สรุปรวบยอดหนังสือ1 & 2 โครนิกา, เอษรา,นะเฮมยา, และเอศเธระ
(2)
I. นะเฮมยาบทที่ 4 บรรยายถึงการขัดขวางของศัตรูที่มีต่อการก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่:
1. เหล่าศัตรูต่างโกรธและเดือดดาลอย่างยิ่ง; พวกเขาเยาะเย้ยชาวยิวและดูถูกการงานแห่งการก่อสร้างของพวกเขา — ข้อ 1–3:
(1) เหล่าศัตรูต่างโกรธที่การงานแห่งการก่อสร้างยังคงคืบหน้า พวกเขาจึงสมคบคิดที่จะมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม — ข้อ 7–8.
(2) นะเฮมยาเชื่อพึ่งในพระเจ้า โดยการอธิษฐานให้พระเจ้าทรงหันคำด่าประณามของเขาทั้งหลายให้ตกบนตัวของเขาเอง ดังนั้นชาวยิวจึงก่อสร้างกำแพงต่อไปเพราะพวกเขามีใจที่จะทำงาน — ข้อ 4–6.
2. ชาวยิวอธิษฐานต่อพระเจ้าของพวกเขา และพวกเขาก็ตั้งคนยามป้องกันศัตรูทั้งกลางวันและกลางคืนภายใต้การชี้แนะและคำสั่งของนะเฮมยา:
(1) พวกเขาพร้อมใช้อาวุธต่อสู้ภายใต้การหนุนใจของนะเฮมยาซึ่งชี้แนะให้พวกเขาระลึกถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม และสู้รบเพื่อครอบครัวของพวกเขา — ข้อ 14.
(2) ผู้รับใช้ของนะเฮมยาครึ่งหนึ่งตรากตรำในการงาน และอีกครึ่งหนึ่งถืออาวุธพร้อมสู้รบ — ข้อ 16.
(3) ในด้านหนึ่ง ชนชาติอิสราเอลเตรียมพร้อมที่จะสู้รบ; ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาเชื่อพึ่งในพระเจ้า โดยเชื่อว่าพระองค์จะทรงสู้รบเพื่อพวกเขา — ข้อ 9–23.
(4) ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุด นะเฮมยาก็อยู่ท่ามกลางเหล่าผู้ที่เตรียมพร้อมจะสู้รบกับศัตรู ทั้งยังมีส่วนในการเป็นยามช่วงกลางคืนด้วย; เขาไม่ได้ปล่อยให้ผู้อื่นไปทำเรื่องเหล่านี้ แต่ตัวเขาเองได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย — ข้อ 17–23.
II. การก่อสร้างคริสตจักรในฐานะเมืองของพระเจ้านั้นไม่ใช่งานที่ง่าย; การก่อสร้างจะสามารถสำเร็จลุล่วงได้โดยการสู้รบเท่านั้น — อฟ.2:21–22; 4:16; 6:10–20:
1. เมื่อชนชาติอิสราเอลกลับจากการตกเป็นเชลย เอษรา, นะเฮมยา, และคนอื่นๆ ก็ได้ลุกขึ้นก่อสร้างพระวิหารและเมืองบริสุทธิ์ผ่านการสู้รบอย่างหนัก.
2. ชาวอิสราเอลที่ทำงานในการก่อสร้างร่วมกับนะเฮมยานั้นตรากตรำโดยก่อสร้างด้วยมือข้างหนึ่งและถืออาวุธเพื่อสู้รบด้วยมืออีกข้างหนึ่ง (นฮย.4:17); กรณีนี้เปิดเผยว่าทุกครั้งที่เราตรากตรำเพื่อการก่อสร้างของพระเจ้า เราย่อมต้องพัวพันกับการรบอย่างแน่นอน.
3. ในเรื่องการก่อสร้างที่ประทับของพระเจ้านั้น ระหว่างพระเจ้าและศัตรูของพระองค์มีความขัดแย้งกันจริงๆ และมีการสู้รบกันอย่างดุเดือด — ข้อ 1–3, 7–8:
(1) ศัตรูเกลียดชังที่ได้เห็นว่าการก่อสร้างที่ประทับของพระเจ้ากำลังคืบหน้าไปอย่างราบรื่น.
