ความหมายและความสำคัญของประเพณีท้องถิ่น
คำว่า “ท้องถิ่น” หมายถึง พื้นที่และขอบเขตที่ชุมชน หมู่บ้าน เมือง มีการพบปะ เชื่อมสัมพันธ์กันทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม จนปรากฏรูปแบบทางวัฒนธรรมที่เหมือนกัน และแตกต่างกันไปจากชุมชน หมู่บ้าน และเมือง ในท้องถิ่นอื่น วัฒนธรรมประเพณี ของแต่ละท้องถิ่นมีมากมายและครอบคลุมการดำเนินชีวิตทุกด้านของผู้คนที่อาศัยในท้องถิ่นนั้นๆ ทั้งทางด้านอาหาร เครื่องแต่งกาย ที่อยู่อาศัย ศิลปะ ศาสนา และลัทธิความเชื่อ ยารักษาโรค ประติมากรรมหัตถกรรม และการดำรงชีวิตตามสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ดังนั้นวัฒนธรรมและประเพณีของท้องถิ่นแต่ละแห่งอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ ทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อม
1.ด้านอาหาร ตัวอย่างของวัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ ประเพณีเลี้ยงข้าวแลงขันโตกหรือกิ๋นข้าวแลงขันโตก เป็นประเพณีของชาวล้านนา ผู้ที่อาศัยอยู่ในจังหวัดทางภาคเหนือตอนบนและใช้ภาษไทยเหนือเป็นภาษาพูด มีการตกแต่งสถานที่อย่างสวยงามมีอาหารภาคเหนือมากมายหลายชนิด เจ้าภาพ และแขกเหรื่อจะแต่งกายแบบพื้นเมืองทั้งชายหญิง
งานเลี้ยงขันโตกจะเริ่มด้วยขบวนแห่นำขบวนขันโตกด้วยสาวงามช่างฟ้อน ตามมาด้วยคนหาบกระติบหลวง ขบวนแห่นี้จะผสมผสานกับเสียงดนตรีโห่ร้องแสดงความชื่นชมยินดี เมื่อมาถึงงานเลี้ยงแล้วก็จะนำกระติบหลวงไปวางไว้กลางงานแล้วนำข้าวนึ่งในกระติบแบ่งปันใส่กระติบเล็กๆแจกจ่ายไปตามโตกต่างๆ จนทั่วบริเวณงาน ซึ่งมีโตกใส่สำรับกับข้าวเตรียมไว้ก่อนแล้ว อาหารที่เลี้ยงกันนั้นมีข้าวนึ่งกับข้าวแบบของชาวเหนือ คือ แกงฮังเล แกงอ่อม แกงแค ไส้อั่ว น้ำพริก อ่อง น้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ผักสด และของหวาน เช่น ขนมปาด ข้าวแต๋น เป็นต้น
2.ด้านศาสนาและลัทธิความเชื่อ วัฒนธรรมในด้านนี้ ได้แก่ งานทำบุญตานก๋วยสลากหรือ การทำบุญสลากภัต (ทานสลาก) ประเพณีการสืบชะตา เป็นต้น
งานทำบุญตานก๋วยสลากหรือการทำบุญสลากภัต (ทานสลาก) จะทำในช่วงวันเพ็ญเดือน 12 (วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12) ถึงเดือนเกี๋ยงดับ (วันแรม 15 ค่ำ เดือน 12) หรือราวเดือนตุลาคม – พฤศจิกายนของทุกปี ชาวเหนือหรือชาวล้านนาไทยจะทำบุญตานก๋วยสลากหรือกิ๋นก๋วยสลาก
3. งานประเพณีการสืบชะตาหรือการต่ออายุ ได้รับอิทธิพลจากพระพุทธศาสนากระทำขึ้นเพื่อยืดชีวิตด้วยการทำพิธีเพื่อให้เกิดพลังรอดพ้นความตายได้ เป็นประเพณีที่คนล้านนานิยมกระทำจนถึงทุกวันนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ ประเพณีการสืบชะตาคน ประเพณีการสืบชะตาบ้าน และสิบชะตาเมือง
การสืบชะตาคนจะกระทำขึ้นเมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือหมอดูทายทักว่าชะตาไม่ดีชะตาขาด ควรจะทำพิธีสะเดาะเคราะห์และสืบชะตาต่ออายุเสีย จะทำให้แคล้วคลาดจากโรคภัยและอยู่ด้วยความสวัสดีต่อไป ซึ่งเป็นเช่นเดียวกับการสืบชะตาบ้านและการสืบชะตาเมืองอันเป็นอุบายให้ญาติพี่น้องและผู้เกี่ยวช้องมารวมกัน เพื่อให้กำลังใจและปรึกษาหารือในการแก้ปัญหาบ้านปัญหาเมืองให้สำเร็จลุล่วงไป
