หน่วยการเรียนรู้ที่ 4
การใช้เทคโนโลยีอย่างปลอดภัยและมีจริยธรรม (Digital Citizenship)
เป็นการหลอกลวงในรูปแบบอีเมล, SMS หรือข้อความ ที่แอบอ้างเป็นบุคคลหรือองค์กรที่น่าเชื่อถือ เช่น ธนาคาร, บริษัทขนส่ง, หรือแม้แต่เพื่อนของเรา เพื่อหลอกให้เรากดลิงก์และกรอกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญ เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน, หรือหมายเลขบัตรประชาชน
• วิธีสังเกต: มักมีข้อความเร่งรีบ, อ้างว่าคุณคือผู้โชคดี, มีลิงก์แปลกๆ, หรือมีจุดที่สะกดผิด
• เกราะป้องกัน: ห้ามคลิก! หากไม่แน่ใจให้ติดต่อองค์กรนั้นโดยตรงผ่านช่องทางที่เป็นทางการ ห้ามให้ข้อมูลส่วนตัวเด็ดขาด
คือซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อขโมยข้อมูลหรือทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของเรา อาจมาในรูปแบบของไวรัส, โทรจัน, หรือโปรแกรมเรียกค่าไถ่ (Ransomware)
• ช่องทางที่มา: มักแฝงมากับไฟล์ที่ดาวน์โหลดจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ, ลิงก์แปลกๆ, หรือโฆษณาที่น่าสงสัย
• เกราะป้องกัน: ติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสและอัปเดตเสมอ, ไม่ดาวน์โหลดโปรแกรมเถื่อน, สำรองข้อมูลสำคัญไว้เสมอ
คือการใช้เทคโนโลยีในการข่มขู่, คุกคาม, ทำให้อับอาย หรือกีดกันผู้อื่นออกจากกลุ่ม อาจเป็นการโพสต์ข้อความด่าทอ, เผยแพร่ข่าวลือ, หรือนำภาพของผู้อื่นไปตัดต่อในทางเสียหาย
• ลักษณะ: เกิดขึ้นได้ตลอด 24 ชั่วโมง, แพร่กระจายได้รวดเร็วและเป็นวงกว้าง
• เกราะป้องกัน: ไม่ตอบโต้, เก็บหลักฐาน (แคปหน้าจอ), บล็อก (Block) ผู้ที่กลั่นแกล้ง และ แจ้ง (Report) ให้ผู้ปกครอง, คุณครู, หรือผู้ดูแลระบบทราบทันที
1. ตั้งรหัสผ่านให้แข็งแกร่ง: ควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร และผสมระหว่างตัวพิมพ์ใหญ่, พิมพ์เล็ก, ตัวเลข, และสัญลักษณ์ (เช่น P@ssw0rd123) และไม่ควรใช้รหัสผ่านเดียวกันในทุกบัญชี
2. ไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัว: เช่น ชื่อ-นามสกุลจริง, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, โรงเรียน ไม่ควรโพสต์ลงในที่สาธารณะ
3. คิดก่อนคลิก: ตรวจสอบความน่าเชื่อถือของลิงก์และไฟล์แนบก่อนเปิดเสมอ
4. คิดก่อนโพสต์: ทุกสิ่งที่เราโพสต์จะทิ้งร่องรอยไว้ในโลกดิจิทัล (Digital Footprint) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเราในอนาคตได้
5. ออกจากระบบเสมอ: เมื่อใช้คอมพิวเตอร์สาธารณะ ควรออกจากระบบ (Log out) ทุกครั้งหลังใช้งาน
นิยามและความสำคัญ
**ทรัพย์สินทางปัญญา (IP)** คือ ผลงานที่เกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น หรือสร้างสรรค์ของมนุษย์ เป็น "สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้" (Intangible Asset) ซึ่งกฎหมายให้ความคุ้มครองแก่เจ้าของ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ
ลองนึกภาพง่ายๆ ครับ ถ้าเราแต่งเพลงหรือเขียนโปรแกรมขึ้นมา แล้วมีคนเอาไปใช้หาเงินโดยไม่ขอเราเลย เราก็คงหมดกำลังใจที่จะสร้างสรรค์ผลงานใหม่ๆ ใช่ไหมครับ? กฎหมาย IP จึงเกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องสิทธิ์ตรงนี้
ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
1. ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม (Industrial Property)
มักเกี่ยวข้องกับการค้าและอุตสาหกรรม เช่น
สิทธิบัตร (Patent): คุ้มครอง "การประดิษฐ์" (Invention) ที่มีขั้นตอนการผลิตชัดเจน (เช่น สูตรยา, กลไกเครื่องจักร) หรือ "การออกแบบผลิตภัณฑ์" (Design) (เช่น ลวดลายบนเก้าอี้, รูปทรงขวดน้ำหอม)
เครื่องหมายการค้า (Trademark):** คุ้มครอง "แบรนด์" (Brand) ใช้เพื่อแยกแยะสินค้าและบริการของเราจากคู่แข่ง (เช่น โลโก้, ชื่อแบรนด์, สโลแกน)
ความลับทางการค้า (Trade Secret):** ข้อมูลทางธุรกิจที่เป็นความลับและมีมูลค่า (เช่น สูตรไก่ทอด KFC, อัลกอริทึมของ Google)
2. ลิขสิทธิ์ (Copyright)
นี่คือหัวใจสำคัญที่เราจะเจาะลึกในข้อต่อไปครับ ซึ่งจะคุ้มครอง "งานสร้างสรรค์" (Creative Works)
ลิขสิทธิ์ คือ สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวของเจ้าของผลงานในการกระทำใดๆ กับงานสร้างสรรค์ของตน
* **คุ้มครองอะไรบ้าง?:** งานวรรณกรรม (หนังสือ, บทความ), งานดนตรี (เพลง, เนื้อร้อง), งานศิลปกรรม (ภาพวาด, ภาพถ่าย), ภาพยนตร์, วิดีโอ, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ซอฟต์แวร์), งานสถาปัตยกรรม และอื่นๆ
* **เกิดขึ้นเมื่อไหร่?:** **เกิดขึ้นทันทีที่สร้างสรรค์ผลงาน** (Automatic Protection) โดยไม่จำเป็นต้องจดทะเบียน (ในประเทศไทยและอีกหลายประเทศ)
* **คุ้มครอง "การแสดงออก" (Expression) ไม่คุ้มครอง "แนวคิด" (Idea):**
* **ตัวอย่าง:** ครูไม่สามารถจดลิขสิทธิ์ "แนวคิด" การเขียนนิยายเกี่ยวกับพ่อมดไปโรงเรียนเวทมนตร์ได้ แต่ครูสามารถจดลิขสิทธิ์ "เนื้อเรื่อง" และ "ตัวละคร" ในนิยายเรื่อง *แฮร์รี่ พอตเตอร์* ได้
การใช้งานอย่างเป็นธรรม (Fair Use)
ในโลกความเป็นจริง เราไม่สามารถห้ามคนอื่น "อ้างอิง" ถึงงานเราได้เลย การใช้งานอย่างเป็นธรรม (Fair Use) จึงเป็น **ข้อยกเว้นทางกฎหมาย** ที่อนุญาตให้บุคคลอื่นใช้งานที่มีลิขสิทธิ์ได้ใน "ขอบเขตที่จำกัด" โดยไม่ต้องขออนุญาตเจ้าของ
> **ข้อควรทราบ:** "Fair Use" เป็นหลักการที่เด่นชัดในกฎหมายสหรัฐฯ สำหรับกฎหมายไทย เรามีหลักการที่เรียกว่า **"ข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์"** ซึ่งมีเป้าหมายคล้ายกัน คือการสร้างสมดุลระหว่างเจ้าของสิทธิ์และประโยชน์ของสังคม
**หลักการพิจารณาว่า "เป็นธรรม" หรือไม่ (มักอิงตามหลักสากล 4 ปัจจัย):**
1. **วัตถุประสงค์และลักษณะการใช้งาน (Purpose and Character):**
* ใช้เพื่อการค้า (Commercial) หรือเพื่อการศึกษา/วิจัย/ไม่แสวงหาผลกำไร (Non-profit/Educational)?
