“แหลมสน” เป็นชุมชนที่ขยายตัวขึ้นตามความเจริญทางการค้าและการเป็นศูนย์กลางทางการเมืองที่ค่อย ๆ มีมาตั้งแต่สมัยปลายอยุธยาและเจริญสูงสุดในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ปัจจุบันบ้านแหลมสน คือพื้นที่หมู่ที่ 2 ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา กินอาณาบริเวณตั้งแต่บริเวณบ่อเก๋งซึ่งเป็นโบราณสถานสำคัญของพื้นที่แถบนี้อีกแห่งหนึ่ง ต่อเนื่องมาถึงป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติฯ ซึ่งเป็นป่าชายเลนที่เกิดขึ้นโดยฝีมือมนุษย์และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามมกุฏราชกุมารี เคยเสด็จพระราชดำเนินมาถึง 2 ครั้ง ไล่ต่อมาจนถึงชุมชนแหลมสน ซึ่งเป็นชุมชนชาวพุทธตั้งอยู่ตรงโค้งปากน้ำสงขลา และมีวัดสุวรรณคีรี หนึ่งในจตุอารามตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางทางจิตใจของชุมชน ถัดมาริมชายฝั่งมีชุมชนบ้านจีนและท่าม้า เป็นอีกหย่อมบ้านหนึ่งที่น่าสนใจในเรื่องการเป็นชุมชนคนจีนที่สืบสานตำนานทหารเสือในยุคธนบุรี จนจรดกับขอบเขตของพื้นที่หมู่ที่ 3 บ้านนอก บริเวณฮวงซุ้ยตระกูล ณ สงขลา ซึ่งอยู่ด้านข้างของวัดภูผาเบิก อาณาบริเวณของแหลมสนจึงเป็นพื้นที่ราบที่อยู่ระหว่างภูเขาและริมน้ำของทะเลสาบสงขลา ซึ่งสร้างความสวยงามแปลกตาไปตามภูมิประเทศ สถาปัตยกรรมที่สอดคล้องกับถิ่นที่อยู่ และประเพณีวัฒนธรรมของผู้คนที่มีลักษณะเฉพาะไปตามภูมินิเวศของถิ่นแหลมสนแห่งนี้
มีคำกล่าวอยู่ว่า แหลมสน ไม่มีต้นสน แหลมทราย ไม่มีผืนทราย คำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวถึงสภาพในปัจจุบันของพื้นที่ทั้งสอง แหลมสน ของสิงหนครในปัจจุบันไม่เหลือต้นสน แม้แต่บ้านบ่อเตย ที่เคยมีต้นเตยชุกชุมจนสานเสื่อ สาด แชง เป็นสินค้าจำหน่ายยังต่างถิ่นก็ไม่เหลือต้นเตยให้เห็นแล้ว ในขณะที่แหลมทราย ของสงขลา ก็ไม่มีผืนทรายสวยงามที่เคยเล่าลือกันให้เห็นอีกต่อไป แต่สิ่งเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปตามวัฏจักรกาลเวลา เพราะปัจจุบัน แหลมสน มีป่าชายเลน ส่วนเลยแหลมทรายขึ้นไป ก็กลายเป็นแหลมสนอ่อนที่เต็มไปด้วยต้นสนและหาดทรายสวย กาลเวลาจึงได้เก็บความลับของการเปลี่ยนแปลงเอาไว้ รวมถึง “เมืองแหลมสน” ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ตั้งของเมืองสงขลา มีเจ้าเมืองและวัดวาอาราม ตลอดจนโบราณสถานทั้งหลายที่มีคุณค่าคู่ควรแก่ความเป็นเมืองหลวงทางการค้าที่ตั้งอยู่ปากน้ำทะเลสาบสงขลา
ถิ่นบ้านนามเมือง ของชุมชนแหลมสน สะท้อนความน่าสนใจของชุมชนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี เช่น ช่องเก๋ง และ บ่อเก๋ง ช่องเก๋งนั้นสะท้อนสภาพภูมิศาสตร์ที่สำคัญของหย่อมวัฒนธรรมแห่งนี้ ในแง่หนึ่งคือ การเป็นทางสัญจรลัดเชื่อมต่อระหว่างฟากบ้านบนเมือง-โพรงเข้-ศาลาย้ายจู้-สทิงหม้อ เข้ากับ แหลมสน ด้วยการที่ต้องเดินตัดแนวช่องเขามา ในอีกแง่หนึ่งก็สะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนพื้นถิ่นตอนในกับชาวจีนที่มีบทบาทอยู่ในบ้านแหลมสนในยุคอดีต ในขณะที่ บ่อเก๋ง เป็นดุจดั่งป้อมปากประตูเมืองทั้งทางบกและทางทะเลที่กั้นระหว่างเมืองแหลมสนกับพื้นที่ภายนอก เพราะบ่อเก๋งเป็นท่าน้ำที่ตั้งอยู่ปลายสุดของหัวเขาใหญ่ ซึ่งเป็นเสมือนกำแพงธรรมชาติที่บีบให้ผู้คนที่ต้องการสัญจรทางเท้าต้องผ่านบ่อเก๋งก่อนเข้าสู่เมืองแหลมสน ในขณะที่ผู้สัญจรทางทะเลมาจากด้านอ่าวไทยก็ต้องผ่านบ่อเก๋งเสียก่อนจึงจะเข้าเทียบท่าที่แหลมสนได้โดยสะดวก
