ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางต้องรู้และควรรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สำหรับการจัดการเรียนรู้ ปีการศึกษา 2564ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19)
ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง คู่มือปฏิบัติงานตาม ว.21 ที่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ควรจะศึกษา และต้องปฏิบัติใช้จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น แต่ไม่น่าจะเปลี่ยนแปลง มาทำ ว.21 กันนะ
โดย ธัญรดี มุณีกุล สพป.สงขลา เขต 2
คู่มือการจัดการเรียนรู้ ประวัติศาสตร์เพื่อลดอคติทางชาติพันธุ์จัดทำและลิขสิทธิ์งานของ พันธ์นุพงษ์ วงวาน นิสิตหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม.) สาขาวิชาวิทยาการทางการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (สังคมศึกษา) ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ E-mail: punnupong_230@hotmail.com จัดพิมพ์ปี พ.ศ.2562 จำนวน 120 หน้า อาจารย์ที่ปรึกษาปริญญานิพนธ์ อาจารย์ ดร.พรใจ ลี่ทองอิน ภาควิชาการศึกษาผู้ใหญ่และการศึกษาตลอดชีวิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อาจารย์ ดร.วรวุฒิ สุภาพ ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ขอขอบคุณ พันธ์นุพงษ์ วงวาน นิสิตหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต (กศ.ม.) คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
หนังสือส่งเสริมประสิทธิภาพการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาศาสนา และวัฒนธรรม ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นหนังสือที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจัดทำขึ้น โดยนำเนื้อหาสำคัญของวิชาภูมิศาสตร์เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสตร์สากล และอาเซียน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มาออกแบบข้อมูลของเนื้อหาเป็นภาพ Infographic ในรูปแบบต่างๆในแต่ละเนื้อหาที่แตกต่างกันอย่างสร้างสรรค์นอกจากนี้ ได้นำเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) หรือการสร้างภาพสามมิติเสมือนจริง มาผสมผสานกับการออกแบบข้อมูลเป็นภาพ Infographic ด้วยซึ่งการสื่อสารด้วยภาพ Infographic และภาพเคลื่อนไหว Augmented Reality (AR) จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถจดจำและเข้าใจเนื้อหาสาระและองค์ความรู้ที่ซับซ้อนได้ง่าย รวดเร็ว และแม่นยำมากกว่าการอ่านหนังสือปกติ
ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
“ปฐมสมโพธิกถา” มีความหมายตามรูปศัพท์ว่า “เรื่องราวเกี่ยวแก่การตรัสรู้โดยแจ่มแจ้งและเลิศล้ำของพระพุทธเจ้าซึ่งเพิ่งจะบังเกิดผ่านพ้นไป” ปฐมสมโพธิกถาแบ่งเนื้อหาออกเป็น 29 ตอน แต่ละตอนเรียกว่า ปริจเฉจ แม้ชื่อเรื่องปฐมสมโพธิกถาจะเน้นพุทธประวัติตอนตรัสรู้ แต่เนื้อเรื่องของปฐมสมโพธิกถาครอบคลุมประวัติทั้งหมดของพระสมณโคดมพุทธเจ้าตั้งแต่กำเนิดศากยตระกูลและการวิวาห์ระหว่างพระเจ้าสุทโธทนะพุทธบิดาและพระนางสิริมหามายาพุทธมารดา พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์พระพุทธมารดาและมีเรื่องและเหตุการณ์ต่าง ๆ เกี่ยวแก่พระธาตุผนวกอยู่ตอนท้ายของเรื่อง
ผู้วาดภาพประกอบ : กฤษณะ สุริยกานต์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. สมุดภาพ ปฐมสมโพธิกถา วรรณคดีพระพุทธศาสนาพากย์ไทย คัมภีร์แสดง เรื่องราวของพระพุทธเจ้า. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, 2552.
ปฐมสมโพธิกถา (2552) ผู้วาดภาพประกอบ : กฤษณะ สุริยกานต์
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส. สมุดภาพ ปฐมสมโพธิกถา วรรณคดีพระพุทธศาสนาพากย์ไทย คัมภีร์แสดง เรื่องราวของพระพุทธเจ้า. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, 2552.
รวมภาพพุทธประวัติพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพื่อประกอบการจัดการเรียนการสอนพระพุทธศาสนาให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น
ขอขอบคุณ www.mahamodo.com
ธรรมศึกษา
สอบสนามหลวง คือการสอบไล่วัดความรู้พระปริยัติธรรมของคณะสงฆ์ไทย โดยคำว่า "สนามหลวง" นั้นสันนิษฐานว่ามาจากคำว่า "การสอบพระปริยัติธรรมบาลีในพระราชวังหลวง" โดยการสอบสนามหลวงในสมัยก่อนนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงรับเป็นพระราชภาระ ถวายความอุปถัมภ์การจัดสอบขึ้นในพระบรมมหาราชวัง โดยจัดสอบแบบปากเปล่า คือพระภิกษุหรือสามเณรผู้ศึกษาบาลีมีความรู้พอสมควรแล้ว เข้าสอบบาลีสนามหลวงโดยการแปลคัมภีร์ภาษาบาลีเป็นภาษาไทย หรือแต่งภาษาไทยเป็นภาษาบาลี ต่อหน้าพระที่นั่งและคณะกรรมการพระเถรานุเถระ โดยผู้สอบไล่ได้ในชั้นประโยคต่างๆ จะได้รับการพระราชทานสมณศักดิ์ พัดยศ ไตรจีวร และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระภิกษุสามเณรผู้สอบได้ให้เป็นเปรียญ และรับนิตยภัตของหลวง เป็นการยกย่องเชิดชู
ประวัติความเป็นมาการสอบสนามหลวง
การสอบบาลีสนามหลวงนั้นมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสอบในทำนองเดียวกับสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ 3 ปีมีการสอบครั้งหนึ่ง เป็นการสอบแบบปากเปล่า มีพระเถราจารย์ผู้ทรงภูมิความรู้เป็นกรรมการสอบ
การสอบไล่ปากเปล่าในอดีตวิธีการสอบไล่ในอดีตคือผู้เข้าสอบเข้าไปแปลคัมภีร์อรรถกถาต่อหน้าพระเถราจารย์ และพระเถราจารย์จะซักถามผู้เข้าสอบไล่ จึงเป็นที่มาของคำว่า ไล่ความรู้ หรือ สอบไล่วิชาที่สอบแต่ละประโยคนั้นก็จะกำหนดพระสูตรต่างๆ สำหรับแต่ละประโยค เริ่มตั้งแต่ประโยค 1 ไปจนถึง ประโยค 9 โดยการสอบนั้น จะมีการสอบตั้งแต่ประโยค 1 ขึ้นไป ถ้าสอบประโยค 1 - 2 ได้ แต่สอบประโยค 3 ไม่ได้ ก็ต้องไปเริ่มสอบประโยค 1 ใหม่ เว้นแต่เมื่อสอบได้ประโยค 3 แล้ว ก็สามารถสอบไล่ไปทีละประโยคหรือหลายประโยคก็ได้ในยุคต้นรัตนโกสินทร์ต่อเนื่องมาจนถึงสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระภิกษุทุกรูปต้องเล่าเรียนและเข้าสอบบาลีสนามหลวง ภิกษุรูปใดสอบไล่ได้เป็นเปรียญตั้งแต่ 3 ประโยคแล้ว ถ้าได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ตั้งแต่พระครูสมณศักดิ์ขึ้นไป เป็นอันหยุดไม่ต้องเข้าสอบบาลีสนามหลวงต่อไปก็ได้ แต่ถ้าสมัครใจจะเข้าแปลต่อก็ได้ ส่วนภิกษุที่ยังไม่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ก็ต้องสอบต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบเป็นเปรียญ 9 ประโยค
การเปลี่ยนรูปแบบสอบไล่บาลีมาเป็นข้อเขียน
