สายธารกาลเวลา ซิงโกราสู่สงขลา และสิงหนคร ภาพโดย นายกุลธวัช เจริญผล
สังเขปประวัติศาสตร์ “สงขลา” จากยุคสู่ยุค
สงขลาเป็นเมืองสำคัญที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนาน โดยสามารถตามการนับเฉพาะที่มีการพัฒนาชุมชนในลักษณะเป็นเมืองรวมทั้งสิ้น 5 ยุค ได้แก่ ยุคที่ 1 เมืองสทิงพาราณสีหรือเมืองสทิงพระซึ่งเกิดอยู่ระหว่างช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 (พ.ศ.1201-1300) หรือกว่า 1,200 ปีที่ผ่านมา ยุคที่ 2 เมืองสงขลาหัวเขาแดงหรือรัฐสุลต่านสงขลาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 22 ยุคที่ 3 เมืองสงขลาแหลมสนในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของยุคเจ้าผู้ปกครองชาวจีนของเมืองสงขลา ยุคที่ 4 เมืองสงขลาบ่อยาง ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 24 ซึ่งย้ายเมืองมาจากฝั่งแหลมสนเพื่อรองรับการขยายตัวของเมือง และยุคสุดท้ายที่นับเนื่องมาจาก พุทธศตวรรษที่ 25 มาจนถึงปัจจุบัน โดยนับจากวันสิ้นสุดระบบกินเมืองแต่เดิมของเจ้าผู้ครองนครสงขลามาเป็นระบบมณฑลเทศาภิบาล ที่เมืองสงขลาเป็นศูนย์กลางการปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราช ที่จะมีการแต่งตั้งข้าหลวง-ข้าราชการมาดูแลทุกท้องที่ทั่วประเทศไทยจนถึงทุกวันนี้
ยุคที่ 1 เมืองสทิงพระ
เริ่มต้นจากการเป็นจุดพักหลบลมมรสุมและเติมเสบียงของพ่อค้าที่เดินเรือมาเสาะแสวงหาสินค้า ช่วงที่พัฒนาสูงสุดคล้ายเป็นเมืองที่มีอำนาจการปกครองและเสื่อมสลายลงพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและภูมิศาสตร์ ตลอดจนการโจมตีจากศัตรูภายนอกที่เรียกขานกันว่า “แขกสลัด” ที่เดินทางล่องเรือมาไกลจากอินโดนีเซียในปัจจุบัน
ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 5-8 เป็นช่วงที่ผู้คนจากชมพูทวีปหรือที่เรารู้จักกันในปัจจุบันว่าประเทศอินเดีย เริ่มออกเดิมทางข้ามทะเล หุบเขา และทะเลทราย เพื่อจุดประสงค์สำคัญสองประการ คือ การออกเผยแพร่ศาสนาพุทธและการเสาะแสวงหาสิ่งมีค่าที่จะสามารถใช้บูชาเทพยดาในศาสนาพราหมณ์ สินค้าเหล่านี้เช่น ไม้หอม อย่างกำยาน ไม้ฝาง ลูกปัดสีซึ่งอาจทำมาจากอัญมณี แร่ทอง แร่เงิน และเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ ซึ่งเป็นของที่มีน้ำหนักเบา ทั้งนี้สอดคล้องกับขนาดของ เรือ ซึ่งเป็นพาหนะสำคัญที่นำคนจากชมพูทวีปเข้ามายังคาบสมุทรสทิงพระตลอดจนแหลมมลายูนั้นเป็นเพียงเรือสำเภาขนาดกลางที่บรรจุคนได้ไม่เกินหนึ่งร้อยคนและไม่อาจสำรองเสบียงได้มากพอที่จะเดินทางได้เกิน 1-2 เดือน ด้วยเหตุนี้ การเดินทางจึงจำเป็นต้องลัดเลาะขอบชายฝั่งเพื่อประโยชน์ในการเติมน้ำจืดและหาเสบียง รวมถึงเพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญกับคลื่นลมในมหาสมุทรที่อาจทำให้เรือล่มได้ จึงเกิดชุมชนเล็ก ๆ ที่ไว้รอเวลาและรวบรวมเสบียง เช่น แหล่งชุมชนโบราณในบริเวณโรงเรียนปอเนาะซอลาฮุดดีน หมู่ที่ 7 บ้านบนเมือง ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร ครั้นเวลาผ่านไป นักเดินทางเหล่านี้จึงได้ค้นพบเส้นทางเดินลัดเลาะข้ามคาบสมุทรที่สามารถใช้เดินทางข้ามแผ่นดินที่อุดมไปด้วยทรัพยากรแทนการเข้าสู่ช่องแคบมะละกาที่เสี่ยงอันตรายกว่า นำมาสู่การเกิดเมืองท่าระหว่างเส้นทางข้ามคาบสมุทร รวมถึงเกิดชุมชนที่มีลักษณะเด่นในทางเป็นแหล่งผลิตสินค้า เช่น ควนลูกปัด อันเป็นชุมชนที่ผลิตลูกปัดที่สวยงามอยู่ในอำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ และ ชุมชนปะโอ-สีหยัง ที่เป็นแหล่งผลิตหม้อดินดิบและดินเผาในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา เป็นต้น รวมถึงการเกิดขึ้นของชุมชนเมืองขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นศูนย์กลางการเมือง-เศรษฐกิจ-การปกครองอย่างเมืองสทิงพระที่ตำบลชุมพล อำเภอสทิงพระ จังหวัดสงขลาในปัจจุบัน ซึ่งสันนิษฐานว่ามีความรุ่งเรืองเต็มที่ในช่วงพุทธศตวรรษที่ 17-18 และล่มสลายลงไปในพุทธศตวรรษที่ 19 จากการโจมตีของกองกำลังที่เรียกว่า “แขกสลัด” ซึ่งในบันทึกมีกลุ่ม “อุชงตะนะ” และ “อาแจะอารู” รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสภาพภูมิศาสตร์ที่น่าจะส่งผลให้ตอนบนของคาบสมุทร (บริเวณอำเภอระโนดในปัจจุบัน) เกิดสันดอนน้ำตื้นทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางและคลื่นแรงจนน้ำทะเลเข้าท่วมหนองบึงน้ำริมสันทรายที่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการใช้ชีวิตของเมืองริมชายฝั่ง
ยุคที่ 2 สงขลาหัวเขาแดง
ใน พ.ศ. 2145 มีผู้นำนามว่าดาโต๊ะโมกอลล์ ได้นำครอบครัวลี้ภัยสงครามมาถึงบริเวณหัวเขาแดงซึ่งเป็นที่ชัยภูมิดี อีกทั้งยังมีที่ราบสันทรายริมชายหาดที่กว้างขวางและมีความพิเศษคือเป็นสันทรายที่พอจะเพาะปลูกพืชได้ ภูเขาริมฝั่งทะเลที่เรียกกันว่าหัวเขาแดงก็สามารถใช้เป็นที่บังลมมรสุม อีกทั้งในบริเวณดังกล่าวก็มีแหล่งบึงน้ำธรรมชาติไม่ไกลจากชายฝั่งมากนัก จึงเหมาะที่จะลงหลักปักฐานตั้งชุมชน
นายบุญเลิศ จันทระ นักวิชาการประจำสถาบันทักษิณคดีศึกษาได้อธิบายว่าา “ภูมิประเทศตรงนี้เมื่อมองจากทะเลบริเวณเกาะหนูเกาะแมวเข้ามาจะเห็นเป็นภูเขา ที่พ่อค้าอินเดียเรียกว่า สิงขร ภูเขานี้ดูเหมือนรูปสิงโตหมอบขนานไปกับปากน้ำใหญ่ ขอมเรียกแม่น้ำว่า สทิง ชื่อ ซิงโกรา สทิงพระสิงขรา ก็มาจากชื่อเรียกที่คนที่มาบริเวณนี้เรียกตามชัยภูมิของที่นี้ และสืบทอดมาเป็น ชิงโค สิงหนคร สทิงพระ สทิงหม้อ รวมถึงสงขลาในปัจจุบัน”
