กำหนดการศึกษาประวัติศาสตร์ "ย้อนรอยรัฐสุลต่านซิงโกรา"
0700 น. ออกเดินทางจากที่พักในพื้นที่ อำเภอเมือง หรือ อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา
0730 น. ลงรถหน้าหาดปลาไก่ (หาดจันทร์สว่าง) เตรียมความพร้อมปีนหัวเขาแดง
0745 น. ถึงป้อมหมายเลข 8 เหนือหัวเขาแดง เล่าขานตำนานเส้นทางสายไหมทางทะเล เชื้อสายสุลต่าน และยุคสมัยแห่งพาณิชย์นิยม ที่ชนชาติต่าง ๆ ผูกสำเภากำปั่นออกหาเครื่องเทศและค้าขายทั่วโลก และข้อมูลทางประวัติศาสตร์โบราณคดีที่เกี่ยวข้อง
0900 น. ถึงป้อมหมายเลข 10 บนยอดหัวเขาแดง ชมทัศนียภาพที่ประกอบด้วยปากน้ำสงขลา ทะเลหลวง เมืองสงขลาบ่อยาง และชวนสังเกตแผ่นดินทิศเหนือของรัฐสุลต่านซิงโกรา พร้อมอัศจรรย์ไปกับทิวทัศน์ 360 องศาของป้อมปราการเก่า ก่อนจะมาเป็นฐานของเจดีย์องค์ขาวองค์ดำ และศาลาจีน ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการสร้างบูรณาภาพเหนือดินแดนสงขลาในยุคต้นรัตนโกสินทร์ (พักเหนื่อย ทานน้ำกันสักครู่ ณ ที่นี่ด้วย)
1000 น. ออกเดินทางลงเขา พร้อมชมป้อมที่เหลือรายทาง ซึ่งมีเกร็ดเกี่ยวกับการกำหนดตำแหน่งป้อม และการใช้งานป้อมแต่ละแห่งในการรักษาเมือง ซึ่งมีทั้งเป็นป้อมสังเกตการณ์ ป้อมยิงปืนใหญ่วิถีโค้งไกล ป้อมยิงปืนใหญ่วิถีตรงใกล้
1030 น. ถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว กรมศิลปากร ศึกษาสภาพภูมิศาสตร์และสถาปัตยกรรมของรัฐสุลต่านซิงโกราและป้อมต่าง ๆ และย้อนรอยประวัติศาสตร์ก่อนยุครัฐสุลต่านที่บริเวณนี้เป็น 1 ในเส้นทางข้ามคาบสมุทรโบราณที่เชื่อมระหว่างอันดามันและอ่าวไทยไว้ด้วยกัน (แวะชมป้อมที่ยังคงสภาพผุพังตามกาลเวลา ๒ แห่งในบริเวณดังกล่าวด้วย)
1100 น. เดินทางถึงคูเมือง และป้อมหมายเลข 1 เล่าขานตำนานดาโต๊ะโมกอลล์ และ สุลต่านสุลัยมาน ชาร์ ผู้สถานปนารัฐสุลต่าน รัฐเมืองท่าปลอดภาษี ผู้เป็นต้นธารแห่งตำนานเมืองป้อมปราการแห่งเดียวของประเทศไทย เมืองที่มีป้อมปราการบนภูเขา บนบก และในน้ำ เป็นชัยภูมิที่โดดเด่นที่สามารถควบคุมเส้นทางการค้าทางทะเลและทะเลสาบได้
1130 น. ถึงป้อมหมายเลข 9 หรือป้อมเมือง สัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของเมืองสิงหนคร ชมป้อมที่ตระหง่านตระการตา สร้างด้วยเทคโนโลยีตะวันตกด้วยวัตถุดิบที่มีเอกลักษณ์ทางธรณีสัณฐานของท้องถิ่น
1200 น. รับประทานอาหารเที่ยง พร้อมตั้งวงสนทนา "รัฐซิงโกราที่ได้พบ" ด้วยกัน
