สมัยน่านเจ้า
สันนิษฐานกันว่าการแสดงละครเรื่องแรกของไทย คือ เรื่อง นามาโนห์รา
เป็นการแสดงของชาวไต ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อย อำศัยอยู่ ทางตอนใต้ของประเทศจีน
สมัยสุโขทัย
สมัยนี้ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับการละครนักเป็นสมัยที่เริ่มมีความสัมพันธ์กับชาติที่นิยมอารยะธรรมของอินเดียเช่น พม่า มอญ ขอม และละว้าไทยได้รู้จักเลือกเฟ้นศิลปวัฒนธรรมที่ดีของชาติที่สมาคมด้วย แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่าชาติไทยแต่โบราณจะไม่รู้จักการละครฟ้อนรำมาก่อนเรามีการแสดง ประเภทระบำรำเต้นมาแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้วเมื่อไทยได้รับวัฒนธรรมด้านการละครของอินเดีย เข้าศิลปะแห่งการละเล่นพื้นเมืองของไทย คือ รำ และระบำก็ได้วิวัฒนาการขึ้น
พบการละเล่นในเทศกาลกฐิน
การประโคมดนตรี
การบรรเลงและขับร้อง
ขบวนรำแห่กฐิน
และมีปรากฏในหนังสือไตรภูมิพระร่วงฉบับพระมหาราชาลิไทว่า “บ้างเต้น บ้างรำ บ้างฟ้อน ระบำบันลือ” แสดงให้เห็นรูปแบบของนาฏศิลป์ที่ปรากฏในสมัยนี้ คือ เต้น รำ ฟ้อน และระบำ
จึงบัญญัติคำเรียก ศิลปะแห่งการแสดงดังกล่าวแล้วขั้นต้นว่า "ระบำ รำ เต้น" ส่วนเรื่องละครแก้บนกับละครยกอาจมีสืบเนื่องมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยนั้นแล้วเช่นกัน
ระบำ - การแสดงที่ต้องใช้คนจำนวนมากกว่า 2 คนขึ้นไป จุดมุ่งหมายเพื่อแสดงความงดงามของศิลปะการรำ ให้เกิดความสวยงาม
รำ - การร่ายรำที่มีผู้แสดง ตั้งแต่ 1-2 คน เช่น การรำเดี่ยว การรำคู่มีบทขับร้องประกอบการรำเข้ากับทำนองเพลงดนตรี มีกระบวนท่ารำ เน้นลีลาที่สวยงาม
เต้น - การแสดงที่ออกท่าทางลักษณะ เป็นท่าเต้นเข้ากับจังหวะดนตรี สันนิษฐานว่าเป็นต้นกำเนิดของการแสดงโขน
การแสดงละครในสมัยสุโขทัย
แสดงเรื่องมโนราห์ (วรรณกรรมพื้นบ้านภาคใต้)
จุดประสงค์เพื่อความสนุกสนานและการแก้บน
การละเล่นพื้นบ้าน
เพลงเทพทอง - เป็นการร้องเล่นในฤดูเกี่ยวข้าว ลักษณะการเล่น ใช้การปรบมือ และออกเสียง ฮ้าไฮ้ ประกอบจังหวะ ต่อมามีวิวัฒนาการนำวงดนตรีปี่พาทย์เข้ามาร่วมด้วย
สมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยกรุงศรีอยุธยาละครไทยเริ่มจัดระเบียบแบบแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้น มีการตั้งชื่อละครที่เคยเล่นกันอยู่ให้เป็นไปตามหลักวิชานาฏศิลป์ขึ้น มีวรรคดีหลายเรื่องเช่น อุณรุท อิเหนา รามเกียรติ์ มีการแสดงเกิดขึ้นในสมัยนี้หลายอย่าง เช่น ละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน การแสดงบางอย่างก็รับวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน และวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาผสมได้ ละครไทยเริ่มจัดระเบียบแบบแผนให้รัดกุมยิ่งขึ้น มีการตั้งชื่อละครที่เคยเล่นกันอยู่ให้เป็นไปตามหลักวิชานาฏศิลป์ขึ้น มีการแสดงเกิดขึ้นในสมัยนี้หลายอย่าง เช่น ละครชาตรี ละครนอก ละครใน โขน การแสดงบางอย่างก็รับวัฒนธรรมเพื่อนบ้าน และวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาผสมได้
ละครชาตรี - พัฒนามาจากละครเร่ ทางภาคใต้
ละครนอก - พัฒนามาจากละครชาตรี ใช้ผู้ชายแสดง เล่นนอกเขตพระราชฐาน
ละครใน - พัฒนามาจากละครนอก ใช้ผู้หญิงแสดง เล่นในเขตพระราชฐาน
หลักฐานด้านวรรณคดี