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้นในคณะสงฆ์ธรรมยุตินิกาย สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งเวลานั้นทรงเป็นผู้ช่วยเจ้าคณะใหญ่คณะธรรมยุติกนิกายได้ทรงกำหนดหลักสูตรของมหามกุฏราชวิทยาลัยขึ้น โดยกำหนดให้ผู้เรียน เรียนทั้งหนังสือไทยและบาลีไวยากรณ์ โดยผู้เข้าเรียนในสำนักมหามกุฏราชวิทยาลัย นี้มีทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาส จึงทำให้การสอบบาลีสนามหลวงในสมัยนั้นแบ่งออกเป็นสองสนาม คือ สนามที่สอบปากเปล่าแบบเก่า และสนามที่จัดสอบผู้เล่าเรียนตามหลักสูตรมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งใช้วิธีสอบแบบข้อเขียน และแบ่งการสอบเป็น 3 ชั้น เรียกว่า เปรียญตรี เทียบคุณวุฒิเสมอเปรียญ 4 แบบเก่า เปรียญโท เทียบคุณวุฒิเสมอเปรียญ 5 และเปรียญเอกเทียบคุณวุฒิเปรียญ 7 การสอบไล่ตามหลักสูตรมหามกุฏราชวิทยาลัย คงดำเนินมาจนถึงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้ปรับหลักสูตรการศึกษาบาลีสนามหลวงทั้งหมด โดยใช้หลักสูตรของมหามกุฏราชวิทยาลัยเป็นหลัก และเลิกการสอบเปรียญ ตรี โท เอก เปลี่ยนมาเป็นสอบบาลีตั้งแต่ประโยค 1 - 9 ดังในปัจจุบัน
การสอบสนามหลวงในปัจจุบัน
ปัจจุบันฆราวาสสามารถสอบสนามหลวงได้เช่นกัน แต่สามารถสอบได้เฉพาะหลักสูตรธรรมศึกษา ซึ่งมีความเข้มข้นต่างจากธรรมศึกษาของพระสงฆ์มากการสอบสนามหลวงในปัจจุบันนี้แบ่งเป็นสองประเภทคือการสอบบาลีสนามหลวง และสอบธรรมสนามหลวง การสอบสนามหลวงแผนกบาลีในระดับชั้นเปรียญตรี (ป.ธ.1-2 ถึง 3) และระดับชั้นเปรียญโทเปรียญแรก (ป.ธ. 4) ในปัจจุบันนับว่ามีความสะดวกสบายกว่าแต่ก่อนมาก คือผู้สมัครสอบไม่ต้องเข้ามาสอบที่ส่วนกลางทั้งหมด แต่ให้มีสนามสอบประจำจังหวัด ๆ ละหนึ่งแห่งทั่วประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑลให้เป็นส่วนกลาง
การสอบบาลีสนามหลวงในปัจจุบัน
การสอบพระปริยัติธรรมแผนกบาลี หรือ การสอบบาลีสนามหลวง แบ่งการสอบออกเป็น 9 ประโยค
ประโยค 1-2 ถึงประโยค 3 เป็นเปรียญตรี (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนต้น)
ประโยค 4 ถึงประโยค 6 เป็นเปรียญโท (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่ามัธยมศึกษาตอนปลาย)
ประโยค 7 ถึงประโยค 9 เป็นเปรียญเอก (กระทรวงศึกษาธิการเทียบวุฒิให้เทียบเท่าปริญญาตรี)
การจัดสอบวัดผลบาลีสนามหลวงในปัจจุบันนั้นแบ่งเป็นสองครั้ง ครั้งแรกคือชั้นประโยค 6 ถึงประโยค 9 และครั้งที่สองคือ ประโยค 1-2 ถึง ประโยค 5 โดยแต่ละครั้งจะจัดสอบพร้อมกันทั่วประเทศ ใช้ข้อสอบที่ออกโดยแม่กองบาลีสนามหลวง
ครั้งที่ 1 ตรงกับวันขึ้น 2, 3 ค่ำ เดือน 3 จัดสอบเปรียญธรรม 6- 7 และวันขึ้น 4, 5, 6 ค่ำ เดือน 3 จัดสอบเปรียญธรรม 8-9
ครั้งที่ 2 ตรงกับวันแรม 10, 11 12 ค่ำ เดือน 3 จัดสอบประโยค 1-2 ถึงเปรียญธรรม 5 ประโยค
ปัจจุบันการตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวง จะนำกระดาษคำตอบของผู้สอบทั้งประเทศมารวมตรวจในส่วนกลาง ภายใต้การกำกับดูแลของแม่กองบาลีสนามหลวงและมหาเถรสมาคม (ภาพ: พระเถระกำลังตรวจข้อสอบธรรมสนามหลวงชั้นโท ที่สนามตรวจวัดสุทัศน์เทพวราราม)