เส้นทางการเรียนรู้ภาคบ่าย
เส้นทางลับสู่เจดีย์ศรีวิชัย ( 1 ชั่วโมงครึ่ง - 2 ชั่วโมง) พบกับเส้นทางโบราณที่คนในยุคปลายศรีวิชัยใช้เป็นในการสักการะบูชาเจดีย์เก่าแก่ยุคศรีวิชัย ซึ่งอาจมีอายุเก่าแก่ถึง 800 ปีมาแล้ว
สุสานสุลต่าน (30 นาที - 1 ชั่วโมง) ร่องรอยสุสานหลวง แผ่นดินสุดท้ายก่อนวันอาคีเราะห์มาถึง
ซากป้อมเก่าในชุมชน (30 นาที - 1 ชั่วโมง) ลัดเลาะดูป้อมอื่น ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางชุมชนและพื้นที่ของเอกชน
ซิงโกรา สงขลาเมืองเก่า
ใน พ.ศ. 2415 มีผู้นำนามว่าดาโตะโมกอล จากเมืองซาและ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน ได้นำครอบครัวลี้ภัยสงครามมายังบริเวณนี้ จึงสังเกตเห็นพื้นที่มีชัยภูมิดี แล้วได้ลงหลักปักฐานสร้างเมือง นามว่า “ซิงโกรา” (SINGORA) เป็นเมืองที่มีป้อมและกำแพงเมืองที่สร้างด้วยหินแดงใหญ่ที่แข็งแรง ต่อมาในสมัย สุลตาน สุลัยมาน ชาร์ (พ.ศ.2163) ได้พัฒนาเมืองดังกล่าวให้เป็นเมืองท่านานาชาติ มีพ่อค้าจากแดนไกล เช่นชาวจีน อินเดีย อังกฤษ โปรตุเกส เนเธอร์แลนด์ เข้ามาค้าขายเป็นจำนวนมาก โดยเจ้าเมืองไม่เก็บภาษีการค้า แต่เลือกที่จะปลูกพริกไทยไว้ขายเป็นรายได้หลักเข้าบำรุงเมือง จึงเป็นที่นิยมของพ่อค้าวาณิชในยุคนั้นเป็นอันมาก ในสมัยของสุลตาน มุตาฟา ชาร์ เมืองนี้ได้ถูกกองทัพที่อยู่ภายใต้การนำของสมเด็จพระนารายมหาราชตีเมืองแตกใน พ.ศ. 2223 โดยลูกหลานเจ้าเมืองได้ถูกเทครัวไปยังอยุธยา ไชยา (สุราษฏร์ธานี) และเขาชัยสน (พัทลุง) และรับราชการในฐานะพระราชบังสัน และถือเป็นต้นสกุล “ณ พัทลุง” ในปัจจุบัน
คูเมือง
เป็นลำน้ำธรรมชาติแต่เดิม แต่มีการขุดเบิกในสมัยสุลตานสุลัยมาน ชาร์ ให้กลายเป็นคูเมืองขนาดกว้างเพื่อเป็นแนวป้องกันข้าศึก และเป็นทั้งทางสัญจรนำเรือสำเภาลำเล็กเข้ามาติดต่อค้าขายและรับสินค้าสำคัญคือพริกไทยที่ปลูกในเมือง
กำแพงเมือง
สร้างด้วยหินดินดานและประสานด้วยปูนโบราณให้มีความแข็งแรง เป็นกำแพงที่ทนทานและปกป้องผู้คนในเมืองจากข้าศึก คาดว่าสร้างขึ้นใน พ.ศ.2185 ในสมัยสุลตาน สุลัยมาน ชาร์ ปัจจุบันกรมแนวกำแพงเมืองส่วนใหญ่ได้พังทลายไปทั้งหมด เหลือเพียงช่วงสามแยกบ้านเล โดยกรมศิลปากรได้บูรณะกำแพงความยาว 12.30 เมตร กว้าง 7.50 เมตร ขนานไปกับแนวคูเมือง
ป้อมปราการรักษาเมือง
