุกขเวทนาทางใจที่ประกอบด้วยอุปาทาน จึงมิได้มีความเร่าร้อนเผาลน ดังที่มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ได้เข้าใจผิด จึงได้มาทูลถามเย้าแหย่ นี่คือความแตกต่างกันอันยิ่งในระหว่างปุถุชนและพระอริยเจ้า จึงพึงทำปัญญาให้เห็นถูกต้อง เพื่อการนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องแนวทางตามพุทธประสงค์ จึงมิใช่การปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็นในเหล่าทุกขเวทนาที่บังเกิดขึ้นเมื่อมีทุกข์อันจรมาผัสสะ แต่เป็นการปฏิบัติอย่างไรแล้วเมื่อเกิดทุกขเวทนาเหล่านั้นอันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในที่สุด ดังเช่นทุกขเวทนาอันเกิดแต่ทุกขอริยสัจทั้งหลายมาเยือน แล้วไม่เป็นทุกข์ ที่หมายถึงไม่เกิดทุกขเวทนาทางใจที่ประกอบด้วยตัณหาหรืออุปาทานหรือเวทนูปาทานหรือโทมนัสอันเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย ดังที่พระองค์ท่านทรงแสดงแก่มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ จนต้องอับอายหนีหายไป