สรุปรวบยอดหนังสือ1 & 2 โครนิกา, เอษรา,นะเฮมยา, และเอศเธระ
(2)
I. หนังสือเอษราคือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการกลับจากการเป็นเชลยของชาวอิสราเอลและการก่อสร้างพระวิหารขึ้นใหม่; ส่วนหนังสือนะเฮมยาคือประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ — นฮย.2:17–20:
1. กรุงเยรูซาเล็มเป็นการคุ้มกันและการปกป้องพระนิเวศน์ของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองนั้น — ข้อ 13.
(1) กรณีนี้เป็นเครื่องหมายเล็งว่า พระนิเวศน์ของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ประทับและบ้านของพระองค์บนแผ่นดินโลกนั้นจำเป็นต้องมีอาณาจักรของพระองค์ถูกตั้งขึ้นมาเป็นขอบเขต เพื่อคุ้มกันสิทธิประโยชน์ของพระองค์บนแผ่นดินโลกสำหรับการบริหารปกครองของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จลุล่วง — ข้อ 15.
(2) การก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นใหม่เป็นแบบเล็งถึงการฟื้นฟูที่พระเจ้าทรงมีต่อคริสตจักรที่ตกต่ำ ส่วนการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่เป็นแบบเล็งถึงการฟื้นฟูที่พระเจ้าทรงมีต่ออาณาจักรของพระองค์ — ข้อ 17–20.
2. การก่อสร้างพระนิเวศน์และการก่อสร้างอาณาจักรของพระเจ้าได้ดำเนินควบคู่กันไป — มธ.16:18–19.
II. ช่วงแรกของหนังสือนะเฮมยาคือบทที่ 1–7 กล่าวถึงการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ภายใต้นะเฮมยา:
1. นะเฮมยาได้ยินข่าวว่ากำแพงกรุงเยรูซาเล็มถูกทลายลง และบรรดาประตูเมืองก็ถูกไฟเผา — 1:3ข.
2. นะเฮมยา 2:9–16 กล่าวถึงการเดินทางของนะเฮมยาไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และการที่เขาไปสังเกตการณ์สภาพการณ์ของกำเเพงกรุงเยรูซาเล็มเป็นการส่วนตัว.
3. นะเฮมยา 2:17–20 เป็นถ้อยคำเกี่ยวกับการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่:
(1) พระวิหารเป็นสถานที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่ซึ่งเราพบปะและปรนนิบัติองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระวิหารนี้จำเป็นต้องมีการปกป้อง.
(2) กำแพงเมืองเป็นสิ่งที่มาป้องกันพระวิหาร; ถ้าปราศจากกำแพงเมือง ก็จะไม่มีการปกป้อง.
(3) กำแพงเมืองไม่เพียงมีไว้เพื่อการปกป้องเท่านั้น แต่ยังมีไว้เพื่อการแบ่งแยกด้วย.
(4) หนังสือนะเฮมยาบอกเราว่าเราทุกคนจำต้องก่อสร้างกำแพงในส่วนของเรา; แต่ละคนควรจะก่อสร้างส่วนของตัวเอง — 4:6, 19.
4. เราต้องติดตามแบบอย่างทางภายในในการ “ก่อสร้างกำแพง” ของนะเฮมยา ซึ่งก็คือการก่อสร้างคริสตจักรอันเป็นอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อมาปกป้องคริสตจักรอันเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้า เป็นที่ประทับของพระองค์ — 2:4, 10, 17–20; อฟ.2:21–22.
III. จุดประสงค์ในการก่อสร้างกำแพงคือการนำเราทุกคนเข้าสู่ลำดับที่ถูกต้องในชีวิตภายใต้อำนาจความเป็นประมุขของพระคริสต์ — 1:22–23; กซ.1:18; 2:19:
1. พระคริสต์ทรงเป็นทั้งศีรษะของพระกาย ซึ่งก็คือคริสตจักรอย่างเป็นกลุ่มชน และเป็นศีรษะของผู้เชื่ออย่างเป็นปัจเจกชนด้วย; พระองค์ทรงเป็นศีรษะของเราแต่ละคนโดยตรง — 1:18; 1กธ.11:3.