มีทั้งหมด 18 ป้อม บนพื้นราบ บนภูเขา ในริมทะเล ยังคงเหลือให้เห็นอยู่ในปัจจุบันเพียง 14 ป้อม แต่ละป้อมจะมีการสร้างเนินดินยกสูงเสมือนภูเขาขนาดย่อม ๆ จึงสามารถมองเห็นได้ไกลทำให้สามารถสังเกตเห็นข้าศึกที่จะมาบุกเมืองได้ ป้อมในพื้นที่ราบจะมีกำแพงเมืองเชื่อมต่อเพื่อปกป้องเมือง ป้อมบนไหล่เขาและยอดเขามีหน้าที่สำคัญในการสังเกตการณ์ระยะไกล สำหรับป้อมในทะเล สันนิษฐานว่ามีเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้กับพ่อค้าวาณิชที่เข้ามาค้าขายกับเมืองซิงโกรา รวมถึงเป็นด่านปะทะเพื่อต่อสู้กับข้าศึกที่มาทางทะเล
หากเราสังเกตลักษณะของผังเมืองและป้อมปราการในแผนที่โบราณที่ มองซิเออร์ เดอ ลามาร์ค ไว้เขียนขึ้นใน พ.ศ. 2230 จะพบว่า เมืองนี้เป็นเมืองท่าริมชายฝั่งอ่าวไทยที่มีการสร้างบ้านแปงเมืองเป็นผังอย่างเป็นระเบียบ มีการใช้ปราการธรรมชาติ คือภูเขาในด้านทิศใต้และทิศตะวันออก ร่วมกับ กำแพงเมืองที่สร้างในทิศเหนือและทิศตะวันออก และมีลำน้ำที่ไหลเชื่อมตัวเมืองจากทิศตะวันตกด้านทะเลสาบสงขลาตอนในเชื่อมมาสู่บริเวณเขาน้อยและไหลเลียบเคียงกำแพงเมืองก่อนจะไปเชื่อมต่อกับทะเลอ่าวไทยต่อไป และตัวป้อมปราการก็จะอยู่ตามแนวของกำแพงเมืองและปราการธรรมชาติที่อยู่บนภูเขา ดังปรากฎในแผนที่ เมืองนี้ จึงเป็นเมืองป้อมปราการสองทะเลที่ไม่มีที่ใดในประเทศนี้จะเสมอเหมือน
ป้อมปราการที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน มีทั้งที่ได้สำรวจขุดค้นและบูรณะให้ฟื้นคืนสภาพแล้ว ในขณะที่บางส่วนได้มีการขุดค้นเบื้องต้นแต่ยังไม่ได้มีการบูรณะ ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
ป้อมที่ 1 ป้อมหมายเลข 1 มีลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม กว้าง 17 เมตร ยาว 22 เมตร สูง 4.5 เมตร มีช่องวางปืนใหญ่พร้อมบังใบ อยู่บริเวณเดียวกับคูและกำแพงเมือง ตั้งอยู่ใกล้สามแยกบ้านเล ถนนหัวเขาแดง-ระโนด เมื่อเรายืนบนป้อมนี้จะทำให้สามารถจิตนาการไปถึงยุคอดีตเมื่อครั้งที่บริเวณนี้ยังคงเป็นรัฐสุลต่านที่ชาวต่างประเทศเรียกขานว่า “ซิงโกรา” ว่ามีอาณาบริเวณกว้างขวางเพียงใด ตลาดหน้าเมืองในปัจจุบันนั้น ในอดีตคงเป็นชุมชนนอกกำแพงเมืองที่อาศัยที่ราบน้อยนิดเพื่อทำนาเลี้ยงเมือง ในขณะที่ริมทะเลที่ปัจจุบันคือบ้านเลนั้น ในอดีตคงก็เป็นที่แวะจอดเรือกำปั่นฝรั่ง เรือสำเภาจีน ที่มาติดต่อค้าขาย รวบรวบสินค้า และเติมเสบียงอาหารและน้ำจืด ไกลออกไปหน่อย ซึ่งในปัจจุบันคือที่ตั้งของบริษัท ปตท.สผ. จะเป็นชุมชนชาวดัชท์ที่มาตั้งสถานีการค้าเล็ก ๆ เพื่อรวบรวมพริกไทยและสินค้าสำคัญหลากหลายชนิด ก่อนส่งไปยังเมืองปัตตานี หรือ กรุงจาการ์ตาร์ ประเทศอินโดนีเซียในปัจจุบัน ที่จะเป็นศูนย์กลางใหญ่ของบริษัท VOC ในภูมิภาคนี้ ก่อนจะส่งสินค้าที่หาซื้อมาได้ไปขายยังปลายทางที่ทวีปยุโรปอีกทอด