1.รามเกียรติ์คำพากย์
2.รามเกียรติ์คำฉันท์
3.รามเกียรติ์บทละครครั้งกรุงเก่า
ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนการฟ้อนรำ ได้แก่ สตรีฝ่ายในพระบรมมหาราชวัง ฝ่ายมหาดเล็กรับใช้ในพระองค์จะต้องฝึกหัดวิชาการต่อสู้ป้องกันตัว กระบี่กระบองอาวุธสั้น อาวุธยาว วิชาดนตรี นาฏศิลป์ และเป็นผู้รับผิดชอบด้านการมหรสพหลวงในงานพระราชพิธีต่าง ๆ
หลังเสียกรุงครั้งที่ 1 กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้แก่พระเจ้าหงสา ราชสำนักและประชาชนในกรุงศรีอยุธยาถูกกวาดต้อนนำไปพม่าทั้งนาฏศิลป์ การละเล่น และสรรพกีฬาก็หมดไปจากราชธานี นาฏศิลป์ ในช่วงหลังเสียกรุงนาฏศิลป์ยังคงสภาพเดิม และพบหลักฐานปรากฏการแสดงนาฏศิลป์ที่เกิดขึ้นในอยุธยาตอนปลาย คือ พบหลักฐานว่ามี “โขน” เกิดขึ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมัยกรุงธนบุรี
สมัยนี้เป็นช่วงต่อเนื่องหลังจากที่กรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อปี พ.ศ. 2310 เหล่าศิลปินได้กระจัดกระจายไปในที่ต่างๆ เพราะผลจากสงคราม บางส่วนก็เสียชีวิต บางส่วนก็ถูกกวาดต้อนไปอยู่พม่า ครั้นพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ปราบดาภิเษกในปีชวด พ.ศ. 2311 แล้ว ทรงส่งเสริมฟื้นฟูการละครขึ้นใหม่ และรวบรวมศิลปินตลอดทั้งบทละครเก่าๆที่กระจัดกระจายไปให้เข้ามาอยู่รวมกัน ตลอดทั้งพระองค์ได้ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ขึ้นอีก 5 ตอน คือ
ตอนหนุมานเกี้ยวนางวานริน
ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ
ตอนทศกัณฐ์ตั้งพิธีทรายกลด (เผารูปเทวดา)
ตอนพระลักษณ์ถูกหอกกบิลพัท
ตอนปล่อยม้าอุปการ
มีคณะละครหลวง และเอกชนเกิดขึ้นหลายโรง เช่น ละครหลวงวิชิตณรงค์ ละครไทยหมื่นเสนาะภูบาล หมื่นโวหารภิรมย์ นอกจากละครไทยแล้วยังมีละครเขมรของหลวงพิพิธวาทีอีกด้วย
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์การละครต่างๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์สืบเนื่องต่อกันมาเป็นลำดับตั้งแต่ การละครต่างๆ ล้วนได้รับการสนับสนุนจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์สืบเนื่องต่อกันมาเป็นลำดับ
สมัยรัชกาลที่ 1
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้ทรงฟื้นฟูรวบรวมสิ่งต่างๆที่สูญเสีย และกระจัดกระจายให้สมบูรณ์ ในรัชสมัยนี้ได้มีการรวบรวมตำราฟ้อนรำขึ้นไว้เป็นหลักฐานสำคัญที่สุดในประวัติการละครไทย มีบทละครที่ปรากฎตามหลักฐานอยู่ 4 เรื่อง คือ บทละครเรื่องอุณรุท บทละครเรื่องรามเกียรติ์ บทละครเรื่องดาหลังและบทละครเรื่องอิเหนา
โปรดให้สร้างตำรารำไทยไว้เป็นหลักฐานในการรักษาสืบสาน การรำแม่บท มิให้สูญหาย กล่าวได้ว่า เป็นตำรารำไทยที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุด
โปรดให้มีละครผู้หญิงของหลวง ในราชสำนักโดยต้องห้ามมิให้มีละครผู้หญิงเทียบของพระมหากษัตริย์ ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ เลี่ยงไปแสดงงิ้ว ทำให้งิ้วมีอิทธิพลในวงการนาฏศิลป์ไทยอย่างชัดเจน นำไปสู่ละครพันทางในเวลาถัดมา
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงโขนขึ้นในพระบรมมหาราชวัง มีกลไกชักรอกนับว่าเป็นเทคโนโลยีในสมัยนั้น
สมัยรัชกาลที่ 2
