ผ้าซิ่นตีนจก คือผ้าทอพื้นเมืองที่มีลวดลายซับซ้อนบริเวณชายผ้าด้านล่าง ใช้เทคนิค “จก” คือการใช้นิ้วมือล้วงเส้นพุ่งเพื่อสร้างลวดลาย เพื่อใช้ในโอกาสพิเศษหรือโอกาสสำคัญ ผ้าทอประเภทนี้ได้แก่ ผ้าซิ่นตีนจก ซึ่งสร้างชื่อเสียงและเกียรติภูมให้กับชาวไทยพวนศรีสัชนาลัยเป็นอย่างยิ่ง ลายตีนจกที่นิยมทอมีเก้าลาย ซึ่งมีชื่อเรียกขานว่า ลายเครือน้อย ลายเครือกลาง ลายเครือใหญ่ ลายมนสิบหก ลายสิบสองหน่วยตัด ลายน้ำอ่าง ลายท้องสอง ลายแปดขอ และลายสี่ขอผ้าซิ่นคนพวนศรีสัชนาลัยนั้นจะจะมีส่วนประกอบอยู่สามส่วน คือ หัวซิ่น ตัวซิ่น และตีนซิ่น ทั้งนี้เพราะสมัยโบราณนิยมทอด้วยฟืมหน้าแคบ "ตัวซิ่น" จะสั้นต้อง "ต่อหัว ต่อตีน" จึงจะนุ่งได้ตีนจกทั้งเก้าลายมีความวิจิตรงดงามแฝงไว้ด้วยแง่คิดอันทรงคุณค่า เป็นลายตีนซิ่นที่หญิงชาวไทยพวนศรีสัชนาลัยประดิดประดอยมาเป็นตีนซิ่นของตนเอง และด้วยภูมปัญญาที่ชาญฉลาดจึงบังเกิดตีนจกถึงเก้าลายอันควรค่าแก่การบันทึกไว้มีให้ลืมหลง
เมื่อทอเสร็จแล้วก็ทอตัวผ้าซิ่นซึ่งมีสีและลวดลายเหมาะสมกันตามที่มีกำหนดกฎเกณฑ์ไว้เป็นคู่สำหรับตีนนั้น ๆ เสร็จแล้วก็เอาตีนและตัวผ้าซิ่นมาเย็บติดต่อกันเป็นผ้าซิ่นสำเร็จรูป ใช้นุ่งได้เลยเรียกว่า “ผ้าซิ่นตีนจก” หญิงสาวจะต้องผ่านการฝึกหัดทอผ้าซิ่นตีนจกด้วยกันทุกคนเป็นอันว่าหญิงสาวทุกคนจะต้องมีผ้าซิ่นตีนจกเก็บไว้นุ่งเวลามีงานออกหน้าออกตาเป็นครั้งคราวไม่ใช่นุ่งพร่ำเพรื่อ ส่วนมากจะนุ่งเวลาไปทำบุญที่วัดใครไม่มีผ้าซิ่นตีนจกนุ่งจะต้องอายเพื่อนฝูงเพราะส่อแสดงว่าตนเป็นคนเกียจคร้าน ไม่เอาการเอางาน แม้แต่บรรดาหนุ่มๆก็ไม่สนใจมอง เนื่องด้วยการทอผ้าซิ่นตีนจกนี้ต้องใช้ความเพียรพยายามและความละเอียดลออมาก ทั้งต้องใช้เวลาทอนานมาก ดังนั้นผ้าซิ่นตีนจกนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของผู้นุ่งว่า เป็นคนขยันหมั่นเพียรผู้ที่ได้ฝึกหัดทอผ้าซิ่นตีนจกแล้วทำให้มีความรู้ความสามารถที่จะทอผ้าอื่นๆ ได้มีความเป็นสาวโดยสมบูรณ์พร้อมที่จะแต่งงานมีเย้ามีเรือนได้และจะเป็นแม่บ้านแม่เรือนที่ดีด้วย
วิธีการนุ่งผ้าซิ่น
ผ้าซิ่นตีนจก 9 ลาย
ลายเครือน้อย เป็นลายโบราณเรียกหน่วยเครือน้อย โครงสร้างของลายหลักเป็นลายง่ายๆ มีลายประกอบไม่มากเป็นลายที่ให้เด็กผู้หญิงฝึกหัดทอผ้าตีนจก โดยลายประกอบเน้นลายนกหมู่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะลาย ซึ่งลายแบบอื่นๆ จะไม่นิยมนำลายนกหมู่ไปประกอบร่วมและมีลายประกอบ อื่นๆ เช่น ลายฟันปลา ลายสร้อยหมากและลายสร้อยสา โดยในสมัยโบราณลายเครือน้อยนิยมต่อกับช่นมุก