ด้านหลังกำแพงและป้อมหมายเลข 1 จะเป็นพื้นที่ราบของบริเวณที่ทุกวันนี้เรียกว่า บ้านบนเมือง และภูเขาที่เป็นดั่งปราการธรรมชาติของรัฐสุลต่านซิงโกราแห่งนี้ บริเวณใจกลางเมืองซิงโกรา จึงอยู่ระหว่างแนวป้อมปราการไปจนจรดเชิงเขาลูกนี้ ดังแผนที่เมืองซิงโกราที่มองซิเออร์ เดอ ลามาค ได้บันทึกไว้
ป้อมที่ 2 เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 8.5 เมตร ยาว 16.5 เมตร สูง 5 เมตร ค้ำยันกับผนังป้อม 11 แห่ง อยู่บนพื้นราบ ห่างป้อม 1 ประมาณ 200 เมตร ต่อแนวมาจากป้อมแรก แสดงให้เห็นถึงความหนาและแข็งแรงของแนวกำแพงเมืองไปในตัว รวมถึงทำให้เห็นถึงแนวเขตเมืองที่ชัดเจนขึ้นอีกด้วย
ป้อมที่ 3 เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 10.6 เมตร ยาว 11.5 เมตร สูง 4 เมตร ตั้งอยู่บนพื้นราบด้านทิศใต้ ห่างจากป้อมหมายเลข 2 ประมาณ 200 เมตร ปัจจุบันถูกปิดล้อมด้วยที่ดินเอกชนแต่สามารถเดินเท้าเข้าถึงได้ และเนื่องจากมีต้นไม้ใหญ่และพุ่มไม้ต่าง ๆ ขึ้นปกคลุมค่อนข้างมาก จึงอาจสังเกตได้ยาก อย่างไรก็ดี หากสังเกตแนวของป้อมตั้งแต่หมายเลข 1 และ 2 เป็นต้นมา จะพบว่าป้อมทั้งหมดนั้นตั้งอยู่ในระนาบเดียวกัน และสามารถสอบถามชาวบ้านในบริเวณว่าจะเข้าชมป้อมดังกล่าวได้อย่างไร โดยชาวบ้านในบริเวณดังกล่าวต่างมีอัธยาศัยดีทุกคน
ป้อมที่ 4 เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 8.20 เมตร ยาว 12.50 เมตร สูง 4.20 เมตร อยู่บนเชิงเขาค่ายม่วง ที่ลาดชัน มองเห็นด้านข้างทั้งสองด้านเป็นรูปสามเหลี่ยม มีใบบังทั้งสี่ด้าน แต่บางส่วนชำรุดไปบ้างแล้ว ตั้งอยู่ในแนวป้อมด้านซ้าย ห่างจากป้อมหมายเลข 3 ประมาณ 470 เมตร
ป้อมที่ 5 เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 7.50 เมตร ยาว 12.50 เมตร สูง 3.80 เมตร มีรูปแบบเหมือนกับป้อมหมายเลข 4 อยู่สูงขึ้นไปบนเขาค่ายม่วง ห่างจากป้อมหมายเลข 4 ขึ้นไปบนเขาค่ายม่วงประมาณ 103 เมตร
ป้อมที่ 6 มีลักษณะแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 14.80 เมตร ยาว 23.50 เมตรสูง 2.80 เมตร มีใบบังทั้ง 4 ด้าน ตั้งอยู่ส่วนบนของเขาค่ายม่วงในแนวป้อมด้านทิศใต้ ห่างจากป้อมหมายเลข 5 ขึ้นไปบนเขาค่ายม่วงประมาณ 120 เมตร