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เป็นสมัยที่วรรณคดีเจริญรุ่งเรือง เป็นยุคทองแห่งศิลปะการละคร มีนักปราชญ์ราชกวีที่ปรึกษา 3 ท่าน คือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ กรมหลวงพิทักษ์มนตรี และสุนทรภู่ มีบทละครในที่เกิดขึ้น ได้แก่ เรื่องอิเหนา ซึ่งวรรณคดีสโมสรยกย่องว่าเป็นยอดของบทละครรำและเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนบทละครนอก ได้แก่ เรื่องไกรทอง คาวี ไชยเชษฐ์ สังข์ทอง และมณีพิชัยในสมัยรัชกาลที่ 2 นับว่าเป็นยุคทองแห่งนาฏศิลป์ การละคร และวรรณคดี ทั้งนี้องค์การสหประชาชาติได้เทิดพระเกียรติ์และประกาศยกย่อง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศหล้านภาลัยว่า ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อ พ.ศ. 2510
นอกจากนี้ยังทรงสร้างสรรค์ละครนอกแบบหลวงขึ้น โดยผสมผสานละครในกับละครนอก และยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครนอกแบบหลวงขึ้น คือการแสดงละครนอกโดยใช้ผู้หญิงเป็นผู้แสดง
กล่าวโดยสรุปคือนาฏศิลป์และการละครไทย ในสมัยนี้มีการฝึกหัดทั้งละครใน ละครนอก โขน ฉะนั้นลีลาท่ารำจึงฝึกปฏิบัติครบถ้วนทั้งพระ นาง ยักษ์ ลิง ซึ่งมีลีลาสืบเนื่องมาจากสมัยรัชกาลที่ 1 และมางดงามเฟื่องฟูในสมัยรัชกาลที่ 2
สมัยรัชกาลที่ 3
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นยุคที่ละครหลวงซบเซาเนื่องจากพระองค์ไม่สนับสนุน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกละครหลวงเสีย แต่มิได้ขัดขวางผู้จะจัดแสดงละคร
ถึงแม้ว่าในพระบรมมหาราชวังจะขาดการละครผู้หญิงของหลวง แต่ก็ยังคงมีแสดงอยู่บ้างภายนอกพระบรมมหาราชวัง ส่งผลให้คณะละครหลวงจากในวังออกมาเผยแพร่การแสดงละครหลวงสู่ประชน ทำให้เกิดเป็นคณะละครเอกชนต่างๆมากมาย
จึงนับว่าเป็นโอกาสที่ดีที่นาฏศิลป์ในราชสำนักกระจายสู่นอกราชสำนักไปสู่ชาวบ้าน รูปแบบนาฏศิลป์ที่เคยหวงห้ามไว้เฉพาะราชสำนักได้ถูกนำไปเผยแพร่แก่ประชาชน ซึ่งถือว่าในยุคสมัยนี้เป็นการเผยแพร่ที่สำคัญต่อวงการนาฏศิลป์เป็นอย่างยิ่ง
รูปแบบการแสดงที่ปรากฎ
ละครหลวง (ยังคงมีแสดงในเขตพระราชวังบวรฯ หรือ วังหน้า)
การแสดงโขน
การแสดงหุ่น
การแสดงงิ้ว
การแสดงพื้นบ้าน เช่น โนรา แอ่วลาว
สมัยรัชกาลที่ 4
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนี้ได้เริ่มมีการติดต่อกับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวยุโรปบ้างแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูละครหลวงขึ้นอีกครั้งหนึ่ง พร้อมทั้งออกประกาศสำคัญเป็นผลให้การละครไทยขยายตัวอย่างกว้างขวาง ดังมีความโดยย่อ คือ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้คนทั่วไปมีละครชาย และหญิงเพื่อบ้านเมืองจะได้ครึกครื้นขึ้นเป็นเกียรติยศแก่แผ่นดินแม้จะมีละครหลวง แต่คนที่เคยเล่นละครก็ขอให้เล่นต่อไป
ห้ามบังคับผู้คนมาฝึกละคร ถ้าจะมาขอให้มาด้วยความสมัครใจสำหรับละครที่มิใช่ของหลวง มีข้อยกเว้นคือ
- ห้ามใช้รัดเกล้ายอด เครื่องแต่งตัวลงยา และพานทองหีบทองเป็นเครื่องยก
- บททำขวัญห้ามใช้แตรสังข์
- หัวช้างห้ามทำสีเผือก ยกเว้นหัวช้างเอราวัณ
พ.ศ. 2402 มีประกาศกฎหมายภาษีมหรสพ โปรดให้ตั้งภาษีมหรสพเป็นครั้งแรก เรียกว่า “ภาษีโขนละคร” โดยมีการเก็บภาษีเจ้าของคณะละครต่างๆที่เกิดขึ้น เนื่องจากได้รับความนิยมมาก จึงทำให้มีการทำนุบำรุงในด้านศิลปวัฒนธรรม ส่งผลทำให้การแสดงนาฏศิลป์มีความเฟื่องฟู ในด้านธุรกิจความบันเทิง มีการแข่งขันสูง มีการปรับปรุงการแสดงให้แปลกใหม่ในสมัยนี้