* เป็นการใช้งานแบบ "เปลี่ยนรูป" (Transformative) หรือไม่? (เช่น การทำ Parody (ล้อเลียน), การวิจารณ์ (Review))
2. **ลักษณะของงานที่มีลิขสิทธิ์ (Nature of the Work):**
* งานนั้นเป็นข้อเท็จจริง (Factual) หรือเป็นงานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์สูง (Highly Creative)? (การใช้ข้อเท็จจริงมักจะ "เป็นธรรม" มากกว่า)
3. **ปริมาณและสัดส่วนที่ใช้ (Amount and Substantiality):**
* ใช้เพียง "ส่วนน้อย" หรือใช้ "ทั้งหมด"?
* ส่วนที่นำไปใช้นั้นเป็น "หัวใจสำคัญ" ของเรื่องหรือไม่?
4. **ผลกระทบต่อตลาดหรือมูลค่าของผลงาน (Effect on the Market):**
* การใช้งานของเรา ทำให้เจ้าของผลงานสูญเสียรายได้หรือไม่? (เช่น การที่เราเอาหนังทั้งเรื่องมาฉายฟรี ย่อมกระทบตลาดแน่นอน)
ตัวอย่างที่มักเข้าข่าย Fair Use:
* การใช้ภาพหรือคลิปสั้นๆ เพื่อการรายงานข่าว
* การตัดส่วนหนึ่งของเพลงมาเพื่อการวิจารณ์
* การอ้างอิงข้อความ (Quote) บางส่วนในงานวิจัยหรืองานวิชาการ (โดยต้องให้เครดิต)
หากลิขสิทธิ์แบบเดิมคือ **"สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด" (All Rights Reserved)**
Creative Commons (CC) ก็คือ **"สงวนลิขสิทธิ์บางส่วน" (Some Rights Reserved)**
CC เป็นเครื่องมือที่ "เจ้าของผลงาน" ใช้เพื่อ **อนุญาต** ให้ผู้อื่นนำผลงานของตนไปใช้ได้ "ภายใต้เงื่อนไข" ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ทำให้การแบ่งปันผลงานทำได้ง่ายขึ้น โดยที่เจ้าของยังคงสิทธิ์บางอย่างไว้ได้
### องค์ประกอบ 4 เงื่อนไข (The 4 Elements)
1. **BY (Attribution):** **ต้องให้เครดิต** (ระบุชื่อเจ้าของผลงาน) นี่คือเงื่อนไขพื้นฐานของ CC ทุกตัว (ยกเว้น CC0)
2. **SA (ShareAlike):** **อนุญาตแบบเดียวกัน** หากนำงานเราไป "ดัดแปลง" (Adapt) ผลงานใหม่ที่ได้ ต้องใช้สัญญาอนุญาต (License) แบบเดียวกับต้นฉบับ
3. **NC (NonCommercial):** **ห้ามใช้เพื่อการค้า** ห้ามนำผลงานนี้ไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าหรือหาผลกำไร
4. **ND (NoDerivatives):** **ห้ามดัดแปลง** อนุญาตให้ใช้ได้เฉพาะต้นฉบับเท่านั้น ห้ามแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือสร้างผลงานใหม่ต่อยอด
6 สัญญาอนุญาตหลัก (The 6 Licenses)
เมื่อนำ 4 องค์ประกอบมารวมกัน จะเกิดเป็นสัญญาอนุญาต 6 รูปแบบ (เรียงจากเสรีมากที่สุดไปถึงจำกัดมากที่สุด):
1. **CC BY (Attribution):**
* ใช้ได้เสรีที่สุด (ดัดแปลงได้, ใช้เชิงพาณิชย์ได้)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY)
2. **CC BY-SA (Attribution-ShareAlike):**
* ใช้ได้เสรี (ดัดแปลงได้, ใช้เชิงพาณิชย์ได้)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY) และหากดัดแปลง งานใหม่ต้องใช้ CC BY-SA (SA)
3. **CC BY-NC (Attribution-NonCommercial):**
* ใช้ได้ (ดัดแปลงได้)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY) และห้ามใช้เพื่อการค้า (NC)