ป้อมที่ 7 มีลักษณะผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 7 เมตร ยาว 10 เมตร สูง 1 เมตรส่วนฐานและส่วนบนชำรุดเกือบหมดจากตำแหน่งและรูปแบบที่เหลือ มีลักษณะคล้ายคลึงกับป้อมหมายเลข 4 และ 5 ตั้งอยู่บนเขาค่ายม่วงทางด้านทิศเหนือ
ป้อมที่ 8 ลักษณะผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 12 เมตร ยาว 18 เมตร สูง 1.80 เมตรมีใบบังทั้งสี่ด้าน ตั้งอยู่บนปลายสุดของเขาหัวแดงด้านทิศตะวันออกถึงทิศเหนือ เรียกกันโดยทั่วไปว่า ป้อมหัวเขาแดง หากเราจินตนาการย้อนกลับไปในยุคอดีตเมื่อกว่าสามร้อยปีที่ผ่านมา ซึ่งในครั้งนั้นจะยังไม่มีท่าเรือน้ำลึกพร้อมเขื่อนหินกั้นคลื่นและทรายทางด้านทิศเหนือของป้อมนี้ ในขณะเดียวกัน ทางด้านใต้ของป้อมก็ยังไม่มีแหลมสนอ่อน เพราะเมื่อกว่าสามร้อยปีที่ผ่านมา ที่ตรงนี้เป็นเพียงแหลมริ้วทรายที่เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงก็จะพัดท่วมแนวทรายนี้ได้ ป้อมแห่งนี้จึงสามารถใช้เป็นจุดสังเกตการณ์มองทะเลได้ทั้งทิศเหนือ ซึ่งมีเมืองนครศรีธรรมราชและอยุธยาตั้งอยู่ และทะเลทิศใต้ ที่มีเมืองปัตตานี ยะโฮร์ ปัตตาเวีย มะละกาตั้งอยู่ และเส้นทางเชื่อมระหว่างทิศเหนือและทิศใต้นี้เองที่เป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางการค้าทางทะเลที่ทำให้เมืองซิงโกรามีความสำคัญและมีความหมายขึ้นมา
ป้อมที่ 9 ลักษณะผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9.60 เมตร ยาว 10.20 เมตรสูง 5 เมตร มีใบบังทั้งสี่ด้าน ระหว่างใบบังจะมีช่องมองซึ่งจะต้องมองเฉียงจึงจะมองเห็นภายนอกได้ ส่วนค้ำยันฐานผนังป้อมทางด้านตะวันออก ตะวันตกและทิศเหนือ ป้อมนี้อยู่บนพื้นราบเชิงเขาน้อยทางทิศตะวันตก 300 เมตร ห่างจากป้อมที่ 1 ไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1,072 เมตร ตั้งอยู่ริมถนนสังเกตได้ง่ายและสะดุดตาที่สุด เรียกกันโดยทั่วไปว่า ป้อมเมือง ถือเป็นป้อมสำคัญของเมืองสิงหนครในยุคปัจจุบัน เนื่องจากมีการใช้รูปลักษณ์ของป้อมดังกล่าวสะท้อนอัตลักษณ์ของความเป็นคนสิงหนคร คนหัวเขา คนเขาแดง ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สัญลักษณ์ของกลุ่มการเมืองท้องถิ่น สัญลักษณ์ของสภาวัฒนธรรมอำเภอ หรือแม้แต่ทีมฟุตบอล เป็นต้น
