วัดสูงเม่น เป็นวัดที่มีโบราณวัตถุล้ำค่าที่น่าสนใจ ทั้งพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ พระพุทธรูปถอดชิ้นส่วนได้ เจดีย์วัดสูงเม่น พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทยและภาษาบาลี และคัมภีร์ใบลานที่สมบูรณ์มากที่สุดในประเทศไทย ภายในวัดประกอบด้วยศาสนสถานหลายแห่ง ทั้งพระอุโบสถ อันเก่าแก่ศิลปะแบบล้านนา สันนิฐานว่ามีอายุไม่น้อยกว่า ๒๐๐ ปี โครงสร้างเป็นแบบทรงล้านนาพื้นเมือง ส่วนลวดลายล้านนาพื้นเมืองปนศิลปะพม่า มีเสาจำนวน ๑๖ ต้น ลงรักสีดำ เขียว วาดลวดลายเถาวัลย์สีทอง เสาแต่ละต้นมีลวดลายที่แตกต่างกัน เพดานงดงามด้วยลวดลายแบบพม่า หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบดินเผาหน้าบันสลักเป็นรูปนาศีเกี้ยวน่ามอง สำหรับพระประธานในพระอุโบสถ คือ หลวงพ่อโต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สำหรับเจดีย์วัดสูงเม่น เป็นเจดีย์ทรงหกเหลี่ยมบรรจุพระบรมธาตุและสารีริกธาตุซึ่งครูบากัญจนอรัญญวาสีมหาเถร นำมาแต่ประเทศพม่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๘๓ หอพระไตรปิฎก เป็นตึกชั้นเดียว พื้นเทคอนกรีต หลังคามุงด้วยกระเบื้องซีเมนต์ มีรางน้ำล้อมรอบเพื่อป้องกันมด ปลวก และแมลงต่างๆ ภายในบรรจุพระไตรปิฎกฉบับพื้นเมือง คัมภีร์ธรรม และวรรณกรรมล้านนาที่ครูบามหาเถรเจ้านำมาไว้ ถือว่าเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวรรณกรรมภาษาล้านนามากที่สุดใประเทศไทย ประเพณีสำคัญของวัดแห่งนี้คือ “ตากธรรม ตานข้าวใหม่ หิงไฟพระเจ้า” จัดขึ้นในเดือนมกราคม โดยตากธรรม คือการนำคัมภีร์ธรรมใบลาน ที่เก็บรักษาไว้ในหอไตร ออกมาตาแดดเพื่อไล่ความชื้น การตานข้าวใหม่ คือการทำบุญหลังฤดูการเก็บเกี่ยว ด้วยข้าวที่เก็บเกี่ยวใหม่ และการหิงไฟพระเจ้า เป็นความเชื่อที่มาจาก สภาพภูมิอากาศอันหนาวเย็นมากของภาคเหนือ จึงมีการหาไม้ฟืนมาจุดเผาผิงให้พระพุทธรูปคลายหนาว หากใครได้กระทำเช่นนี้ก็นับว่าจะได้อานิสงส์ผลบุญแรงกล้า
วัดสูงเม่น เป็นสถานที่ที่เก็บรวบรวมคัมภีร์คู่บ้านคู่เมืองที่มีความสมบูรณ์มากและมีคัมภีร์ใบลานจำนวนมากที่สุดในโลก เกิดจากครูบามหาเถร ผู้ที่ศึกษาพระธรรมจนแตกฉาน และแสวงบุญไปยังเมืองต่างๆ ได้มองเห็นถึงคุณค่าความสำคัญจึงเก็บรวบรวมและรักษาคัมภีร์ใบลานไว้ที่วัดสูงเม่นเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยคัมภีร์ใบลานนั้นเกิดจากการจารจารึกตัวอักษรขึ้น เพื่อเป็นการสืบทอดคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะกลัวว่าจะสูญหายไป