2. การดำเนินชีวิตคริสตจักรคือการดำเนินชีวิตที่ถูกรวบรวมไว้ภายใต้ประมุขหนึ่งเดียวภายใต้อำนาจความเป็นประมุขหนึ่งเดียวของพระคริสต์ — อฟ.1:10, 22–23; 4:15–16; กซ.2:19.
3. ถ้าเราเคารพอำนาจความเป็นประมุขหนึ่งเดียวของพระคริสต์ คริสตจักรที่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะไม่เพียงเป็นพระนิเวศน์เท่านั้น แต่ยังเป็นเมืองด้วย — ฮร.11:10; อษร.1:2–3; นฮย.1:9; 2:5, 17; 1ตธ.3:15; วว.21:2, 10–11:
(1) คริสตจักรในฐานะพระนิเวศน์นั้นประการสำคัญมีความเกี่ยวข้องกับพระคริสต์ในฐานะที่เป็นชีวิต ส่วนคริสตจักรในฐานะเมืองนั้นประการสำคัญมีความเกี่ยวข้องกับพระคริสต์ในฐานะที่เป็นประมุข — 1ตธ.3:15; มธ.5:14; กซ.3:4; 1:18:
ก. เมื่อเราประสบการณ์และรับสุขพระคริสต์เป็นชีวิต เราก็มีคริสตจักรเป็นพระนิเวศน์; เมื่อเราตระหนักถึงอำนาจความเป็นประมุขของพระคริสต์ คริสตจักรก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้นเป็นเมือง ซึ่งเป็นเครื่องหมายเล็งถึงอาณาจักรของพระเจ้า — มธ.16:18–19.
ข. คริสตจักรในฐานะเมืองนั้นไม่เพียงก่อสร้างขึ้นด้วยพระคริสต์ในฐานะที่เป็นชีวิตเท่านั้น แต่ยังก่อสร้างขึ้นด้วยอำนาจความเป็นประมุขของพระคริสต์ด้วย; ดังนั้นพระคริสต์จึงไม่เพียงต้องเป็นชีวิตของเราเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นประมุขของเราด้วย — กซ.3:4; 1:18; 2:19.
(2) ถ้าเราเคารพอำนาจความเป็นประมุขหนึ่งเดียวของพระคริสต์ คริสตจักรก็จะถูกขยายใหญ่ขึ้นจากพระนิเวศน์เป็นเมือง เพื่อกษัตริย์และอาณาจักรของพระองค์ — บพส.48:1–2; 1กธ.1:2; 12:12–13, 27; อฟ.1:22–23; 4:15–16; วว.21:2, 10–11, 14; 11:15.
IV. เราต้องก่อสร้างกำแพงเพื่อปกป้องคริสตจักรจากคำสอนที่แตกต่างออกไป ซึ่งตรงกันข้ามกับคำสอนของอัครทูต — กจ.2:42; 1ตธ.1:3–4:
1. คำสอนที่แตกต่างออกไปชี้ถึงคำสอนที่ไม่อยู่ในเส้นทางแห่งแผนการบริหารของพระเจ้า — 6:3.
2. คำสอนที่แตกต่างออกไปใน 1:3–4, 6–7; 6:3–5, 20–21 และมิจฉาลัทธิใน 4:1–3 คือเมล็ดพันธุ์หรือแหล่งกำเนิดแห่งการเสื่อมถอย, การตกต่ำ, และการแปรสภาพไปของคริสตจักร.
