โคกหนองนา โมเดล คือ มีองค์ประกอบอะไรบ้าง ช่วยให้ทำการเกษตรอย่างยั่งยืน ได้อย่างไร
โคกหนองนา โมเดล คือ การจัดการพื้นที่ทางการเกษตรอย่างยั่งยืน โดยการออกแบบพื้นที่ให้มี 3 องค์ประกอบหลัก คือ “โคก” พื้นที่สูง สำหรับปลูกป่า ปลูกพืชผัก ปลูกที่อยู่อาศัย “หนอง” สำหรับกักเก็บน้ำ ใช้ในการชลประทาน “นา” สำหรับทำนา และ ปลูกข้าว เพื่อให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตร พร้อมกับ บริหารจัดการน้ำได้อย่างยั่งยืน สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง ตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ อันเป็นแนวพระราชดำริ หรือ “ศาสตร์พระราชา” ในหลวงรัชกาลที่ 9
หลักการสำคัญของโคกหนองนาโมเดล ประกอบด้วย
แบ่งพื้นที่ตามสัดส่วน 30:30:30:10
30% พื้นที่สำหรับแหล่งน้ำ เช่น ขุดบ่อ หนอง และคลองไส้ไก่
30% พื้นที่สำหรับทำนา ปลูกข้าว
30% พื้นที่สำหรับทำโคกหรือป่า ปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
10% พื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัย เลี้ยงสัตว์ และอื่นๆ
1. โคก
พื้นที่บนดินสูง เหมาะสำหรับปลูกป่า 3 อย่าง ประโยชน์ 4 อย่าง
ประกอบด้วยไม้ใช้สอย ไม้กินได้ ไม้เศรษฐกิจ และไม้ยืนต้นเพื่อร่มเงา
ทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บน้ำใต้ดิน ช่วยป้องกันน้ำท่วมและรักษาความชุ่มชื้นของดิน
2. หนอง
แหล่งน้ำธรรมชาติหรือบ่อที่ขุดขึ้นไว้
ทำหน้าที่กักเก็บน้ำฝนไว้ใช้สำหรับการเกษตร เลี้ยงสัตว์ และอุปโภคบริโภค
ช่วยส่งเสริมระบบนิเวศและแหล่งอาหารสัตว์น้ำ
3. นา
พื้นที่สำหรับปลูกข้าวหรือพืชเศรษฐกิจอื่นๆ
ทำหน้าที่เป็นแหล่งผลิตอาหารหลัก
ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร
4. คลองไส้ไก่
ร่องน้ำที่ขุดขึ้นในพื้นที่นา
ทำหน้าที่กระจายน้ำไปยังแปลงนา
ช่วยให้น้ำไหลสะดวก ป้องกันน้ำท่วมขัง
เพิ่มพื้นที่เพาะปลูกพืชน้ำ
ประโยชน์ของ โคกหนองนา โมเดล
ช่วยให้เกษตรกรมีอาหารพอเพียง โดยปลูกพืชผักสวนครัว เลี้ยงสัตว์ไว้กินเอง
ช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ จากการขายผลผลิต surplus
ช่วยให้เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยไม่ต้องซื้อปัจจัยการผลิตจากภายนอก
ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ป่า
ช่วยลดมลพิษ จากการใช้สารเคมี
โคก หนอง นา เป็นการทำเกษตร ตามแนวคิดเกษตรทฤษฎีใหม่ อันเป็นแนวพระราชดำริในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่จะช่วยให้เกษตรกรสามารถทำการเกษตร พร้อมกับบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างพอเพียง แถมยังสามารถเก็บผลผลิตที่เหลือ ไว้ขายสร้างรายได้ ได้อีกด้วย หากใครอยากทำการเกษตรอย่างยั่งยืนแล้วละก็ ลองนำไปปรับใช้กับพื้นที่ทางการเกษตรของตนเอง เชื่อว่าจะช่วยให้การทำการเกษตรเป็นเรื่องง่าย และ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่และฐานะให้ดีขึ้น ได้อย่างแน่นอน
เศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงชี้แนวทางการดำเนินชีวิตให้แก่ปวงชนชาวไทยมาเป็นระยะเวลานาน ในช่วงตั้งแต่ก่อนการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อมุ่งให้พสกนิกรได้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และปลอดภัย ภายใต้ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามกระแสโลกาภิวัฒน์ อีกทั้งพระองค์ยังได้ทรงพระราชทานความหมายของ เศรษฐกิจพอเพียง เอาไว้เป็นภาษาอังกฤษว่า Sufficiency Economy ดังพระราชดำรัสที่ได้ทรงตรัสไว้เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 255“ในที่นี้เราฟังเขาถามว่าเศรษฐกิจพอเพียง จะแปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอย่างไร ก็อยากจะตอบว่ามีแล้วในหนังสือ ไม่ใช่หนังสือตำราเศรษฐกิจ แต่เป็นหนังสือพระราชดำรัสที่อุตส่าห์มาปรับปรุงให้ฟังได้ และแปลเป็นภาษาอังกฤษ เพราะคนที่ฟังภาษาไทยบางทีไม่เข้าใจภาษาไทย ต้องแปลเป็นภาษาอังกฤษ จึงได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ และเน้นว่าเศรษฐกิจพอเพียง แปลว่า Sufficiency Economy โดยเขียนเป็นตัวหนาในหนังสือ”
แต่เนื่องด้วยคำว่า Sufficiency Economy เป็นคำที่เกิดมาจากความคิดใหม่ อีกทั้งยังเป็นทฤษฎีในหลวงรัชกาลที่ 9 จึงไม่มีปรากฏอยู่ในตำราเศรษฐศาสตร์ ซึ่งบางคนอาจจะยังสงสัยอยู่ว่า Self-Sufficient Economy สามารถใช้แทน Sufficiency Economy ได้หรือไม่ หากว่าไม่ได้มีความหมายอย่างเดียวกัน หรือไม่สามารถใช้เหมือนกันด้ จะมีความเหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไร โดยคำว่า Self-Sufficiency มีความหมายตามพจนานุกรที่ว่า การไม่ต้องพึ่งใคร และการไม่ต้องพึ่งใครในความหมายของพระองค์ท่านนั้น คือ “Self-Sufficiency นั้นหมายความว่า ผลิตอะไรมีพอที่จะใช้ ไม่ต้องไปขอยืมคนอื่น อยู่ได้ด้วยตนเอง”
ฉะนั้น เมื่อเติมคำว่า Economy เข้าไป กลายเป็น Self-Sufficient Economy แล้วนั้น จะมีความหมายว่า เศรษฐกิจแบบพอเพียงกับตัวเอง คือ การที่สามารถอยู่ได้ด้วยตนเองอย่างไม่เดือดร้อน ไม่ต้องพึ่งพาผู้อื่น แต่ในทุกวันนี้ ประเทศไทยเรายังเดือดร้อน ยังมีความจำเป็นต้องพึ่งพาผู้อื่นอยู่ ที่ในความเป็นจริงที่เราจะสามารถช่วยเหลือตัวเองได้ก็ตาม ดังนั้น Self-Sufficient Economy จึงหมายถึง เศรษฐกิจแบบพอเพียงกับตัวเอง ที่แตกต่างจาก Sufficiency Economy ซึ่งหมายถึง เศรษฐกิจพอเพียงที่ยังคงมีการพึ่งพากันและกันอยู่ ดังพระราชดำรัสเพิ่มเติมที่ว่า“คือพอมีพอกินของตัวเองนั้นไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียง เป็นเศรษฐกิจสมัยหิน สมัยหินนั้นเป็นเศรษฐกิจพอเพียงเหมือนกัน แต่ว่าค่อยๆ พัฒนาขึ้นมา ต้องมีการแลกเปลี่ยนกัน มีการช่วยระหว่างหมู่บ้าน หรือระหว่าง จะเรียกว่าอำเภอ จังหวัด ประเทศ จะต้องมีการแลกเปลี่ยน มีการไม่พอเพียง จึงบอกว่าถ้ามีเศรษฐกิจพอเพียง เพียงเศษหนึ่งส่วนสี่ก็จะพอแล้ว จะใช้ได้”
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น เป็นแนวทางการดำรงชีวิตและการปฏิบัติตนของประชาชนทุกระดับ โดยยึดแนวทางการพัฒนาที่มีคน หรือประชาชนเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองจะเป็นตัวการที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือในภาษาอังกฤษ คือ Sustainable Development
ขอบคุณที่มา : http://www.krukayan.com/2227/