ซึ่งแต่เดิมนั้นคัมภีร์บาลีสืบทอดกันมาด้วยมุขปาฐะ ภาษาบาลีจึงไม่มีตัวอักขระ เป็นเพียงเสียงเท่านั้น ดังนั้นการจารจารึกคัมภีร์บาลี จึงใช้ตัวอักขระของท้องถิ่นต่างๆที่ออกเสียงตรงกัน แบ่งเป็น ๔ จารีตคือ คัมภีร์ใบลานอักษรสิงหล อักษรพม่า อักษรขอมและอักษรธัมม์ในล้านนา พระธรรมคำสอนมีด้วยกันถึง ๘๔,๐๐๐ ถึงจะถูกจารึกเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ในใบลาน แต่ใบลานเป็นวัสดุที่มีอายุจำกัดไม่สามารถอยู่ได้ตลอดไป ก่อนที่จะผุกร่อนไปตามกาลเวลาจึงต้องมีการคัดลอกขึ้นใหม่อยู่เสมอ การที่จะคัดลอกคัมภีร์ใบลานได้นั้นต้องอาศัยความชำนาญของผู้จารทั้งยังต้องมีความรู้ด้านอักขระโบราณที่สามารถอ่านและเขียนได้จึงจะจารได้อย่างถูกต้อง ถูกงาม และต้องใช้เวลานาน ปัจจุบันผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านอักขระโบราณมีจำนวนน้อย และเทคโนโลยีการพิมพ์ที่ทันสมัยมากขึ้น ทำให้คัมภีร์ใบลานถูกปล่อยปละละเลย ถูกทำลายและสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย คัมภีร์ที่เหลืออยู่บ้างส่วนนั้นถูกเก็บไว้ตามหอไตรหรือพิพิธภัณฑ์โดยไม่มีการนำมาศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง
วัดพระหลวง(ธาตุเนิ้ง) พระธาตุเนิ้งที่มีลักษณะเอียง ที่เพิ่งได้รับการบูรณะใหม่แต่ยังคงความงดงามแบบดั้งเดิม ซึ่งถ้าดูจากลักษณะขององค์พระธาตุที่มีสถาปัตยกรรมการก่อสร้างเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ซึ่งเป็นศิลปะในยุคสุโขทัยซึ่งคาดว่าน่าจะมีอายุราว ๗๐๐ ปีซึ่งนับว่าเป็นพระธาตุที่มีความเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในจังหวัดแพร่ จึงเป็นพระธาตุที่บ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ณ ดินแดนแห่งนี้ว่ามีมาอย่างยาวนานและมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์ระหว่างล้านนาและสุโขทัยมาตั้งแต่อดีต ซึ่งในช่วงหนึ่งได้ถูกทิ้งร้างจนกระทั่งถึงปี พ.ศ.๒๓๓๐ ได้มีชนกลุ่มไทลื้อ ชาวเชียงแสน จังหวัดเชียงราย พากันอพยพลงมาทางใต้ถึงบ้านสูงเม่น จังหวัดแพร่ โดยมีพระภิกษุสามเณรและชาวบ้าน ๓ วัด ๓ หมู่บ้าน มาสร้างบ้านเรือนเป็นหมู่บ้านขึ้น และช่วยกันบูรณะปฏิสังขรณ์วัดร้าง ตลอดจนพระประธานองค์ใหญ่ในวิหาร และให้ชื่อวัดนี้ว่า “วัดพระหลวง” และหมู่บ้านนี้ว่า “บ้านพระหลวง”