บ่อเก๋ง ที่ประกอบด้วยประตูเมือง เก๋งที่พักแบบจีน และบ่อน้ำริมทะเลที่มีน้ำจืดอยู่ตลอดทั้งปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นป้อมปราการ ท่าน้ำ และแหล่งสาธารณูปโภคที่ให้บริการพ่อค้าวานิช ซึ่งถูกสร้างและดูแลด้วยคนจีน จึงสะท้อนความเป็นเมืองที่มีผู้ปกครองเชื้อสายจีนของแหลมสนได้เป็นอย่างดี
เช่นบ่อเตย-ช่องเก๋ง และโบราณสถานที่เรียกว่า บ่อเก๋ง ที่ประกอบด้วยประตูเมือง เก๋งที่พักแบบจีน และบ่อน้ำที่มีน้ำจืนอกจากนี้ ที่ดินบริเวณตรงข้ามกับป่าชายเลนนั้น จะมีคนเชื้อสายจีนในฝั่งอำเภอเมืองสงขลาถือครองอย่างถูกต้องและมีเอกสารสิทธิ์ครบถ้วน แม้จะไม่มีการก่อสร้างบ้านเรือนเพื่อพักอาศัยหรือแม้แต่การทำการเกษตรอย่างเป็นกิจจะลักษณะเลย ซึ่งสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ของเมืองที่พลเมืองของเมืองแหลมสนที่ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าชาวจีนได้ย้ายเมืองจากแหลมสนไปยังเมืองบ่อยางในช่วงรัชกาลที่ 3 เป็นต้นมา จึงอาจกล่าวได้ว่า “แหลมสน” คือพื้นที่สำคัญที่เป็นส่วนหนึ่งของพัฒนาการความเป็นชุมชนและเมืองของสงขลายุคแหลมสนและต่อไปยุคบ่อยางในเวลาต่อมา
ถัดมาจากที่ดินตรงข้ามป่าชายเลน ก็คือย่านที่มีผู้คนอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น พื้นที่ตรงนี้คือบ้านแหลมสน ซึ่งมีท่าเรือแหลมสนเป็นสัญลักษณ์และศูนย์กลางในการดำเนินชีวิตของคนในแถบนี้ และมีหย่อมบ้านที่สำคัญอีกแห่งที่ชื่อว่า “ในวัง” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเป็นจุดศูนย์กลางทางการปกครองของเจ้าเมืองเชื้อสายจีนในยุคอดีต ซึ่งตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ก็จะย้ายข้ามฝากไปยัง บ่อยาง อย่างในปัจจุบัน เล่ากันว่า คนแหลมสนนั้นทำประมงเป็นหลักมาแต่อดีต เพิ่งมาเปลี่ยนแปลงเป็นการประกอบอาชีพลูกจ้างราชการและเอกชนอย่างที่เห็นในปัจจุบันไม่นานนัก จุดเปลี่ยนที่สำคัญคือ ทรัพยากรประมงที่น้อยลงในช่วง 30 ปีที่ผ่านมาเป็นแรงผลักดันที่สำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอาชีพในลักษณะดังกล่าว
บริเวณที่ต่อเนื่องลงมา และเป็นที่ตั้งของวัดสุวรรณคีรี มีชื่อว่า ชุมชนบ่อเตย ซึ่งเล่ากันว่าแต่ก่อนนั้นบริเวณนี้เป็นทุ่งพรุ น้ำท่วมถึง ผู้คนประกอบอาชีพทำนา และด้วยความที่มีต้นเตยขึ้นอยู่ ก็จะงานหัตถกรรมที่โดนเด่นในอดีต อย่างการสานเสื่อสาดovd และการสานแชง ที่เป็นส่วยจังกอบที่ต้องส่งให้กับกรุงเทพในสมัยอดีต บริเวณนี้ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ทำนาของแหลมสน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตั้งถิ่นฐานและการขยายตัวของเมือง นอกจากนี้ บ่อน้ำใหญ่ที่สุดในพื้นที่นี้ที่เรียกว่า “บ่อทรัพย์” ก็อยู่ในหย่อมนี้ด้วย