ป้อมที่ 10 ลักษณะผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 15 เมตร ยาว 30 เมตร สูง 3.50 เมตรปัจจุบันเหลือเฉพาะส่วนฐาน มีการก่อสร้างเจดีย์ลงบนป้อม 2 องค์ คือ เจดีย์องค์ขาว และ เจดีย์องค์ดำ ซึ่งเป็นเจดีย์ที่ ท่านดิศและท่านทัด สองพี่น้องในตระกูลบุนนาค ได้สร้างขึ้นเมื่อครั้งมาราชการสงครามในพื้นที่นี้ (รายละเอียดดูในเจดีย์องค์ขาว-องค์ดำ) ป้อมดังกล่าวตั้งอยู่บนเขาค่ายม่วง เป็นป้อมในแนวเมืองด้านทิศตะวันตกและอยู่ห่างจากป้อมที่ 7 ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 216 เมตร
ป้อมที่ 11 มีลักษณะเป็นเนินดิน กว้าง 6 เมตร ยาว 8 เมตร สูง 1.20 เมตร ตั้งอยู่บนเชิงเขาค่ายม่วงทางทิศใต้ มุมเมืองด้านทิศตะวันออก-ทิศใต้ ห่างจากป้อมที่ 10 ไปทางทิศใต้ประมาณ 755 เมตร
ป้อมที่ 12 ลักษณะเป็นเนินดิน กว้าง 8 เมตร ยาว 15 เมตร สูง 1.30 เมตร ตั้งอยู่บนพื้นภายในแนวป้อมเมืองด้านทิศใต้ ห่างจากป้อมที่ 3 ประมาณ 155 เมตร และห่างจากป้อมที่ 4 ประมาณ 215 เมตร
ป้อมที่ 13 ลักษณะเป็นเนินดิน กว้าง 7.50 เมตร ยาว 12.30 เมตร สูง 0.80 เมตร ตั้งอยู่ริมอ่าวไทย เป็นป้อมในแนวทิศตะวันตก ห่างจากป้อมที่ 1 ขึ้นไปทางทิศเหนือประมาณ 260 เมตร
ป้อมที่ 14 ลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 18.20 เมตร ยาว 20 เมตร สูง 0.90 เมตร พบร่องรอยอยู่ในทะเล เหนือป้อมที่ 13 ประมาณ 283 เมตร
เจดีย์องค์ขาว องค์ดำ เจดีย์ที่สร้างโดยสองพี่น้องจากกรุงรัตนโกสินทร์
ตั้งอยู่เหนือป้อมหมายเลข 10 เรียกเจดีย์องค์ขาว เจดีย์องค์ดำ เนื่องจากเจดีย์หนึ่งมีความชำรุดทรุดโทรมเนื้อปูนหลุดร่อนจนเห็นเป็นเนื้ออิฐอยู่ภายใน มองเห็นเป็นสีคล้ำ จึงเรียกว่าเจดีย์องค์ดำ ในขณะที่เจดีย์อีกองค์หนึ่งฉาบปูนปิดโครงสร้างเนื้อในของเจดีย์ไว้อย่างสมบูรณ์โดยเนื้อปูนดังกล่าวมีสีขาวยวง จึงเรียกเจดีย์นั้นว่า เจดีย์องค์ขาว และเรียกเจดีย์องค์ที่เห็นเนื้ออิฐภายในว่าเจดีย์องค์ดำ
เจดีย์องค์ดำนั้น สร้างขึ้นเมื่อครั้งพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) นำทัพมาชุมนุม ณ เชิงเขาบริเวณบ้านบนเมือง เมื่อครั้ง พ.ศ. 2376 ส่วนเจดีย์องค์ขาว สร้างขึ้นเมื่อพระยาศรีพิพัฒน์ รัตนราชโกษา (ทัด บุนนาค) นำทัพมายังบริเวณนี้เมื่อ พ.ศ. 2382 และด้วยเหตุที่ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน จึงเรียกเจดีย์นี้ว่า เจดีย์สองพี่น้องอีกชื่อหนึ่งด้วย