วัดพระหลวง ตั้งอยู่ที่ตำบลพระหลวง (ดอนมูล) อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ ไม่ปรากฎหลักฐานที่ชัดเจนว่าสร้างขึ้นในสมัยใด แต่จากประวัติตำนานวัดพระหลวง ซึ่งเรียบเรียง โดยพระครูปัญญาภิชัย อภิชโย เจ้าอาวาสรูปที่ ๑๓ เมื่อพุทธศักราช ๒๕๐๙ ได้กล่าวไว้ว่า แต่เดิมเป็นพื้นที่วัดร้างมาก่อน เรียกว่า ป่าดงหลวง ต่อมา ในราวพุทธศักราช ๒๓๓๐ พระยากาวิละยกทัพไปตีพม่าที่ตั้งมั่นอยู่ที่เมืองเชียงแสน และกวาดต้อนชาวเชียงแสนจำนวนหนึ่งลงมาอยู่ที่เมืองแพร่ ชาวเชียงแสน ซึ่งมีพระภิกษุ สามเณร และชาวบ้านจากสามวัดสามบ้าน คือ วัดบ้านกวาว เจ้าอาวาสชื่อ ครูบากวาว วัดบ้านสบชันหรือสบจัน เจ้าอาวาสชื่อครูบาสบชัย วัดบ้านหัวโปง เจ้าอาวาสชื่อ ครูบาสุทธะ เจ้าอาวาสทั้งสามรูปได้นำชาวบ้านมาถึงบริเวณป่าดงหลวงแห่งนี้ และร่วมกันตั้งหมู่บ้านบูรณะวัดร้างในบริเวณดงหลวงขึ้น โดยตั้งชื่อวัดว่า "วัดหลวง" หรือ "วัดหลวงด่าน" เพราะบริเวณอำเภอสูงเม่นในขณะนั้นมีลักษณะเป็นด่านทางทิศใต้ของเมืองแพร่
วัดศรีดอก ตั้งอยู่ในท้องที่หมู่ที่ ๓ ต.หัวฝาย อ.สูงเม่น จ.แพร่ ถือว่าเป็นวัดที่เก่าแก่อีกวัดหนึ่งของจังหวัดแพร่ ปัจจุบันนี้ มี พระอธิการสมบูรณ์ ประภากโร เป็นเจ้าอาวาส โดยเจ้าอาวาสวัดศรีดอก ได้เล่าถึงความเป็นมาของวัดศรีดอกและพระเจ้านั่งดิน ดังนี้ วัดศรีดอก ไม่ได้มีการบันทึกประวัติไว้แต่มีการเล่าสืบกันต่อมา จนถึงวันนี้ก็ไม่สามารถหาหลักฐานพบได้ แต่มีตำนานเล่ากันมาว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้า ได้เสด็จมาทางทิศใต้ พระพุทธองค์ได้ทรงประทับใต้ต้นโพธิ์ ในขณะนั้นก็ได้มีพวกลัวะพวกแจ๊ะได้มาหาปลาตามหนองแห่งนี้ จึงได้มาพบพระพุทธเจ้า เข้าใจว่าและสงสัยว่าเป็นยักษ์เพราะไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้ามาก่อน ก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีกันไปคนละทิศละทาง พระพุทธเจ้าก็ตรัสเรียกให้กลับคืนมาว่า เราไม่ใช่ยักษ์เราเป็นพระตถาคตพวกกลัวพวกแจ๊ะบางพวกก็เชื่อ บางพวกก็ไม่เชื่อ พวกที่เชื่อก็กลับมา พวกที่ไม่เชื่อก็ไม่กลับ บ้างก็กล้าๆ กลัวๆ พวกที่ยังไม่เชื่อพระพุทธเจ้าจึงได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ให้ดูโดยทำให้ต้นโพธิ์ (ต้นศรี) บานดอกมีกลิ่นหอมตลบไปทั่ว มีสีที่สวยงามมาก พวกกลัวพวกแจ๊ะได้เห็นแล้วก็พากันไปบอกพวกที่ยังอยู่บ้านให้ทราบ ก็พากันมาดูพระพุทธเจ้าและดอกโพธิ์ (ดอกศรี) บานมากันหมดทั้งบ้านเลยละทิ้งฆ้อง(ละฆ้อง) ไว้ที่บ้าน สถานแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ร่องละฆ้องจนตราบเท่าทุกวันนี้ พวกกลัวพวกแจ๊ะได้รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าคนวิเศษก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส พระพุทธองค์ก็ตรัสว่า สถานแห่งนี้ต่อไปในภาคหน้าจะมีผู้มาสร้างรูปพระตถาคตไว้ ณ ที่นี่ซึ่งเป็นป่าดงดิบหนาทึบมีสัตว์ร้ายต่างๆมากมายเวลาต่อมาก็มีพวกม่านพวกเงี้ยวได้มาสร้างพระพุทธรูปขึ้นมาองค์หนึ่งไว้ในป่าแห่งนี้และได้สร้างวิหารขึ้นหลังหนึ่งเล็กๆซึ่งทำด้วยไม้ซาง(ไม่ไผ่)ทำเป็นฝาและเพดานหลังคามุงด้วยหญ้าคาพออาศัยทำพิธีทางศาสนาในสมัยนั้นทิ้งไว้ในป่า บางครั้งก็มีเสือได้มาอาศัยอยู่หลับนอนในวิหารหลังนี้เป็นประจำ ลำดับต่อมาก็มีผู้คนมาสร้างบ้านเรือนอยู่เป็นปึกแผ่นแน่นหนาจึงได้มีประเพณีจุดบ้องไฟ เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า ขอน้ำฟ้าน้ำฝนในเดือน ๙ เหนือแรม ๑๔ ค่ำ (เดือน ๙ ดับ) ในครั้งหนึ่ง สมเด็จพระวันรัต ได้มีโอกาสเดินทางมาเยี่ยมเยือนวัดศรีดอก เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๔ สมเด็จพระวันรัต เห็นว่าพระพุทธรูปองค์นี้แปลกกว่าพระพุทธรูปองค์ใดในประเทศไทย เพราะว่าประดิษฐานต่ำนั่งกับพื้นดิน สมเด็จพระวันรัตน์ จึงให้นามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธรูปนั่งดิน" ตั้งแต่บัดนั้นจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ สมเด็จพระวันรัตน์ ได้กำชับกับคณะศรัทธาวัดศรีดอก ห้ามโยกย้ายและยกฐานสูงกว่าเดิมเป็นอันขาด จนถึงปัจจุบันนี้ยังอยู่ในลักษณะเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลงพระเจ้านั่งดิน วัดศรีดอก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองสัมฤทธิ์ หน้าตักกว้าง ๖๐ นิ้ว สูง ๒ เมตร ปางสมาธิ ถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่สวยงามมากอีกองค์หนึ่งในจังหวัดแพร่ในบริเวณวัดศรีดอกยังมีของดีๆ และวิเศษอีกมายมาย อาทิ มีพระธาตุวิหารหลังปัจจุบัน ยังมีบ่อน้ำภายในมีฆ้องทองคำลูกหนึ่งเสียงไพเราะมาก มีลูกแก้ววิเศษอีกลูกหนึ่งวันดีคืนดี ยามดีจะออกมาปรากฏให้เห็น มีแสงสีคล้ายกับหลอดนีออนสวยงามมากนอกจากนี้ บริเวณรอบๆ วัดทั้ง ๔ ด้าน มีต้นตาล โดยครูบามหาเถร วัดสูงเม่นได้นำมาปลูกไว้และมีต้นลั่นทม (จำปาลาว) พ่อเจ้าคำลือ พ่อของแม่เจ้าคำป้อ ได้นำใส่หลังช้างมาจากตัวเมืองแพร่ มาปลูกต้นไม้เหล่านี้ไม่มีใครที่จะกล้าตัด เนื่องจากผู้ปลูกได้สาปแช่งเอาไว้
วัดปงท่าข้าม วัดปงท่าข้าม เพราะมีความเกี่ยวข้ององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเป็นนามวัด เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชน และปัจจุบันมีเจ้าอาวาส ชื่อ พระครูโกศลพิพัฒนคุณ เจ้าคณะอำเภอสูงเม่น
