เจดีย์องค์ขาวองค์ดำ
ตั้งอยู่เหนือป้อมหมายเลข 10 เรียกเจดีย์องค์ขาว เจดีย์องค์ดำ เนื่องจากเจดีย์หนึ่งมีความชำรุดทรุดโทรมเนื้อปูนหลุดร่อนจนเห็นเป็นเนื้ออิฐอยู่ภายใน มองเห็นเป็นสีคล้ำ จึงเรียกว่าเจดีย์องค์ดำ ในขณะที่เจดีย์อีกองค์หนึ่งฉาบปูนปิดโครงสร้างเนื้อในของเจดีย์ไว้อย่างสมบูรณ์โดยเนื้อปูนดังกล่าวมีสีขาวยวง จึงเรียกเจดีย์นั้นว่า เจดีย์องค์ขาว และเรียกเจดีย์องค์ที่เห็นเนื้ออิฐภายในว่าเจดีย์องค์ดำ
เจดีย์องค์ดำนั้น สร้างขึ้นเมื่อครั้งพระยาพระคลัง (ดิศ บุนนาค) นำทัพมาชุมนุม ณ เชิงเขาบริเวณบ้านบนเมือง เมื่อครั้ง พ.ศ. 2376 ส่วนเจดีย์องค์ขาว สร้างขึ้นเมื่อพระยาศรีพิพัฒน์ รัตนราชโกษา (ทัด บุนนาค) นำทัพมายังบริเวณนี้เมื่อ พ.ศ. 2382 และด้วยเหตุที่ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน จึงเรียกเจดีย์นี้ว่า เจดีย์สองพี่น้องอีกชื่อหนึ่งด้วย
เจดีย์องค์ขาว องค์ดำ ถือเป็นจุดหมุดหมายที่สำคัญของการท่องเที่ยวเยี่ยมชมป้อมปราการของรัฐสุลต่านซิงโกรา ด้วยการอยู่บนยอดสุดของเขาค่ายม่วงซึ่งอยู่บนทิวเขาแดงอันเป็นปราการธรรมชาติของรัฐซิงโกรา จึงสามารถชมทัศนียภาพของเมืองสิงหนครและเมืองสงขลาได้ทั้ง 360 องศา และหากพิจารณาถึงประโยชน์ใช้สอยของป้อมปราการแห่งนี้เมื่อครั้งในอดีตกว่า 300 ปีก่อน ป้อมแห่งนี้ย่อมเป็นดุจดั่งหอสังเกตการณ์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสามารถใช้ดูการเคลื่อนไหวในท้องทะเล ทั้งในฝั่งเหนือ ซึ่งมีอาณาจักรสำคัญเช่น นครศรีธรรมราชและอยุธยา ในขณะที่ฝั่งใต้ ก็สามารถดูการเคลื่อนไหวของเรือต่าง ๆ ที่มาจากปัตตานีและยะโฮร์ หรือแม้แต่ชวาได้ นอกจากการคอยสังเกตอริศัตรูแล้ว ก็ยังสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของเรือพาณิชย์ต่าง ๆ ที่จะผ่านมาในเขตอำนาจของรัฐสุลต่านแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรือจากจีน ญี่ปุ่น อันนัม ปัตตาเวีย อินเดีย อาหรับ และฝรั่งชาติต่าง ๆ ได้อีกด้วย จึงนับว่านอกจากการเป็นจุดชมทัศนียภาพที่สำคัญและสวยงามอย่างในปัจจุบัน ที่แห่งนี้ ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญที่สุดอีกแห่งหนึ่งของรัฐสุลต่านซิงโกราอีกด้วย โดยกรมศิลปากร ได้กำหนดว่าป้อมนี้ คือป้อมหมายเลข 10 ซึ่งมีลักษณะผังเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 15 เมตร ยาว 30 เมตร สูง 3.50 เมตรปัจจุบันเหลือเฉพาะส่วนฐาน ซึ่งมีเจดีย์องค์ขาว องค์ดำ และศาลาเก๋งจีนสร้างขึ้นเหนือป้อมนี้
อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือการพิจารณาว่า เจดีย์ทั้งสองนี้ เป็นการก่อสร้างด้วยคตินิยมแบบพุทธลงบนป้อมปราการของรัฐสุลต่านซึ่งมีการใช้ศาสนาอิสลามเป็นธรรมนูญในการปกครอง ก็จะเห็นถึงความไม่ถือสาหาความกันในเรื่องศาสนาของคนในยุคโบราณ ด้วยเหตุที่การสร้างเจดีย์ทั้งสองนี้ไม่ได้ทำขึ้นด้วยการทำลายป้อมปราการเดิมให้สิ้นซาก ในทางกลับกัน มีการต่อเติมปรับปรุงป้อมให้แข็งแรงและสามารถรับน้ำหนักเจดีย์ทั้งสอง รวมไปถึงเก๋งศาลาแบบจีนที่ปัจจุบันเหลือโครงให้พอพิจารณาได้อยู่ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ จะปรากฏที่เจดีย์วัดเขาน้อย ซึ่งตัวเจดีย์สร้างมาก่อนการกำเนิดขึ้นรัฐสุลต่านซิงโกรา และสันนิษฐานว่า พื้นที่ยอดสุดของเจดีย์ถูกใช้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ในสมัยรัฐสุลต่าน แต่ก็ไม่ได้มีการทำลายลักษณะเด่นของเจดีย์ให้สิ้นซากจนไม่สามารถสังเกตได้ว่าเจดีย์แห่งนี้เคยเป็นพุทธสถานมาก่อนแต่อย่างใด