บริเวณสุดท้าย คือชุมชนที่อยู่ริมฝั่งน้ำ ที่เรียกกันว่า บ้านจีน เป็นชุมชนชาวจีนเล็ก ๆ ที่เล่ากันว่าสืบเชื้อสายมาจากทหารชาวจีนในกองทัพของพระบาทสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตาก) โดยมีตาหลวงโภชี เป็นทวดบรรพบุรุษคนสำคัญที่ลูกหลานชาวบ้านจีนได้สืบสานความจำเชื่อมโยงไปถึงอดีต คนในชุมชนนี้เป็นทั้งช่างฝีมือในการทำงานไม้และทำเข็มขัดรัดประคด และการทำขนมหวาน ขนมจีน ที่ขึ้นชื่อในความอร่อย แต่น่าเสียดายว่า ทั้งสองอย่างนี้กลับไม่มีคนสืบทอดทำเป็นอาชีพต่ออีกแล้ว ด้วยคนรุ่นที่ทำได้นั้น ก็อยู่ในวัยชราเกินกว่าจะตรากตรำ ในขณะที่คนรุ่นถัดมา ก็มีอาชีพเป็นข้าราชการ พนักงานบริษัทเอกชนเสียส่วนมาก บริเวณหย่อมบ้านจีนนั้น มีท่าน้ำที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า “ท่าม้า” ซึ่งมีเรื่องเล่าเชิงตำนานว่า ในสมัยที่พระเจ้าตากเสด็จมาราชการสงครามที่แหลมสนนั้น ทรงบัญชาให้ใช้บริเวณดังกล่าวเป็นคอกม้าในกองทัพของพระองค์ ในความทรงจำของคนบ้านจีน ท่าม้า มีประโยชน์สำคัญ 3 อย่าง คือ การเป็นท่าเรือจ้างขนส่งผู้คนจากบ่อเตยไปยังที่ต่าง ๆ การเป็นตลาดขายปลาสด ขนม ของกิน ที่ขายกันทุกวัน และมีความคึกคักกินอาณาบริเวณตั้งแต่ ท่าน้ำไปจนถึงศาลาหน้าโรงเรียนวัดบ่อทรัพย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของบ้านเลขที่ 1 บ้านแหลมสน ตำบลหัวเขา อำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลาอีกด้วย และสุดท้ายคือการเป็นท่าเรือขึ้นศพของเสือร้ายและโจรสลัดคนสำคัญ ๆ ที่ญาติประสงค์ให้นำมาทำพิธีฌาปนะกิจที่เชิงตะกอนหน้าวัดบ่อทรัพย์ ในขณะที่ปัจจุบันนี้ ท่าม้า ไม่เหลือสภาพการเป็นตลาดอีกแล้ว และการใช้ประโยชน์ในฐานะท่าเรือจ้างก็แทบหมดไปเช่นกัน
วัฒนธรรม ประเพณี และการละเล่นที่น่าสนใจของแหลมสนที่หาดูได้ยากในปัจจุบันก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกกาลเวลากลืนหายไป แต่เดิมนั้น หย่อมบ้านจีน เป็นแหล่งรวมของยอดฝีมือทั้งในเรื่องการทอผ้าและทำขนม เสื่อและกระแชง มาจากถิ่นที่แห่งนี้ ขนมม้อฉีที่หาทานได้ยากก็เหลือเพียงความทรงจำของคนที่มีอายุ 60-70 ปีขึ้นไปเท่านั้น สภาพหาดทรายขาวทอดยาวจากแหลมสนไปจนเกือบถึงบ่อเก๋งเองก็เหลืออยู่ในความทรงจำของคนอายุ 40 ปีขึ้นไป และหากได้เดินเท้าเยี่ยมชมชุมชนแล้วได้พบกับบ้านที่สร้างจากอิฐที่ทำด้วยทรายผสมปูนอย่างหยาบ ๆ นั่นก็เป็นประจักษ์พยานหนึ่งของหาดทรายขาวที่บ้านแหลมสนในอดีต ในขณะที่ “แหลมหม้อ” ที่เคยเป็นแผ่นดินยื่นยาวออกจากบริเวณหน้าวัดสุวรรณคีรีและมีโรงเผาอิฐเผาหม้อตั้งอยู่ ก็ไม่มีผู้ใดได้เคยเห็น จดจำได้เพียงเรื่องเล่าที่คนอายุ 70 ขึ้นไปจำได้ว่าพ่อและปู่ของตนเองเคยได้เห็นเตาเผาหม้อเผาอิฐอยู่ที่บริเวณนี้เท่านั้นเอง
ประเพณีทางศาสนาที่น่าสนใจและเพิ่งหายไป คือ ประเพณีชักพระทางน้ำ ด้วยเมืองแหลมสนเป็นเมืองท่าริมน้ำ การสัญจรไปมาทางน้ำจึงเป็นเรื่องที่คนที่นี่มีความชำนาญ เมื่อถึงเทศกาลชักพระจึงมีการนำพนมพระแห่ออกจากวัดสุวรรณคีรี วัดบ่อทรัพย์ ไปลงน้ำที่ท่ากวาง โดยจะใช้เรือหางยาวสองลำต่อไม้กระดานเป็นฐานรองรับพนมพระ แล้วแห่ล่องน้ำไปที่บริเวณวัดแหลมทรายที่ฝั่งบ่อยาง นับเป็นประเพณีที่หาดูไม่ได้อีกแล้วในปัจจุบัน