(2) ซาตานจะทำทุกอย่างที่มันทำได้เพื่อขัดขวาง, รบกวน, โจมตี, และทำลาย — มธ.16:18–19.
4. เราต้องก่อสร้างคริสตจักรเป็นพระวิหารและทำการสู้รบเพื่อพระเจ้าจะทรงได้มาซึ่งอาณาจักร — 6:10.
5. เมื่อวิสุทธิชนทั้งหลายอพยพย้ายถิ่นฐานเพื่อให้การดำเนินชีวิตคริสตจักรได้แผ่ขยายออกไป พวกเขาก็คือกองทัพที่ออกไปสู้รบ — เทียบ กจ.8:4–12.
6. เหล่าผู้ที่ทำการก่อสร้างคริสตจักรจะต้องก่อสร้างไปและสู้รบไปด้วยในเวลาเดียวกัน — นฮย.4:14, 16–21.
7. ถ้าไม่มีการสู้รบและไม่มีวิญญาณแห่งการสู้รบก็ย่อมจะไม่มีการก่อสร้าง; การก่อสร้างย่อมเรียกร้องให้มีการสู้รบอย่างทรหด.
III. การสู้รบฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องที่จำเป็นต่อการก่อสร้างคริสตจักรในฐานะพระกายของพระคริสต์ — อฟ.6:10–20:
1. น่าเสียใจที่แทบจะไม่มีผู้เชื่อคนใดในคริสตจักรในวันนี้ที่รู้จักการสู้รบฝ่ายวิญญาณนี้; สาเหตุก็เพราะความอ่อนแอในด้านชีวิต, การขาดความเข้มแข็งฝ่ายวิญญาณ, และความชัดเจนภายใต้ความสว่างแห่งหลักความจริงที่ยังไม่เพียงพอ.
2. การสู้รบฝ่ายวิญญาณย่อมมีพื้นฐานอยู่บนชัยชนะของพระคริสต์ — ฮร.2:14; กซ.2:15; 1ยฮ.3:8:
(1) จุดเริ่มต้นของการสู้รบฝ่ายวิญญาณคือการยืนหยัดบนชัยชนะของพระคริสต์ ซึ่งก็คือการมองเห็นว่าพระคริสต์ทรงปราบศัตรูให้พ่ายแพ้ไปแล้ว — พพร.4:8; วว.3:21; 5:5–6:
ก. พระบุตรของพระเจ้าทรงได้มาปรากฏเพื่อทำลายกิจการของมาร — 1ยฮ.3:8.
ข. ในการกลายเป็นเนื้อหนังและการดำเนินชีวิตมนุษย์ของพระคริสต์ พระองค์ทรงปราบซาตานให้พ่ายแพ้ไประหว่างที่ทรงถูกล่อลวงในป่ากันดาร — มธ.4:1–11.
ค. โดยความตายนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงทำลายมารผู้มีอำนาจแห่งความตาย; พระองค์ทรงลบล้างซาตาน ทรงทำให้มันสูญไป — ฮร.2:14.
(2) การงานของคริสตจักรบนโลกนี้จึงมีแต่การคงไว้ซึ่งชัยชนะของพระองค์; องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรบชนะแล้ว คริสตจักรก็มาคงไว้ซึ่งชัยชนะของพระองค์เท่านั้น — อฟ.6:11, 13.
3. การสู้รบระหว่างคริสตจักรและซาตานคือการรบระหว่างผู้ที่รักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างเราซึ่งอยู่ในคริสตจักรของพระองค์ กับเหล่าผู้มีฤทธิ์ที่ชั่วร้ายในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลาย — ข้อ 12:
(1) เหล่าผู้ปกครอง, ผู้มีอำนาจ, และผู้ครอบครองโลกแห่งความมืดก็คือเหล่าทูตสวรรค์ที่เป็นกบฏซึ่งติดตามซาตานไปเป็นกบฏต่อพระเจ้า และบัดนี้ก็ปกครองอยู่ในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลายเหนือประเทศต่างๆ ในโลกนี้ — กซ.1:13; ดนอ.10:20.