พ.ศ. 2163 ดาโต๊ะ สุลัยมาน ได้พัฒนาเมืองดังกล่าวให้เป็นเมืองท่านานาชาติ มีพ่อค้าจากแดนไกล เช่นชาวจีน อินเดีย อังกฤษ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ เข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก โดยเจ้าเมืองไม่เก็บภาษีการค้า แต่ปลูกพริกไทยไว้ขายเป็นรายได้หลักเข้าบำรุงเมือง จึงเป็นที่นิยมของพ่อค้าวาณิชในยุคนั้นมาก และด้วยความสัมพันธ์อันดีกับพ่อค้าวาณิชนำมาสู่การแลกเปลี่ยนสรรพวิชาระหว่างกัน ป้อมปราการของที่นี่จึงมีพ่อค้าชาวอังกฤษช่วยสร้าง เป็นป้อมปราการหินสูงใหญ่มีช่องบังใบที่กว้างสามารถหมุนควงปืนใหญ่เพิ่มวิถีป้องกันข้าศึกได้ อีกทั้งยังสามารถสร้างป้อมบนภูเขา ทะเล และที่ราบได้กว่า 18 ป้อม พร้อมกำแพงและคูเมืองที่สันนิษฐานว่ามีการขุดแต่งให้มีความกว้างมากพอที่จะนำเรือใบขนาดเล็กเข้ามารับส่งสินค้าข้างในแผ่นดินอีกด้วย ครั้น พ.ศ. 2172 เกิดความโกลาหลในการสืบราชสันตติวงศ์ที่อยุธยา เนื่องจากขุนนางผู้หนึ่งได้สังหารพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์อย่างต่อเนื่องแล้วปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง เป็นเหตุให้หัวเมืองประเทศราชต่าง ๆ เช่น สงขลา ปัตตานี นครศรีธรรมราช ไม่เลื่อมใสในสิทธิธรรมในการครองราชย์จึงไม่ส่งดอกไม้เงินดอกไม้ทองหรือบุหงามาศแสดงความอ่อนน้อมเป็นเมืองประเทศราชอีกต่อไป
ในยุคดังกล่าวนี้เองที่ดาโต๊ะสุลัยมานได้สถาปนาตนเป็นสุลต่าน นามสุลต่าน สุลัยมาน ชาฮ์ ถือเป็นการก่อกำเนิดรัฐสุลต่าน ณ เมืองสงขลาเป็นแหล่งแรกและแห่งเดียวในประวัติศาสตร์ และแล้วป้อมคูและกำแพงเมืองได้ถูกใช้เพื่อปกป้องเลือดเนื้อและแผ่นดิน ด้วยการโจมตีของปาตานีในสมัยรานีอูงู และอยุธยาที่ให้นครศรีธรรมราชเข้าโจมตีภายใต้การนำของออกญาเสนาภิมุก (ยะมะดา นางะมะสะ) รวมถึงกองเรือผสมที่นำทัพมาจากอยุธยา เพชรบุรี นครศรีธรรมราช และพ่อค้าชาวดัชท์ที่ตั้งชุมชนในอยุธยา แต่ก็ไม่สามารถหักตีเมืองได้ เพราะป้อมปราการและกระสุนปืนใหญ่ได้ทำหน้าที่พิทักษ์รักษาเมืองไว้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ดี ใน พ.ศ. 2223 ในยุคของสุลต่าน มุตาฟา ชาร์ เมืองนี้ได้ถูกกองทัพของอยุธยาของพระนารายณ์มหาราช ซึ่งนำทัพโดยพระยารามเดโช ปราบลงได้ ซึ่งในการศึกครั้งนี้นอกจากจะใช้กำลังรบพยายามตีหักป้อมปราการทั้งทางบกและทางทะเลแล้ว ยังมีเรื่องของการใช้วาทศิลป์ในการเกลี้ยกล่อมผู้รักษาป้อมปราการแห่งหนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้กองทัพของพระยารามเดโชร่วมมือกับผู้รักษาป้อมใช้ดอกไม้ไฟดอกไม้เพลิงโยนเข้าด้านหลังกำแพงจนเกิดเพลิงไหม้ในเขตเมืองอย่างรุนแรงจนสุลต่านมุตาฟาชาฮ์ต้องยอมแพ้ หลังจากนั้นจึงได้จัดแจงเผาทำลายป้อมและตัวเมืองให้อยู่ในสภาพที่ไม่อาจใช้การได้ เพื่อไม่ให้ผู้ใดฉวยโอกาสยึดชัยภูมินี้ก่อการแข็งเมืองได้อีก