ประวัติการก่อสร้างและประวัติเจ้าอาวาสวัดปงท่าข้าม จากสมุดบันทึกประวัติและเหตุการณ์การสร้างวัดของพ่อมานพ นิลรวม หมอทำขวัญบ้านปงท่าข้าม ( ถึงแก่กรรมในปี ๒๕๕๕ ,อายุ ๗๘ ปี) ได้บันทึกความทรงจำไว้ว่า .. หน้าที่ ๑ : เดิมก่อนสร้างวิหารหลังที่ ๒ มีตุ๊เจ้าชื่อว่า ธรรมจัย ง็อก ปฏิบัติอยู่ที่วัดนี้มา ท่านผู้นี้มีเมตตาแผ่กว้างไปแนะนำช่วยแผ้วถางป่าหวายขึ้นที่บ้านปงป่าหวายพร้อมกับด้วยศรัทธาชาวบ้านตั้งเป็นวัดขึ้นมาจนตลอดทุกวันนี้ ราวประมาณเมื่อ พ.ศ ๒๔๓๗ ซึ่งตรงกับผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าวัดปงป่าหวายเป็นวัดลูกขึ้นของวัดปงท่าข้าม แล้วต่อมาพระในวัดปงท่าข้ามนี้ขาดไปไม่มีใครปกครองอยู่พระครูจัยลังกาเป็นผู้มาริเริ่มพร้อมศรัทธาชาวพี่น้องบ้านปงท่าข้ามทุกคนได้ช่วยกันตัดไม้ตัดเสามาสร้างขึ้น ตัวท่านก็นำไปตัดเอามาพร้อมกับศรัทธาปงท่าข้ามอย่างไม่ทอดทิ้งวิหารก็สำเร็จขึ้นด้วยดีสร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ ๒๔๖๕ ในขณะนั้นกำนันพรม ดอกผึ้ง เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่ในตำบลนี้ แล้วมีพ่อใหญ่ตัน จำปี เป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่ต่อจากนั้นมา ก็ได้สร้างกุฏิหลังหนึ่ง เป็นกระท่อมเล็ก ๆติดอยู่กับขอบรั้วด้านใต้หลังหนึ่งมีตุ๊เจ้าแก้ว ดอกผึ้งบวชขึ้นมาครอบครองอยู่แล้วต่อจากนั้นมีตุ๊เจ้าตา วัดหัวดงมาอยู่ต่อแล้วต่อจากนั้นก็มีตุ๊เจ้าพรม วัดพระหลวงมาอยู่ ต่อมาในเวลานั้นมีพ่อหนานธรรมทิ เป็นอาจารย์ เรียงต่อมาก็มีพ่อต๊ะ ศฤงคารเป็นอาจารย์อยู่มาไม่นานก็ได้อุปสมบท สามเณรต๋อ เวทย์มนต์ขึ้นเป็นพระสงฆ์ ตุ๊ลุงพรม ก็กลับคืนไปอยู่บ้านหลวงตามเคย ศรัทธาวัดพงท่าข้ามก็แต่งตั้งเอาตุ๊เจ้าต๋อ ปกครองต่อมา แล้วก็ได้สร้างกุฏิขึ้นหลังหนึ่ง เป็นกุฏิชั่วคราว แล้วอยู่ต่อมาจนได้แต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส แล้วได้สร้างกุฏิมาตรฐานขึ้นหลังหนึ่ง อยู่ต่อมาแล้วได้สร้างกำแพงวางผังก่อเป็นกำแพงไว้รอบสี่ด้าน แต่ไม่สำเร็จ แล้วได้ผูกพัทธสีมาขึ้นในครั้งนั้น โรงเรียนหลังแรกสร้างขึ้นหน้าวัดด้านตะวันออกเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๕ พ่อกำนันพรม พร้อมศรัทธาชาวบ้านปงได้สร้างขึ้น มีครูแสน บ้านสูงเม่น มาทำการสอนอยู่ประจำ รองลงมาก็มีครูนาค บ้านพระหลวงมาทำการสอน ต่อจากนั้นมีครูใหญ่เลิศ กล่าวแล้ว :ครูใหญ่คนที่ ๒ ปีพ.ศ. ๒๔๘๖ – ๒๕๐๕