(2) เราต้องตระหนักว่าเราไม่ได้สู้รบกับมนุษย์ แต่สู้รบกับเหล่าวิญญาณชั่ว ซึ่งก็คือเหล่าผู้มีฤทธิ์ที่ชั่วร้ายในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลาย.
4. การสู้รบฝ่ายวิญญาณเป็นเรื่องของพระกายของพระคริสต์; เราต้องทำการสู้รบอยู่ในพระกาย — อฟ.1:22–23:
(1) การสู้รบฝ่ายวิญญาณไม่ใช่เรื่องของปัจเจกชน แต่เป็นเรื่องของพระกาย — 4:12, 16; 5:30.
(2) คริสตจักรคือนักรบแห่งกลุ่มชน และนักรบแห่งกลุ่มชนนี้ก็ประกอบขึ้นมาจากผู้เชื่อทั้งหลาย — 6:10–20.
(3) ถ้าเราอ่านหนังสือเอเฟโซตั้งแต่บทที่ 1—6 เราจะเห็นว่าการสู้รบนั้นเป็นเรื่องของพระกายของพระคริสต์ และพระกายคือสิ่งทรงสร้างใหม่ที่อยู่ในพระคริสต์, ในพระวิญญาณนั้น, และในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลาย — 2:6:
ก. ถ้าเราไม่มีการดำเนินชีวิตแห่งพระกาย เราก็ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเข้าร่วมทำการสู้รบฝ่ายวิญญาณได้.
ข. ถ้าจะสู้รบ เราต้องอยู่ในความเที่ยงแท้แห่งพระกาย — 4:12, 16.
(4) หลังจากที่เราถูกจัดตั้งขึ้นเป็นกองทัพอย่างเป็นกลุ่มชนแล้ว เราจะสามารถสู้รบกับศัตรูของพระเจ้าได้ — 6:11–12.
5. ถ้าจะจัดการกับศัตรูของพระเจ้า เราต้องได้รับกำลังเพิ่มขึ้นด้วยฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากท่ามกลางคนตายและให้พระองค์นั่งอยู่ในขอบเขตแห่งสวรรค์ทั้งหลาย ซึ่งสูงยิ่งเหนือเหล่าวิญญาณชั่วที่อยู่ในสถานอากาศ — ข้อ 10; 1:19–22:
(1) ในเมื่อเราต้องได้รับกำลังเพิ่มขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้อเท็จจริงนี้ย่อมบ่งชี้ว่า ถ้าอยู่ในตัวเราเอง เราย่อมไม่สามารถทำการสู้รบฝ่ายวิญญาณกับซาตานและอาณาจักรที่ชั่วร้ายของมันได้; เราสามารถสู้รบได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธานุภาพแห่งกำลังของพระองค์ — 6:10.
(2) คำสั่งที่ให้รับกำลังเพิ่มขึ้นเปิดเผยเป็นนัยถึงความจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนความตั้งใจของเรา; ถ้าเราอยากได้รับกำลังเพิ่มขึ้นเพื่อการสู้รบฝ่ายวิญญาณ ความตั้งใจของเราจะต้องเข้มแข็งและมีการฝึกฝน — พพร.4:4.
6. เราจำเป็นต้องรู้จักและนำเอาหลักการของการสู้รบฝ่ายวิญญาณมาปรับใช้:
(1) หลักการอย่างแรกของการสู้รบฝ่ายวิญญาณคือ เราไม่สามารถนำเอาอาวุธฝ่ายเนื้อหนัง, กลอุบายฝ่ายมนุษย์, และวิธีการตามธรรมชาติมาใช้ได้; ในเมื่อการสู้รบฝ่ายวิญญาณไม่ใช่การสู้รบกับเนื้อหนัง แต่เป็นการสู้รบกับเหล่าผู้มีอิทธิพลฝ่ายวิญญาณ (อฟ.6:12) เราจึงไม่ควรนำอาวุธฝ่ายเนื้อหนังมาใช้ (2กธ.10:3–5).
(2) หลักการอย่างที่สองของการสู้รบฝ่ายวิญญาณคือการรักษาไว้ซึ่งฐานะแห่งการเสด็จสู่สวรรค์ — อฟ.2:6:
ก. ในการสู้รบนั้น ชัยภูมิที่อยู่สูงกว่าศัตรูเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญ.