สงครามดังกล่าวแม้จะเป็นสงครามยิ่งใหญ่ ถึงขนาดเผาเมืองจนสิ้นซาก แต่ด้วยเลือดขัตติยะและเกียรติความเป็นกษัตริย์ของทั้งอยุธยาและซิงโกรา ผู้เป็นปัจจามิตรต่อกัน ทำให้เชื้อสายตระกูลสุลต่านที่แม้จะพ่ายแพ้ในการศึกแต่กลับไม่มีผู้ใดต้องอาชญาแม้แต่คนเดียว โดยมีบันทึกไว้ว่าลูกหลานเจ้าเมืองได้ถูกเทครัวไปยังอยุธยา ไชยา (สุราษฏร์ธานี) และเขาชัยสน (พัทลุง) รวมถึงอยุธยา ได้เป็นเจ้าเมืองท้องถิ่นแต่ละแห่ง เช่น สุลต่านมุตาฟาชาฮ์พร้อมครอบครัวบริวารที่ถูกเทครัวไปยังไชยา ได้มีลูกหลานดำรงตำแหน่งเจ้าเมือง ได้แก่ พระยาศรีวิชัยสงคราม (เตาฟิค) พระยาศรีวิชัยสงคราม (มรหุมมูดา) พระยาวิชิตภักดี (บุญชู) เป็นต้น ในขณะที่พัทลุงก็มีพระยาแก้วเการพพิชัย (ตะตา) พระยาภักดีเสนา (แขก) เป็นต้น ในส่วนของลูกหลานสุลต่านที่ถูกเทครัวไปอยุธยานั้น ได้เป็นข้าราชสำนักที่สำคัญ เช่น ฮัสซัน บุตรของสุลต่านมุตาฟาชาฮ์ ได้รับราชการเป็นแม่ทัพเรือ มีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาราชบังสัน โดยเชื้อสายของท่านคนหนึ่งได้กลายเป็นบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ คือเจ้าจอมมารดาเรียม หรือพระศรีสุลาลัยพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ผู้เป็นพระราชมารดาของพระบาทสมเด็จพระพุทธนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ทั้งนี้ เชื้อสายสุลต่านที่พัทลุงนั้น ถือเป็นต้นตระกูล ณ พัทลุง และสกุลอื่น ๆ กว่าร้อยสกุลในปัจจุบัน
ยุคที่ 3 สงขลาแหลมสน
หลังการสิ้นสุดของรัฐสุลต่านที่สงขลา หรือสงขลายุคหัวเขาแดงแล้ว พื้นที่บริเวณนี้ยังคงมีชุมชนอาศัยอยู่ต่อมา และด้วยภูมิศาสตร์ที่ดี หัวเขาแดงจึงยังคงเป็นจุดแวะพักถ่ายเสบียงและสินค้าต่อมา จนกระทั่งใน พ.ศ. 2293 เฮ่าเหยี่ยง ชาวจีนมณฑลฮกเกี้ยนได้อพยพมายังหัวเขาแดงบริเวณเดียวกับที่ดาโต๊ะโมกอลล์เคยมาลงหลักปักฐานสร้างเมืองไว้ ต่อมาได้ย้ายที่อยู่หลายครั้งจนกระทั่ง พ.ศ. 2301 จึงมาปักหลักทำการค้าที่บริเวณแหลมสน จนได้เป็นนายอากรเก็บภาษีรังนกเกาะสี่เกาะห้า ในพ.ศ. 2312 และได้เป็นเจ้าเมืองสงขลา มีบรรดาศักดิ์ว่า หลวงสุวรรณคีรีสมบัติ ใน พ.ศ. 2318
ยุคที่ 4 สงขลาบ่อยาง