สมัยรัชกาลที่ 5
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การละครในยุคนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากการละครแบบตะวันตกหลั่งไหลเข้าสู่วงการนาฏศิลป์ทำให้เกิดละครประเภทต่าง ๆ ขึ้นมากมาย เช่น ละครพันทาง ละครดึกดำบรรพ์ ละครร้อง ละครพูด และลิเกทรงส่งเสริมการละครโดยเลิกกฎหมายการเก็บอากรมหรสพเมื่อ พ.ศ. 2450 ทำให้กิจการละครเฟื่องฟูขึ้นกลายเป็นอาชีพได้ เจ้าของโรงละครทางฝ่ายเอกชนมีหลายราย นับตั้งแต่เจ้านายมาถึงคนธรรมดา
สมัยรัชกาลที่ 6
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้ได้ชื่อว่าเป็นสมัยที่การละคร และการดนตรีทั้งหลายได้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด นับได้ว่าเป็นยุคทองแห่งศิลปะการละครยุคที่ 2 พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อบำรุงวิชาการนาฏศิลป์และการดนตรีและยังทรงเป็นบรมครูของเหล่าศิลปินทรงพระราชนิพนธ์บทโขน ละคร ฟ้อนรำไว้เป็นจำนวนมาก
ละครหลวง ทรงสถาปนาละครผู้หญิงของหลวงขึ้น เพื่อใช้ในการแสดงในพระราชพิธีสำคัญ
ทรงก่อตั้งกรมมหรสพขึ้น เพื่อทำนุบำรุงศิลปะการแสดงนาฏศิลป์และการละคร รวมไปถึงการดนตรี
มีการจัดตั้ง โรงเรียนพรานหลวง เพื่อให้การศึกษาด้านดนตรี นาฏศิลป์
ทรงกำกับโขนละครอย่างใกล้ชิด ทรงแสดงและพากย์โขนและทรงพระราชนิพนธ์บทละครนับร้อยเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น
บทโขน เรื่อง รามเกียรติ์
บทละครร้อง สาวิตรี ท้าวแสนปม
บทละครรำ ศกุนตลา
ละครพูด หัวใจนักรบ มัทนะพาธา วิวาหพระสมุทร โพงพาง เห็นแก่ลูก ตามใจท่าน เวนิสวาณิช โรเมโอและจูเลียต และ พระร่วง
ในเรื่องพระร่วงนั้น พระองค์ได้พระราชนิพนธ์ และยังรับบทเป็นหนึ่งตัวละครในเรื่อง ได้แก่ นายมั่นปืนยาว
สมัยรัชกาลที่ 7
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การเมืองเกิดภาวะคับขัน และเศรษฐกิจของประเทศทรุดโทรม เสนาบดีสภาได้ตกลงประชุมกันเลิกกรมมหรสพ เพื่อให้มีส่วนช่วยกู้การเศรษฐกิจของประเทศ และต่อมาจึงกลับฐานะมาเป็นกองขึ้นอีก จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2478 กองมหรสพจึงอยู่ในสังกัดกรมศิลปากร ข้าราชการศิลปินจึงย้ายสังกัดมาอยู่ในกรมศิลปากร ในสมัยนี้มีละครแนวใหม่เกิดขึ้นคือ ละครเพลง หรือที่เป็นที่รู้จักกันว่า "ละครจันทโรภาส" ตลอดทั้งมี ละครหลวงวิจิตรวาทการ เกิดขึ้น
ละครจันทโรภาส มีลักษณะ ปรับปรุงจากเพลงไทยเดิมที่มีทำนองเอื้อน มาเป็นเพลงไทยสากลที่ไม่มีทำนองเอื้อน
สมัยรัชกาลที่ 8
สมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล การแสดงนากศิลป์ โขน ละคร อยู่ในการกำกับดูแลของกรมศิลปากรในสมัยนี้ หลวงวิจิตรวาทการ เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งสถาบันการเรียนการสอนศิลปะการแสดง โขน ละคร ดนตรี ปี่พาทย์ มีการแสดงละครปลุกใจให้รักชาติ เช่นเรื่องอานุภาพพ่อขุนรามคำแหง เจ้าหญิงแสนหวี พระเจ้ากรุงธน อานุภาพแห่งความรัก อานุภาพแห่งความเสียสละ เลือดสุพรรณ เป็นต้น และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ประชาชนนิยมเล่นรำโทนกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งกรมศิลปากรได้นำมาปรับปรุงเป็นรำวงมาตรฐาน
หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากร
หลวงวิจิตรวาทการได้ก่อตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้น เพื่อให้การศึกษาทั้งด้านศิลปะและสามัญ และเพื่อยกระดับศิลปินให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ และภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยนาฏศิลป
ละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครที่มีแนวคิดปลุกใจให้รักชาติ บางเรื่องเป็นละครพูด เช่น เรื่อง ราชมนู เรื่อง ศึกถลาง เรื่องพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นต้น
มีลักษณะ
เป็นสื่อปลุกใจให้ประชาชนเกิดความรักชาติ
เนื้อหาจะนำมาจากประวัติศาสตร์ตอนใดตอนหนึ่ง
ลักษณะคล้ายละครพันทาง คือจะแต่งกายตามเนื้อเรื่อง
และให้ถูกต้องตามประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ
ละครหลวงวิจิตรวาทการ เรื่อง เลือดสุพรรณ
เกิดการแสดงรำวงมาตรฐานขึ้นจำนวน 10 เพลง ใน พ.ศ.2487 โดยคณะรัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มอบหมายให้กรมศิลปากรปรับปรุงการแสดงรำโทนขึ้นใหม่ จนกลายเป็นรำวงมาตรฐานที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน
สมัยรัชกาลที่ 9
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โปรดเกล้าฯให้บันทึกภาพยนตร์ส่วนพระองค์ บันทึกท่ารำหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง ยักษ์ ลิง ได้โปรดเกล้าให้จัดพิธีไหว้ครู มอบท่ารำองค์พระพิราพและปรานผู้ประกอบพิธีไหว้ครูให้แก่ศิลปินกรมศิลปากรในมัยนี้ การละครเฟื่องฟูมาก มีการจัดแสดงละครกันอย่างแพร่หลาย ทั้งละครเวที ละครที่แพร่ภาพผ่านสื่อต่างๆ มีผู้ยึดอาชีพการแสดงละครเป็นจำนวนมาก นอกจากละครไทยแล้ว ยังมีการแสดงละครตามแนวละครของชาติอื่นๆด้วย ทั้งนี้ทางรัฐบาลได้ส่งเสริมและเชิดชูเกียรติบุคคลที่อยู่ในแวดวงศิลปะการแสดง โดยกำหนดให้วันที่ 24 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เป็นวันศิลปินแห่งชาติ
ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงที่ใช้ประกอบการแสดงบัลเลต์ เรื่อง มโนราห์ โดยเรียบเรียงเสียงประสาน และพระราชทานชื่อเพลงว่า เพลง“กินรีสวีท”
มีการจัดแสดงโขนพระราชทาน ที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพ ตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการอนุรักษ์และสืบสานการแสดงโขนไม่ให้สูญหายไปตามกาลเวลา
สมัยรัชกาลที่ 10
ในปัจจุบันมีการนำนาฏศิลป์ต่างชาติมาปรับใช้ในการประดิษฐ์ท่ารำ
รูปแบบการแสดงต่างๆ มีการนำเทคนิคแสง สี เสียงเข้ามาเป็นองค์ประกอบ ปรับปรุงท่ารำให้เหมาะสมกับฉาก บนเวทีมีการจัดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัยทั้งระบบไฟ ม่าน ฉาก ที่สามารถควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์
มีการเผยแพร่ศิลปกรรมทุกสาขานาฏศิลป์และสร้างนักวิชาการนักวิจัยในระดับสูง โดยมีการเปิดสอนนาฏศิลป์ไทยในระดับอุดมศึกษา และวิชานาฏศิลป์ไทยถูกบรรจุอยู่ในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานตั้งแต่ระดับประถมจนถึงระดับมัธยมปลาย
ที่มา : http://www.digitalschool.club/digitalschool/art/music_dance4_2/lesson4/content1/index.php