ลายเครือกลาง โบราณเรียกลายหน่วยเครือกลาง โครงสร้างของลายหลักที่มีกรอบรูปร่างคล้ายลายเครือน้อยเพียงแต่มีการเพิ่มลวดลายมากขึ้นโดยลายประกอบเน้นลายนกคาบดอกไม้ลายพันคิง ลายดอกหมี่ และลายสร้อยสาในสมัยโบราณนิยมต่อกับชิ่นเข็น
ลายเครือใหญ่ โบราณเรียกหน่วยเครือใหญ่ โครงสร้างของลายหลัก มีดอกไม้อยู่ตรงกลางเครือซึ่งลายเครือน้อยและลายเครือกลางไม่มี โดยลายประกอบเน้นลายนกคุ้ม ลายนกคาบดอกไม้ ลายพันคิงลายเครือขอในสมัยโบราณนิยมต่อกับชิ้นมุก
ลายมนสิบหก โบราณเรียกหน่วยสิบหก โครงสร้างของลายผ้าหลักทำเป็นมุมสิบหกมุมรูปรางของลายมีลักษณะกลม ภาษา พื้นเมืองจะเรียกว่า มน (กลม) ลักษณะคล้ายกับลายแปดขอ แต่มีขนาดใหญ่กว่าเป็นลวดลายที่งดงามกว่าลายอื่นๆโดยลายประกอบเน้นลายอาจจะมีลายนกคาบดอกไม้ ลายดอกหมี่ ลายสร้อยสาโบราณนิยมต่อกับซินเติบ
ลายสิบสอง หน่วยตัด โบราณเรียกสิบสอง หน่วยหรือสิบสองหน่วยตัดโครงสร้างของลายผ้าหลักเป็นรูป ขอสิบสองขอ ประกอบกันเป็นดอกที่มีขาพันทำเป็นสามเหลี่ยมและยังมีนกคาบหรือหงส์ตัวเล็กอยู่ตรงกลางของแม่ลายด้วย โบราณนิยมต่อกับชื่นตาหว้า
ลายสองท้อง โบราณเรียกหน่วยสองท้องโครงสร้างลายหลักเหมือนลายน้ำอ่างแต่มีขนาดใหญ่กว่าคือนอกจากมี นกใหญ่สองตัวคาบดอกไม้ร่วมกัน แล้วยังมีนกสองตัวขนาดเล็กคาบดอกไม้รวมอยู่ด้วย ทำให้ลายสองท้อง มีลักษณะใหญ่กว่าลายอื่นๆ ทำให้มีลักษณะลวดลายพิเศษแปลกตาเพราะครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ และครึ่งหนึ่งเป็นสีแดง ลายประกอบนิยม ลายฟันปลาลายนกคาบดอกไม้ ลายโง๊ะ (ลายผีเสื้อ) ลายสร้อยสา โบราณ นิยมต่อกับชื่นน้ำอ่าง
ลายน้ำอ่าง โบราณเรียกหน่วยน้ำอ่าง โครงสร้างลายหลัก มีนกหงส์สองตัวคาบดอกไม้ร่วมกันคล้ายกับว่าหงส์สองตัวคาบดอกไม้ในอ่างน้ำ ลายประกอบได้แก่ ลายสร้อยสาลายนกคาบดอกไม้ ลายสร้อยพร้าวลายนกคุ้ม ลายดังกล่าวเป็นลายที่สตรีชาวพวนศรีสัชนาลัย นิยมทอใส่กันมากที่สุด เนื่องจากเป็นลายที่มีความสะดุดตา โบราณนิยมต่อกับชิ่นเข็น
ลายสี่ขอ โบราณเรียกหน่วยสี่ขอ เป็นลายขนาดเล็ก โครงสร้างของลายผ้ามีลายประกอบ คือ ลายเครือขอลายนกคาบดอกไม้ ลายสร้อยสา ส่วนใหญ่เป็นผ้าชิ่นสำหรับเด็ก โบราณนิยมต่อกับ ชิ่นตาหว้า
ลายแปดขอ โบราณเรียกหน่วยแปดขอ โครงสร้างของลายผ้าเหมือนกับลายมนสิบหก คือเป็นลายที่มีเป็นมุมแต่ย่อขนาดให้เล็กลงโบราณนิยมต่อกับซินอ้อมแดง
แหลางข้อมูลจาก :