ตระกูลเฮ่าได้ปกครองแหลมสนให้เจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ จนพื้นที่ของแหลมสนเริ่มเกิดความแออัดขึ้น รวมถึงปัญหาการต้องเผชิญกับสัตว์ร้าย เช่น เสือ ที่คร่าชีวิตชาวเมืองอยู่เป็นระยะ ๆ จึงมีดำริย้ายเมืองข้ามฟากจากฝั่งแหลมสนข้ามปากน้ำมาอยู่ในฝั่งบ่อยาง และได้รับพระบรมราชานุญาตในช่วงรัชกาลที่ 3 พร้อมพระราชทานไม้หลักเมืองและเครื่องประกอบ รวมถึงงดเว้นการส่งอากรเพื่อสามารถสร้างป้อมกำแพงเมืองให้เสร็จโดยรวดเร็ว
เชื้อสายตระกูลเฮ่านับจากแหลมสนถึงบ่อยาง ได้ปกครองสงขลารวม 8 รุ่น (2318-2444) โดยมีพระยาวิเชียรคีรี (ชม) เป็นเจ้าเมืองสงขลาคนสุดท้ายในช่วงรัชกาลที่ 5 และถือเป็นต้นตระกูล ณ สงขลา ในปัจจุบัน
ยุคที่ 5 สงขลาปัจจุบัน
นับตั้งแต่การปรับปรุงระเบียบการปกครองแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเปลี่ยนรูปแบบการปกครองท้องถิ่นจากการกินเมืองของเจ้าเมืองตระกูลท้องถิ่นต่าง ๆ เป็นการส่งผู้มีความรู้ความสามารถที่ได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลกลางเข้าปกครองภาคส่วนต่าง ๆ ทั่วทั้งประเทศ สงขลาก็เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ผู้ว่าราชการมาจากการแต่งตั้งของกระทรวงมหาดไทยเช่นเดียวจังหวัดอื่น ทั่วประเทศ และด้วยสภาพพื้นที่ของสงขลาที่ยังคงมีชัยภูมิที่พิเศษ สงขลาทุกวันนี้จึงยังคงเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจเติบโตเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้
ผังเมืองซิงโกรา พ.ศ. 2230
เกาะยอ หัวเขา บ่อยาง วาดเมื่อ พ.ศ. 2230
แผนผังเมืองสงขลา-พัทลุง พ.ศ.2230
ภายหลังการเสียเมืองซิงโกรา ใน พ.ศ.2223 ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จฯพระนารายณ์มหาราชย์ พระองค์ได้มีพระราชวิเทโศบายจากการค้าที่จะให้ประเทศฝรั่งเศสสามารถตั้งสถานีการค้าถาวรในเมืองซิงโกราได้
ในครานั้น มองซิเออร์ เดอร์ ลาแมร์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้สำรวจและจัดทำแผนที่ แผนผังของเมืองซิงโกราเพื่อทูลเกล้าแก่พระนารายณ์และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พิจารณา แผนที่ดังกล่าวจัดทำขึ้นสำเร็จเมื่อ พ.ศ. 2230 และได้นำกลับไปยังประเทศฝรั่งเศส
เวลาผ่านไปกว่า 300 ปี ในโอกาสการฉลองความสัมพันธ์ทางการฑูตครบ 100 ปี เมื่อ พ.ศ.25xx รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ส่งสำเนาแผนที่ดังกล่าวมายังประเทศไทย และรัฐบาลไทยได้ส่งแผนที่นี้มาให้ ศ.ดร.สุทธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์ ผู้อำนวยการสถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยทักษิณ ให้ใช้จัดแสดงแก่ประชาชนต่อมา