วัฒนธรรมของกัมพูชา
เป็นเอกลักษณ์ของชาติที่มีพื้นฐานมาจากศาสนา ทั้งศาสนาพุทธและศาสนาฮินดู กัมพูชาได้รับอิทธิพลจากอินเดีย ทั้งทางด้านภาษา และศิลปะ ผ่านทางแผ่นดินใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งจากการค้าทางทะเล ทางไกลกับอินเดีย และจีน จนเกิดอาณา จักรฟูนัน ขึ้นเป็นครั้งแรก
ยุคทองของกัมพูชา อยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 14 – 19 ในยุคพระนคร ซึ่งมีอำนาจครอบคลุมพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องทำสงครามกับเพื่อนบ้านที่แข็งแกร่ง คือสยามกับไดเวียด สิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่สำคัญในสมัยนี้ คือ นครวัด และนคธรธม และยังมีปราสาทหินที่พบได้ทั่วไป ในเขตแดนของกัมพูชา ไทย ลาว และเวียดนามในปัจจุบัน อิทธิพลทางศิลปะของกัมพูชาทั้งสถาปัตยกรรม ดนตรี และนาฏศิลป์ ซึ่งได้ส่งผลต่อศิลปะของประเทศเพื่อนบ้านทั้งไทยและลาว
ชนบทสมัยใหม่ในกัมพูชา ชาวบ้านมักอาศัยในบ้านทรงสี่เหลี่ยมที่มีขนาดผันแปรไปตามจำนวนสมาชิก ในครัวเรือน สร้างด้วยไม้หรือไม้ไผ่ นิยมยกพื้นสูงเพื่อให้พ้นจากน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทุกปี มีบันไดไม้สำหรับขึ้นบ้าน โดยทั่วไปจะแบ่งเป็นสามห้องที่กั้นด้วยฟากไม้ไผ่ การสร้างบ้านจะอาศัยความ ร่วมมือกันระหว่างครอบครัวนั้นและเพื่อนบ้าน ครัวจะแยกออกจากบ้านอยู่ใกล้ ๆ หรืออยู่ข้างหลัง ห้องน้ำจะอยู่แยกต่างหากจากบ้าน ส่วนบ้านของชาวจีนและชาวเวียดนามจะสร้างบนพื้น ในเขตเมืองมักเป็นอาคารพาณิชย์
การแสดงในประเทศกัมพูชา ได้แก่
ระบำอัปสรา (Apsara Dance)
เป็นการแสดงนาฏศิลป์ที่โดดเด่นของกัมพูชา ซึ่งถอดแบบการแต่งกายและท่ารำมาจาก ภาพจำหลักรูปนางอัปสรที่ปราสาทนครวัด เป็นระบำขวัญใจชาวกัมพูชาถ้าใครได้ เป็นตัวเอก ในระบำอัปสรานั้น เชื่อได้ว่า เป็นตัวนางชั้นยอดแห่งยุคสมัยนครวัด เป็นอุดมคติแห่งชาติของกัมพูชา นางอัปสราในนครวัดก็เป็นอุดมคติแห่งสตรีเขมร ดังนั้นการชุบชีวิตนางอัปสราออกมาเป็น ระบำระดับชาตินั้น มีความหมายในเชิงชาติพันธุ์นิยม เพื่อให้เข้าถึงสัญลักษณ์สูงสุดแห่งสตรีแขมร์ ระบำอัปสรามีชื่อเสียงขึ้นมาด้วยการอิงบนความยิ่งใหญ่ของนครวัด และระบำอัปสราก็จำลอง ภาพสลักที่แน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหวในนครวัด ให้หลุดออกมามีชีวิต ดอกไม้เหนือเศียรนางอัปสรา ส่วนใหญ่ในปราสาทนครวัดคือ ดอกฉัตรพระอินทร์ เนื่องจากรูปทรงของดอกชนิดนี้ พ้องกันกับภาพสลักเขมรเรียกดอกไม้ชนิดนี้ ว่า “ดอกเสนียดสก” เสนียด คือสิ่งที่เอามาเสียด และ สก คือผม ชื่อของดอกไม้บ่งบอกว่าเป็นดอกสำหรับเสียดผม เข้าใจว่าสมัยโบราณสตรีชั้นสูง ของเขมรคงประดับ ศีรษะด้วยดอกไม้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือดอกฉัตรพระอินทร์ ดังหลักฐานภาพสลักนางอัปสรา ที่พบ ในปราสาทหินขอม ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจของช่างสลักจากที่ได้เห็นของจริง
การแสดงราชสำนัก ละโคนโขล
เป็นนาฏกรรมสวมหน้ากากอย่างหนึ่งในประเทศกัมพูชา มีลักษณะใกล้เคียงกับการแสดงโขนของประเทศไทย ปัจจุบันมีละโคนโขลในกัมพูชาสองรูปแบบได้แก่ ละโคนโขลวัดสวายอัณแดต และละโคนโขลคณะระบำหลวงกัมพูชา แต่เดิมจะใช้ผู้หญิงในการแสดง ต่างจากโขนของไทยที่จะใช้ผู้ชายแสดง
ยูเนสโกได้พิจารณาขึ้นทะเบียน ละโคนโขลคณะวัดสวายอัณแดต (ល្ខោនខោល វត្តស្វាយអណ្ដែត) เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการคุ้มครองอย่างเร่งด่วน
การแสดงพื้นบ้าน
มักเป็นระบำที่แสดงวิถีชีวิตชาวบ้าน การทำมาหากิน หรือการเลี้ยงฉลองพิธีกรรมของชนกลุ่มน้อย เช่น ระบำจับปลา ระบำเก็บกระวาน ระบำสวิง ระบำนกยูง ระบำกะลา ระบำของชาวกลุ่มน้อยต่างๆ ทั้งชาวจาม ชาวส่วย ชาวพนอง