ข. ซาตานและเหล่าผู้มีอิทธิพลฝ่ายวิญญาณของมันล้วนอยู่ในสถานอากาศ แต่เรานั่งอยู่ในสวรรค์ชั้นสามซึ่งอยู่สูงกว่าพวกมัน — ข้อ 6.
ค. ซาตานและเหล่าผู้มีอิทธิพลของมันล้วนอยู่ต่ำกว่าเรา ดังนั้นพวกมันจึงมีชะตาที่จะต้องถูกเราปราบให้พ่ายแพ้อยู่แล้ว.
(3) หลักการอย่างที่สามของการสู้รบฝ่ายวิญญาณคือเราต้องใช้อาวุธฝ่ายวิญญาณ — 2กธ.10:3–5:
ก. อาวุธฝ่ายวิญญาณนั้นมีฤทธิ์เดชในการทลายป้อมปราการของศัตรูได้ — ข้อ 4–5.
ข. ขณะที่เราสู้รบ การกระทำกิจทั้งปวงของเราจะต้องมาจากวิญญาณ โดยสัมผัสความรู้สึกที่มาจากภายในวิญญาณของเรา; นี่คือหลักการที่เป็นพื้นฐานอย่างยิ่ง.
(4) หลักการอย่างที่สี่ของการสู้รบฝ่ายวิญญาณคือต้องมีการอธิษฐานที่สู้รบ — การอธิษฐานแห่งการสู้รบฝ่ายวิญญาณ — มธ.6:9–10, 13:
ก. เมื่อไรและที่ใดซึ่งมีการก่อสร้างคริสตจักร ประตูแห่งแดนมรณาก็จะมีการกระทำกิจเพื่อต่อต้าน ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องมีการอธิษฐานที่สู้รบ — 16:18–19.
ข. ถ้าเรามองเห็นว่าการอธิษฐานที่มีคุณค่าสูงสุดคือการอธิษฐานที่อยู่ในการเสด็จสู่สวรรค์ เมื่อนั้นเราจะสามารถเข้าใจว่าการอธิษฐานคือการสู้รบ และเราจะมีคำอธิษฐานแห่งการสู้รบ; นั่นคือเนื้อแท้ของการอธิษฐานที่ได้กล่าวไว้ในเอเฟโซบทที่ 6:
(ก) การอธิษฐานทั้งหมดที่พูดออกมาในขอบเขตฝ่ายสวรรค์และจากพระที่นั่งของพระเจ้าล้วนเป็นการอธิษฐานแห่งการสู้รบ — วว.5:8; 8:3–5.
(ข) ถ้าเราอยู่ในขอบเขตฝ่ายสวรรค์ เราย่อมสามารถอธิษฐานด้วยการอธิษฐานที่เสด็จสู่สวรรค์ หรือการอธิษฐานแห่งการสู้รบได้ — อฟ.2:6; 6:18.
ค. เมื่อเราได้รับการเพิ่มกำลัง เราก็ถูกเปลี่ยนใหม่; เมื่อเราถูกเปลี่ยนใหม่ เราก็ถูกเติมเต็ม; เมื่อเราถูกเติมเต็ม เราก็ถูกตกแต่งให้สู้รบ; เราอธิษฐานด้วยการอธิษฐานที่สู้รบฝ่ายวิญญาณโดยอยู่ในวิญญาณที่สู้รบ — 3:14–16; 4:23–24; 5:18ข; 6:18.
ง. เราต้องยืนหยัดต้านทานยุทธอุบายของมารโดยการสู้รบอยู่ในพระกายด้วยการอธิษฐานที่สู้รบ โดยอธิษฐานในวิญญาณทุกเวลาเพื่อจะสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อก่อสร้างพระกายของพระคริสต์ในฐานะบ้านของพระเจ้าเพื่อสง่าราศีของพระเจ้า และในฐานะอาณาจักรของพระเจ้าเพื่ออำนาจครอบครองของพระเจ้า เพื่อการสำเร็จเป็นจริงอย่างครบถ้วนแห่งแผนการบริหารของพระเจ้า — ข้อ 10–20.