เมื่อวันอาทิตย์ที่ 21 ก.ย.2551 ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปร่วมกิจกรรมกับ มูลนิธิส่งเสริมและพัฒนาคนพิการ อีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับอาสาสมัครจากหน่วยงานต่างๆ เช่น ชมรมนักวิทยุสมัครเล่นเพื่อนพัฒนา, น้องอั๋น-น้องเอ๋ จาก HR Center และอาสาสมัคร (ที่ผมไม่รู้จัก) อีกหลายท่าน
โฉมหน้าอาสาสมัครที่มาร่วมเป็นคณะกรรมการสัมภาษณ์
ในวันนี้ เป็นการสอบสัมภาษณ์นักเรียน (คนพิการ) รุ่นใหม่ ที่จะเข้าเรียนในเทอมหน้า (เดือนตุลาคม) ซึ่งมาจากต่างที่กัน ทั้งในกรุงเทพฯ และมาจากต่างจังหวัด อายุต่ำสุด 19 ปี อายุสูงสุด 44 ปี
จากที่ได้สัมภาษณ์ พูดคุยกับผู้สมัคร ก็ได้ทราบข้อมูลเบื้องต้นของแต่ละคน บางคนพิการตั้งแต่เกิด บางคนพิการจากอุบัติเหตุ บางคนพิการจากการรักษา และมีอยู่คนหนึ่งพิการจากสนามรบ (เป็นทหารพราน) ฯลฯ
ภาพบรรยากาศขณะกำลังสัมภาษณ์ผู้สมัคร
บางคนเพิ่งจะพิการเมื่อไม่นานนี้ คือมาพิการเมื่อตอนโต ผมได้รับทราบถึง ช่วงเวลาที่เขาต้องต่อสู้ กับสภาพจิตใจของตนเอง ลองนึกดูซิว่า คนเรามราใช้ชีวิตแบบปกติมาแต่ไหนแต่ไร วันนึงลืมตาขึ้นมาก็พบว่า ตนกลายเป็นคนพิการไปซะแล้ว คงจะทำใจให้รับกับสภาพตนเองลำบาก
เมื่อประมาณ 2-3 ปีก่อน ผมเคยประสบอุบัติเหตุ ถูกกระจกแตกตกใส่หลังมือซ้าย บริเวณโคนนิ้วก้อย จนเส้นเอ็นขาดไปหนึ่งเส้น ไม่สามารถงอนิ้วก้อยได้ (แต่ยังเหยียดนิ้วได้) ผมขับรถด้วยมือข้างเดียวไปโรงพยาบาล หมอรีบจัดการพาเข้าห้องผ่าตัด ทำการต่อเส้นเอ็นทั้งสองเส้น (ทราบภายหลังว่า อีกเส้นหนึ่งก็ขาด เกือบจะหลุดเช่นกัน)
ผมต้องเข้าเฝือกอยู่นานประมาณ 3 เดือน ในท่า "ปางห้ามญาติ" โดย มือซ้ายไม่สามารถใช้งานได้ชั่วคราว ในช่วงวันแรกๆ ผมเครียดมาก วิตกกังวลเป็นที่สุด "ตูจะหายเป็นปกติมั๊ย? จะใช้ได้เหมือนเดิมมั๊ย?" จะเปิดขวดน้ำ ถ้าไม่หนีบรักแร้ ก็นั่งลงเอาฝ่าเท้าทั้งสองประกบไว้
ตอนนั้นเข้าใจเลยว่า คนพิการจะมีความรู้สึกยังงัย ผมต้องทำอะไรด้วยมือข้างเดียว ตลอดระยะเวลาประมาณ 3 เดือน
ตอนช่วงที่เริ่มถอดเฝือกใหม่ๆ นิ้วก้อยงอไม่ลง เวลากำมือซ้าย นิ้วก้อยจะเสนอหน้าออกมา เหมือนจะบอกว่า "เรามาดีกันนะ" หมอบังคับให้ต้องทำกายภาพบำบัดทุกวัน ให้เราพยายามกดนิ้วให้งอให้ได้ แรกๆ กดไม่ค่อยลง เจ็บ ผมก็เลยกดเบาๆ แต่เวลาที่หมอกด โอ้ว...แม่เจ้า ช่างไม่คิดเลยว่า ผมจะเจ็บขนาดไหน คิดดู กดจนผมดิ้น
หมอบอกว่า "คุณมีเวลาแค่ 2 อาทิตย์ ถ้าภายใน 2 อาทิตย์นี้ ยังงอไม่ได้ เอ็นมันจะยึด ตึง และจะงอไม่ได้อีก"
โอ้ว...โดนขู่ขนาดนี้ ก็เลยต้องยอมเจ็บ พยายามดัดทุกวัน ทุกเวลา จนในที่สุด ก็กลับสู่สภาพปกติ ทิ้งไว้เพียงรอยแผลเป็น รูปเดียวกับ แฮรี่ พล๊อตเตอร์ เพียงแต่มันไม่ได้อยู่ที่หน้าผาก แต่มันอยู่ที่โคนนิ้วก้อยข้างซ้าย กลายเป็นสัญลักษณ์ส่วนตัวไปซะงั้น
อ้าว....กลายเป็นว่า มาเล่าเรื่องตัวเองซะยืดยาว จริงๆ ก็แค่จะบอกว่า สำหรับ คนปกติ แล้วต้องมากลายเป็นคนพิการ สภาพจิตใจตอนแรกๆ นั้น เป็นอะไรที่สาหัสมากๆ ผมเคยผ่านช่วงนั้นมาแล้ว (แม้จะเป็นการวิตกกังวลไปเองก็ตาม) แต่สุดท้าย น้องๆ คนพิการเหล่านี้ เขาก็สามารถฝ่าช่วงเวลาเลวร้ายนั้นมาได้ และพยายามจะยืนสู้ใหม่อีกครั้ง
กรรมการกำลังแสดงความคิดเห็นภายหลังการสัมภาษณ์
การมาร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีส่วนเข้าไปมีส่วน ช่วยให้พวกเขาได้ลุกขึ้นยืนได้ โดยการเข้าไปเป็นอาสาสมัครให้ความรู้ ถ่ายถอดความรู้ด้านการใช้คอมพิวเตอร์ ฝึกฝนทักษะให้กับพวกเขา เพื่อจะได้นำความรู้เหล่านั้น ไปใช้ประกอบอาชีพในอนาคต
"ขอวิงวอนสังคมนี้ ให้โอกาสกับคนพิการด้วยครับ"