เจดีย์องค์ขาว องค์ดำ ถือเป็นจุดหมุดหมายที่สำคัญของการท่องเที่ยวเยี่ยมชมป้อมปราการของรัฐสุลต่านซิงโกรา ด้วยการอยู่บนยอดสุดของเขาค่ายม่วงซึ่งอยู่บนทิวเขาแดงอันเป็นปราการธรรมชาติของรัฐซิงโกรา จึงสามารถชมทัศนียภาพของเมืองสิงหนครและเมืองสงขลาได้ทั้ง 360 องศา และหากพิจารณาถึงประโยชน์ใช้สอยของป้อมปราการแห่งนี้เมื่อครั้งในอดีตกว่า 300 ปีก่อน ป้อมแห่งนี้ย่อมเป็นดุจดั่งหอสังเกตการณ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสามารถใช้ดูการเคลื่อนไหวในท้องทะเล ทั้งในฝั่งเหนือ ซึ่งมีอาณาจักรสำคัญเช่น นครศรีธรรมราชและอยุธยา ในขณะที่ฝั่งใต้ ก็สามารถดูการเคลื่อนไหวของเรือต่าง ๆ ที่มาจากปัตตานีและยะโฮร์ หรือแม้แต่ชวาได้ นอกจากการคอยสังเกตอริศัตรูแล้ว ก็ยังสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเรือพาณิชย์ต่าง ๆ ที่จะผ่านมาในเขตอำนาจของรัฐสุลต่านแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรือจากจีน ญี่ปุ่น อันนัม ปัตตาเวีย อินเดีย อาหรับ และฝรั่งชาติต่าง ๆ ได้อีกด้วย จึงนับว่านอกจากการเป็นจุดชมทัศนียภาพที่สำคัญและสวยงามอย่างในปัจจุบัน ที่แห่งนี้ ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของรัฐสุลต่านซิงโกราอีกด้วย
อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ การพิจารณาว่า เจดีย์ทั้งสองนี้ เป็นการก่อสร้างด้วยคตินิยมแบบพุทธลงบนป้อมปราการของรัฐสุลต่านซึ่งมีการใช้ศาสนาอิสลามเป็นธรรมนูญในการปกครอง ก็จะเห็นถึงความไม่ถือสาหาความกันในเรื่องศาสนาของคนในยุคโบราณ ด้วยเหตุที่การสร้างเจดีย์ทั้งสองนี้ไม่ได้ทำขึ้นด้วยการทำลายป้อมปราการเดิมให้สิ้นซาก ในทางกลับกัน มีการต่อเติมปรับปรุงป้อมให้แข็งแรงและสามารถรับน้ำหนักเจดีย์ทั้งสอง รวมไปถึงเก๋งศาลาแบบจีนที่ปัจจุบันเหลือโครงให้พอพิจารณาได้อยู่ กลายเป็นตัวแทนกลุ่มคน 3 วัฒนธรรมของที่นี่
นอกจากนี้ ที่เจดีย์วัดเขาน้อยซึ่งสร้างมาก่อนการกำเนิดขึ้นรัฐสุลต่านซิงโกรา และสันนิษฐานว่าต่อมาในช่วงรัฐสุลต่าน ตัวเจดีย์ที่รกร้างไปแล้วได้ถูกใช้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ในลักษณะของป้อมปราการเช่นเดียวกับป้อมปราการที่กล่าวมาข้างต้นด้วย อย่างไรก็ดี ไม่ได้มีการทำลายลักษณะเด่นของเจดีย์ให้สิ้นซากจนไม่สามารถสังเกตได้ว่าเจดีย์แห่งนี้เคยเป็นพุทธสถานมาก่อนแต่อย่างใด นับเป็นตัวอย่างของสันติธรรมที่ปรากฏขึ้นในดินแดนแห่งนี้ รัฐสุลต่านซิงโกรา นั่นเอง