วัดพระหลวงธาตุเนิ้ง อำเภอสูงเม่น จ.แพร่ อยู่ที่ตำบลดอนมูล เลี้ยวซ้ายที่บ้านหัวดงเข้าไป 700 เมตร มีเจดีย์เก่าศิลปะสุโขทัย ชาวบ้านเรียกว่า ธาตุเนิ้ง มีความหมายว่า เอียง เป็นโบราณสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งสถานที่ตั้ง ตั้งอยู่ที่บ้านพระหลวง ตำบลพระหลวง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่
ประวัติความเป็นมา
วัดพระหลวงธาตุเนิ้งสร้างขึ้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ โดยกลุ่มคนที่อพยพมาจากเมืองเชียงแสนสร้างโบราณสถานพระธาตุเนิ้ง เป็นเจดีย์มีลักษณะเอียงอาจเกิดจากแผ่นดินไหว องค์พระธาตุเลยเอียง หรือเนิ้ง จึงเรียกว่า วัดพระหลวงธาตุเนิ้ง
" ประเพณีตากธรรม" (ธรรม ในล้านนา หมายถึง คัมภีร์ใบลาน) เป็นประเพณีโบราณที่ครูบากัญจนอรัญวาสีมหาเถรได้ให้กุศโลบาย เพื่อเก็บรักษาและสืบต่อวรรณกรรม คัมภีร์ให้ยืนยาว โดยมีกระบวนการในการรักษาคัมภีร์ผ่านพิธีกรรมความเชื่อ โดยการนำคัมภีร์โบราณ ปั๊บสา ที่อยู่ในหอไตร ออกมาตากแดด ควบคุมความชื้น เก็บรักษาโดยการห่อผ้าและการเขียนคัมภีร์ชุดใหม่ขึ้นมาโดยประเพณีตากธรรม มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้ใหม่และการสืบทอดคัมภีร์ใบลาน กล่าวคือก่อนที่จะมีประเพณีตากธรรม ประมาณเดือน ๔ เหนือ ของทุกปี พระสงฆ์และชาวบ้านจะใช้ความรู้ด้านพุทธศาสนาและความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ตนมีอยู่มาเขียน หรือ บันทึก เรื่องราวของชุมชน ก่อนที่จะนำมาเทศน์ (บอกเล่า) และร่วมแห่งฉลองในพิธรตากธรรม หลังจากนั้นก็ถวายคัมภีร์ธรรมเหล่านั้นให้กับวัดจนกลายเป็น "ประเพณีตากธรรม"
" ประเพณีตากธรรม" (ธรรม ในล้านนา หมายถึง คัมภีร์ใบลาน) เป็นประเพณีโบราณที่ครูบากัญจนอรัญวาสีมหาเถรได้ให้กุศโลบาย เพื่อเก็บรักษาและสืบต่อวรรณกรรม คัมภีร์ให้ยืนยาว โดยมีกระบวนการในการรักษาคัมภีร์ผ่านพิธีกรรมความเชื่อ โดยการนำคัมภีร์โบราณ ปั๊บสา ที่อยู่ในหอไตร ออกมาตากแดด ควบคุมความชื้น เก็บรักษาโดยการห่อผ้าและการเขียนคัมภีร์ชุดใหม่ขึ้นมาโดยประเพณีตากธรรม มีความเกี่ยวข้องกับการสร้างความรู้ใหม่และการสืบทอดคัมภีร์ใบลาน กล่าวคือก่อนที่จะมีประเพณีตากธรรม ประมาณเดือน ๔ เหนือ ของทุกปี พระสงฆ์และชาวบ้านจะใช้ความรู้ด้านพุทธศาสนาและความรู้ในศาสตร์ต่างๆ ที่ตนมีอยู่มาเขียน หรือ บันทึก เรื่องราวของชุมชน ก่อนที่จะนำมาเทศน์ (บอกเล่า) และร่วมแห่งฉลองในพิธรตากธรรม หลังจากนั้นก็ถวายคัมภีร์ธรรมเหล่านั้นให้กับวัดจนกลายเป็น "ประเพณีตากธรรม"
"ตานข้าวใหม่ "
ทุกปีในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๔ เหนือ (ประมาณเดือน มกราคม ) ชาวพุทธศาสนาล้านนา มีประเพณีตานข้าวใหม่ และหิงไฟพระเจ้า ซึ่งเป็นประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่โบราณ วัดสูงเม่นก็เช่นกันในทุกๆ ปี เมื่อถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๔ ชาวบ้านจะนำข้าวใหม่ที่ได้เก็บเกี่ยวจากนาเข้ายุ้งฉาง ที่บ้านแล้วจะนำมานึ่งให้สุกเพื่อนำมาตัดบาตร ตานขันข้าว อุทิศไปให้พ่อแม่ และบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ก่อนที่จะนำมารับปรระทาน และปัจจุบันนี้ได้มีการนำข้าวใหม่มาทำเป็นข้าวหลาม แล้วนำมาใส่บาตร พร้อมกันนี้ในวันเดียวกันก็ยังมีประเพณีหิงไฟพระเจ้าด้วย
"หิงไฟพระเจ้า"
หิงไฟพระเจ้า คือ การนำไม้ขนาดขนาดกว้าง ๑ นิ้ว ยาวประมาณ ๔๐-๕๐ นิ้ว มาเหลาปอกเปลือกแล้วทาสีเหลือง พอถึงวันพระก็นำไม้ไปประเคนพระประธานในโบสถ์แล้วนำไม้เหล่านั้น มารวมกันทำเป็นกระโจมไว้หน้าโบสถ์พอถึงเวลาก็ทำพิธีจุดไฟ ซึ่งในอดีตพิธีนี้ปฏิบัติกันเพื่อให้ความอบอุ่นในฤดูหนาวแก่พระสงฆ์และผู้มาทำพิธีในวัด
การบูชาคุณของพระพุทธเจ้า สืบต่ออายุพระพุทธศาสนา ขอน้ำฝน เชื่อมความ สมัครสมานสามัคคี แสดงการละเล่นการบูชาคุณของพระพุทธเจ้า ชาวเหนือส่วนมากนับถือพระพุทธศาสนา เมื่อถึงเทศกาลเดือน 6 ซึ่งเป็นวันประสูติ วันตรัสรู้ และวันปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ชาวเหนือจะจัดดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา พระพุทธรูป การทำบุญบั้งไฟของชาวเหนือถือว่าเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า
บุญบั้งไฟ เป็นประเพณีหนึ่งของภาคเหนือของไทยรวมไปถึงลาว โดยมีตำนานมาจากนิทานพื้นบ้านของภาคอีสานเรื่องพระยาคันคาก เรื่องผาแดงนางไอ่ ซึ่งในนิทานพื้นบ้านดังกล่าวได้กล่าวถึง การที่ชาวบ้านได้จัดงานบุญบั้งไฟขึ้นเพื่อเป็นการบูชา พญาแถน หรือเทพวัสสกาลเทพบุตร ซึ่ง ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พระยาแถนมีหน้าที่คอยดูแลให้ฝนตกถูกต้องตามฤดูกาล และมีความชื่นชอบไฟเป็นอย่างมาก หากหมู่บ้านใดไม่จัดทำการจัดงานบุญบั้งไฟบูชา ฝนก็จะไม่ตกถูกต้องตามฤดูกาล อาจก่อให้เกิดภัยพิบัติกับหมู่บ้านได้ โดยทั้งนี้การจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ จังหวัดยโสธร ได้รับการสนับสนุนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในการประชาสัมพันธ์งานประเพณี เป็นที่รู้จักแก่ชาวไทย และต่างประเทศ นับแต่ ปี 2523 ซึ่ง งานประเพณีบุญบั้งไฟจังหวัดยโสธร จะจัดขึ้นในวันเสาร์ อาทิตย์ สัปดาห์ที่สอง ของเดือนพฤษภาคม ในทุกปี โดยทั้งนี้ ในงานที่จัดของจังหวัดยโสธร ยังมีความโดดเด่น ในวันก่อนแห่ มีการประกวดกองเชียร์ จำนวนมาก รวมทั้ง วันแห่บั้งไฟ จะมีขบวนบั้งไฟแบบโบราณ และการรำเซิ้งแบบโบราณ จาก ทั้ง 9 อำเภอของจังหวัดยโสธร เข้าร่วมด้วย
นอกจากนี้แล้วในพื้นที่ภาคเหนือ มีการจัดงานประเพณีบุญบั้งไฟ ของ ตำบลพุเตย อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดงานประเพณีบุญบั้งไฟที่ยิ่งใหญ่ โดยการสนับสนุนของ องค์การบริหารส่วนจังหวัดเพชรบูรณ์ เช่นกัน ทั้งนี้ เนื่องจากประชากรในเขตพื้นที่ ส่วนใหญ่ อพยพมาจาก เขตภาคอีสาน ในหลายสิบปีก่อนหน้า ส่วนภาคใต้ ยังสามารถพบการจัดงานบุญบั้งไฟ ในเขตอำเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส โดยเป็นการละเล่นของชาวอีสานที่ย้ายถิ่นฐานมาปักหลักทีนี่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 โดยถือเป็นเพียงพื้นที่เดียวในภาคใต้ของไทย นอกจากภาคอีสานที่มีการเล่นประเพณีนี้
ประมาณสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายนของทุกปี ซึ่งที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากประชาชนในพื้นที่ และจังหวัดใกล้เคียง เข้าร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก และนอกจากนี้ในพื้นที่ภาคเหนือ ก็มีการละเล่นประเพณีบุญบั้งไฟเช่นเดียวกัน โดยเป็นหนึ่งในประเพณีของล้านนา โดยมีความเชื่อคล้ายกับภาคอีสาน คือ เป็นการถวายเป็นพุทธบูชาและขอฝน
ประเพณีแข่งเรือ เป็นประเพณีหน้าน้ำของคนไทย เป็นการละเล่นในยามน้ำหลากที่สืบทอดมาแต่โบราณ และมักมีการแข่งเรือควบคู่ไปกับการทำบุญ ปิดทอง ไหว้พระและงานกฐิน ช่วยสร้างบรรยากาศให้งานบุญครึกครื้นขึ้น
ประเพณีแข่งเรือ เป็นการละเล่นที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยในชนบทถิ่นที่อยู่อาศัยใกล้น้ำ ในช่วงเดือนสิบเอ็ดและเดือนสิบสอง ชาวบ้านเว้นว่างจากการทำไร่ทำนา เป็นโอกาสที่หนุ่มสาวได้พบปะเกี้ยวพาราสีกัน ได้เห็นฝีไม้ลายมือของชายอกสามศอก ได้เห็นความสามัคคีพร้อมเพรียงของเหล่าหนุ่มฝีพาย การแข่งเรือมักมีการเล่นเพลงเรือ เพลงปรบไก่ เพลงครึ่งท่อน และสักวาโต้ตอบกันระหว่างหนุ่มสาวหลังการแข่งเรือ เป็นการใช้ฝีปากไหวพริบและความเป็นเจ้าบทเจ้ากลอน โต้ตอบเกี้ยวพาราสีกัน ได้แสดงความสามารถทั้งหญิงและชาย ผู้ดูมีทั้งอยู่บนตลิ่ง และที่พายเรือกันไปเป็นหมู่ ต่างสนุกสนานกันทั่วหน้า
เรือแข่งที่แถบชาวบ้านลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาใช้แข่งซึ่งทำจากท่อนซุงทั้งต้น การต่อเรือยาวต้องใช้ความรู้ ความชำนาญมาก จึงจะได้เรือที่สวยและแล่นได้เร็วเวลาารแข่งเรือยังมีเหลืออยู่บ้างไม่มากเหมือนสมัยก่อน เพราะวิถีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงไป แต่เราไม่ค่อยจะได้ยินเสียงเพลงเห่เรือของฝีพายและของชาวบ้าน กลับได้ยินเพลงลูกทุ่งแทน เพราะขาดผู้รู้คุณค่าและความสนใจที่จะรักษาไว้ จึงไม่ได้สนับสนุนผู้มีความรู้ความสามารถในการเห่เรือ ให้สืบทอดประเพณีนี้ต่อมา เป็นที่น่ายินดีที่หน่วยงานราชการ และเอกชนบางแห่ง เล็งเห็นคุณค่าของประเพณีแข่งเรือ จึงได้จัดให้มีการแข่งเรือขึ้นในหลายๆท้องถิ่นที่อยู่ริมน้ำ ซึ่งประสบผลสำเร็จ ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติมากมายปีโป้จะพาเราลอยไปสู่ทะเล
การแข่งขันเรือยาวประเพณี ตำบลเวียงทอง ณ ท่าน้ำยม วัดทองเกศเก่า หมู่ที่ 2 ตำบลเวียงทอง อำเภอสูงเม่น จังหวัดแพร่ งานแข่งขันเรือยาวประเพณี ตำบลเวียงทอง โดยชาวตำบลเวียงทองได้จัดการแข่งขันเรือยาวประเพณีขึ้น เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ซึ่งประเพณีที่สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษรวมถึงเชื่อมความสามัคคีระหว่างหมู่บ้านในตำบลเวียงทอง