3. คำสอนที่แตกต่างออกไปรื้อทำลายการก่อสร้างของพระเจ้าและทำให้แผนการบริหารของพระเจ้าสูญเสียประสิทธิภาพไป; กระทั่งคำสอนที่แตกต่างออกไปเพียงเล็กน้อยก็สามารถทำลายการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้.
4. สำหรับการบริหารปกครองและการเลี้ยงดูคริสตจักรท้องถิ่นนั้น สิ่งแรกที่จำเป็นก็คือการสิ้นสุดคำสอนที่แตกต่างออกไปของผู้ที่มีความเห็นต่าง ซึ่งทำให้วิสุทธิชนเบี่ยงเบนไปจากเส้นทางศูนย์กลางแห่งแผนการบริหารของพระเจ้า — ตต.1:9.
5. เราต้องหลีกเลี่ยงคำสอนที่แตกต่างออกไปและเพ่งความสนใจอยู่ที่แผนการบริหารของพระเจ้าเกี่ยวกับพระคริสต์และคริสตจักร — 1ตธ.1:3–4; อฟ.3:9; 5:32.
V. ถ้ากำแพงถูกก่อสร้างขึ้นในคริสตจักร เราก็จะได้รับการปกป้องจากผู้ที่ศัตรูใช้มาทำลายการงานแห่งการก่อสร้างของพระเจ้า:
1. ผู้ที่ทำลายการก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ประกาศและสอนมิจฉาลัทธิ — 2ปต.2:1; 2ยฮ 7–11:
(1) ผู้ที่สอนมิจฉาลัทธิเกี่ยวกับฐานันดรของพระคริสต์คือผู้ต่อต้านพระคริสต์ ซึ่งได้ปฏิเสธทั้งฐานันดรขององค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะที่เป็นเจ้านาย และการไถ่ของพระองค์ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงซื้อผู้เชื่อทั้งหลายไว้; การปฏิเสธว่าองค์มนุษย์พระเยซูเป็นพระเจ้านั้นคือมิจฉาลัทธิที่ยิ่งใหญ่ — ข้อ 7; 1ยฮ.2:18, 22–23; 4:2–3.
(2) อัครทูตเตือนผู้เชื่อทั้งหลายให้เฝ้าระวังตัวเอง เกรงว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากมิจฉาลัทธิและสูญเสียเรื่องของหลักความจริงไป; เราต้องปฏิเสธละทิ้งผู้ที่ปฏิเสธเรื่องการปฏิสนธิและฐานันดรความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ ไม่ต้อนรับพวกเขาเข้ามาในบ้านของเราหรือทักทายพวกเขา — 2ยฮ.8–11.
2. ผู้ที่ทำลายการก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ก่อการแตกก๊กแตกเหล่ากัน แบ่งพรรคแบ่งพวกกัน — ตต.3:10:
(1) คนที่ก่อการแตกก๊กแตกเหล่ากันคือพวกมิจฉาลัทธิที่แบ่งพรรคแบ่งพวก ซึ่งคอยก่อการแตกแยกในคริสตจักรโดยการตั้งกลุ่มคณะขึ้นมาตามความคิดเห็นของตนเอง; ในการรักษาความเป็นระเบียบในคริสตจักรนั้น หากเราได้เตือนคนที่แตกก๊กแตกเหล่าที่ก่อการแตกแยกครั้งหนึ่งก็แล้ว สองครั้งก็แล้ว เราต้องปฏิเสธละทิ้งเขาไปเสีย — ข้อ 10.
(2) เนื่องจากการแตกแยกเช่นนี้เป็นการแพร่ระบาด ดังนั้นการปฏิเสธละทิ้งนี้จึงมีเพื่อประโยชน์ของคริสตจักร เพื่อหยุดการไปมาหาสู่กับคนที่ก่อการแตกแยก — เทียบ อฤธ.6:6–7.
