บุรินทรวรวิทย์  พ่วนอุ๋ย. (2563). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคผังกราฟิก เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาสังคมศึกษา 5 รหัสวิชา ส33101 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน

ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคผังกราฟิก เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ และผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 รายวิชาสังคมศึกษา 5 รหัสวิชา ส33101 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ (1) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคผังกราฟิก ในรายวิชา ส33101 สังคมศึกษา 5 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ซึ่งการวิจัยครั้งนี้มีขอบเขตประชากรได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนรัตนโกสินทร์สมโภชบางขุนเทียน ที่เรียนรายวิชาสังคมศึกษา 5 รหัสวิชา ส33101 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 12 ห้องเรียน 532 คน (2) กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ห้อง 6 จำนวนนักเรียน 50 คนได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจงจากนักเรียนทั้งหมด 12 ห้องเรียนด้วยนักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ตํ่า และจากการวิเคราะห์ในกระบวนการ PLC โดยมีเนื้อหาที่ใช้ในการวิจัยในหน่วยการเรียนรู้ที่ 4 หลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ทำการทดลอง และเก็บข้อมูลในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 9 คาบ

ผลการวิจัยพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบทดสอบปรนัยก่อนเรียน และหลังเรียนที่เรียนด้วยวิธีการจัดการเรียนรู้แบบเทคนิคผังกราฟิกหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05 และนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคผังกราฟิกก่อนเรียนและหลังเรียน มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

บุรินทรวรวิทย์  พ่วนอุ๋ย. (2558). ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชา ส23101 สังคมศึกษา 5 โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา.

ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย คือ (1) เพื่อพัฒนาทักษะการคิดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด   (Mind Mapping) ในรายวิชา ส23101  สังคมศึกษา 5 และ (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียน-หลังเรียน สังคมศึกษา 5 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ซึ่งการวิจัยครั้งนี้  ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตด้านประชากรกลุ่มตัวอย่างและขอบเขตด้านเนื้อหาไว้  คือ (1) ประชากรได้แก่  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3  โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา ที่เรียนรายวิชา ส23101  สังคมศึกษา 5 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา  2558 กลุ่มตัวอย่าง  ได้แก่  นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 3 จำนวน 1 ห้องเรียนนักเรียน 50 คนได้มาจากการสุ่มแบบเจอะจง ซึ่งมีผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ต่ำ โดยมีเนื้อหาที่ใช้ใน  การวิจัยได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ภูมิศาสตร์ ประกอบด้วยเรื่อง (1) ภูมิสารสนเทศ (2) ทวีปอเมริกาเหนือ และ (3) ทวีปอเมริกาใต้ ทำการทดลองและเก็บข้อมูลในภาคเรียนที่ 1   ปีการศึกษา 2558  จำนวน 20 คาบ                   

ผู้วิจัยได้กำหนดตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย ซึ่งตัวแปรต้นได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) ในรายวิชา  ส23101 สังคมศึกษา 5 และตัวแปรตามประกอบด้วย (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 3 และ (2) ทักษะการคิด / สรุปความรู้รวบยอดของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 3 มีสมมุติฐานของการวิจัย คือ (1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind Mapping) มีทักษะด้านการคิดหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และ (2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชารายวิชา ส23101  สังคมศึกษา 5   หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน

ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิด (Mind  Mapping)  เพื่อพัฒนาทักษะการคิดและผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 รายวิชา ส23101 สังคมศึกษา 5 โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา มีผลสัมฤทธิ์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ที่ระดับ .05

รัฐธรรมนูญไทย ปวงชนชาวไทย มีรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนเป็นครั้งแรกหลังจากสภาร่าง รัฐธรรมนูญซึ่งมีตัวแทนของประชาชน หลายๆฝ่าย จัดทำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมีเนื้อหาที่ส่งเสริมคุ้มครอง สิทธิเสรีภาพของประชาชน และให้โอกาสประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากที่สุด อย่างที่ไม่เคย มีมาก่อน

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีเจตนารมณ์ในการปฏิรูปการเมือง 3 ประการ คือ การปฏิรูป กระบวนการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง โดยให้มีการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม เพื่อให้ได้คนดีมีความสามารถเข้า มาบริหารบ้านเมือง กระบวนการตรวจสอบและควบคุมการใช้อำนาจ ที่มีประสิทธิภาพและโปร่งใส และ กระบวนการถอดถอนผู้ใช้อำนาจในทางมิชอบให้ออกจากตำแหน่ง อันเป็นจุดกำเนิดของ การจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมารองรับภารกิจในการปฏิรูปการเมืองดังกล่าว รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร ไทย พ.ศ. 2540 ได้บัญญัติให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นองค์กรอิสระโดยมีคณะกรรมการ จำนวน 5 คน ทรงกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง โดยการเลือกสรรของวุฒิสภา

คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีวาระดำรงตำแหน่ง 7 ปี และ ดำรงตำแหน่งได้เพียงครั้งเดียวโดยจะ ประกอบไปด้วย ประธานกรรมการการเลือกตั้ง 1 คน และกรรมการการเลือกตั้ง 4 คน จะต้องเป็นผู้ซึ่งมี ความเป็นกลางทางการเมือง และมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ โดยมีอำนาจหน้าที่เป็นผู้ควบคุม ดำเนินการจัด หรือจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่นและ ผู้บริหารท้องถิ่น รวมทั้งการออกเสียงประชามติให้เป็นไปโดยสุจริตและ เที่ยงธรรม