4. **CC BY-ND (Attribution-NoDerivatives):**
* ใช้ได้ (ใช้เชิงพาณิชย์ได้)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY) และห้ามดัดแปลง (ND)
5. **CC BY-NC-SA (Attribution-NonCommercial-ShareAlike):**
* ใช้ได้ (ดัดแปลงได้)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY), ห้ามใช้เพื่อการค้า (NC), และหากดัดแปลง งานใหม่ต้องใช้ CC BY-NC-SA (SA)
6. **CC BY-NC-ND (Attribution-NonCommercial-NoDerivatives):**
* จำกัดที่สุด (อนุญาตให้เผยแพร่ต่อได้เท่านั้น)
* **เงื่อนไข:** ต้องให้เครดิต (BY), ห้ามใช้เพื่อการค้า (NC), และห้ามดัดแปลง (ND)
> **โบนัส: CC0 (Public Domain Dedication)**
> ไม่ใช่สัญญาอนุญาต แต่คือการ "สละลิขสิทธิ์ทั้งหมด" (No Rights Reserved) เท่าที่กฎหมายจะทำได้ เจ้าของผลงานประกาศให้งานนี้เป็น "สมบัติสาธารณะ" (Public Domain) ใครจะเอาไปทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องให้เครดิต
การให้เครดิต (หรือการอ้างอิงแหล่งที่มา) คือหัวใจสำคัญของการใช้งานผลงานผู้อื่นอย่างมีจรรยาบรรณ และเป็น "ข้อบังคับ" หากเราใช้งานภายใต้สัญญาอนุญาต CC (ที่มี BY)
### หลักการให้เครดิตที่ดี (จำง่ายๆ ว่า "TASL")
องค์ประกอบที่สมบูรณ์แบบควรมี 4 ส่วน ดังนี้:
1. **T - Title (ชื่อผลงาน):** ชื่อของภาพ, ชื่อบทความ, หรือชื่อเพลง
2. **A - Author (ผู้สร้างสรรค์):** ชื่อเจ้าของผลงาน (ควรลิงก์กลับไปหาโปรไฟล์ของเขา ถ้ามี)
3. **S - Source (แหล่งที่มา):** ลิงก์ (URL) ที่เราไปนำผลงานนั้นมา
4. **L - License (สัญญาอนุญาต):** ประเภทของสัญญาอนุญาต CC (ควรลิงก์กลับไปที่หน้าสัญญาอนุญาตนั้นๆ)
### ตัวอย่างการให้เครดิต
สมมติครูไปเจอภาพสวยๆ ใน Flickr และนำมาใช้ในสไลด์นำเสนอ
> **ตัวอย่างการให้เครดิต (แบบสมบูรณ์):**
>
> "Zen Garden" by John Smith is licensed under CC BY-NC 2.0.
>
> (โดยที่ "Zen Garden" ลิงก์ไปที่หน้าภาพ, "John Smith" ลิงก์ไปที่โปรไฟล์ของเขา, และ "CC BY-NC 2.0" ลิงก์ไปที่หน้าคำอธิบายสัญญาอนุญาต)
**ถ้าให้เครดิตเป็นภาษาไทย:**
> ภาพ "สวนหิน" โดย John Smith, เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาต CC BY-NC 2.0
**จำไว้นะครับ:** การให้เครดิตไม่ใช่แค่การแปะลิงก์ URL เฉยๆ แต่คือการให้เกียรติผู้สร้างสรรค์ และช่วยให้ผู้อื่นสามารถตามไปค้นหาผลงานต้นฉบับได้ครับ
---
### บทสรุปจากครู
การเข้าใจเรื่อง ทรัพย์สินทางปัญญา, ลิขสิทธิ์, Fair Use, Creative Commons และการให้เครดิต คือทักษะพื้นฐานของ "พลเมืองดิจิทัล" (Digital Citizen) ที่ดี การที่เราเคารพสิทธิ์ของผู้อื่น ก็จะทำให้ผลงานของเราได้รับการเคารพเช่นกัน และยังช่วยส่งเสริมระบบนิเวศการสร้างสรรค์ให้เติบโตอย่างยั่งยืนครับ
หวังว่าใบความรู้นี้จะเป็นประโยชน์กับนักเรียนทุกคนนะครับ
หากนักเรียนมีคำถามในหัวข้อใดเป็นพิเศษ หรืออยากให้ครูลองสร้างแบบทดสอบสั้นๆ เพื่อทบทวนความเข้าใจในเนื้อหาเหล่านี้ บอกครูได้เลยนะครับ