3. ผู้ที่ทำลายการก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ก่อการแตกแยก — รม.16:17:
(1) ในโรมบทที่ 14 เปาโลมีจิตใจโอบอ้อมอารีและกว้างขวางมากเกี่ยวกับการต้อนรับผู้เชื่อที่มีข้อแตกต่างในด้านหลักธรรมหรือภาคปฏิบัติ; แต่ใน รม.16:17 เขากลับยืนกรานแน่วแน่ว่า “ให้คอยจับตาดูคนเหล่านั้นที่ก่อการแตกแยกและทำให้ผู้อื่นสะดุด ซึ่งเป็นการผิดจากคำสอนซึ่งท่านได้เรียนไว้แล้วนั้น และให้หลีกห่างจากคนเหล่านั้น.”
(2) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเกลียดชัง “คนที่หว่านความแตกร้าวในท่ามกลางพี่น้อง” — สภษ.6:16, 19.
4. ผู้ที่ทำลายการก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์คือคนที่ทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่ง — 3ยฮ.9:
(1) เราไม่ควรไล่ล่าที่จะเป็นเอกเป็นต้นในการงานใดๆ เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า; นี่เป็นการงานที่แอบแฝงของความทะเยอทะยานที่ซ่อนเร้นอยากที่จะแข่งขันกับผู้คนเพื่อจะเป็นเอกเป็นต้น — ข้อ 9.
(2) ผู้ที่ทำลายการก่อสร้างอันศักดิ์สิทธิ์คือคนที่เป็นสุนัขป่าซึ่งไม่ละเว้นฝูงแกะและคนที่พูดถ้อยคำบิดเบือนเพื่อจะชักนำผู้เชื่อให้ตามพวกเขาไป — กจ.20:29–30.
VI. หลังจากที่กำแพงถูกก่อสร้างขึ้นมาแล้ว เราก็จะสามารถต้านทานการโจมตีของความตายที่มีเหนือคริสตจักรได้ และก่อสร้างพระกายของพระคริสต์อยู่ในชีวิตแห่งการเป็นขึ้นของพระคริสต์ — มธ.16:18; ยฮ.11:25; อฟ.1:22–23; 4:16:
1. ความตายเป็นลักษณะพิเศษแห่งการงานของซาตาน; เป้าหมายสุดยอดในการงานของมันคือการทำให้มนุษย์ซาบซ่านด้วยความตาย — ฮร.2:15.
2. มัดธาย 16:18 แสดงให้เราเห็นว่าแหล่งกำเนิดของการโจมตีที่มีเหนือคริสตจักรนั้นจะมาจากไหน — “ประตูแห่งแดนมรณา” ซึ่งก็คือความตาย:
(1) เป้าหมายที่พิเศษของซาตานคือการแพร่กระจายความตายเข้าไปภายในคริสตจักร และสิ่งที่มันกลัวมากที่สุดในเรื่องของคริสตจักรก็คือแรงต้านทานที่คริสตจักรมีต่อฤทธิ์อำนาจแห่งความตายของมัน — วว.2:8, 10–11.
(2) คริสตจักรที่ถูกก่อสร้างไว้บน “ศิลานี้” สามารถแยกแยะความตายกับชีวิตได้ และประตูแห่งแดนมรณาก็ไม่อาจมีชัยชนะต่อคริสตจักร — มธ.16:18.
3. เราต้องรู้จักพระคริสต์ในฐานะที่เป็นคนแรกและคนสุดท้าย — ผู้ที่ดำรงอยู่นิรันดร์ไม่แปรเปลี่ยน — และในฐานะผู้ที่ได้ตายแล้วแต่ยังมีชีวิตอยู่อีก — พระองค์ก็คือการเป็นขึ้น — วว.1:17–18; 2:8; ยฮ.11:25; กจ.2:24.
4. เราสามารถก่อสร้างพระกายของพระคริสต์ในชีวิตแห่งการเป็นขึ้นของพระคริสต์เท่านั้น — อฟ.2:6, 21–22; 4:16; วว.1:18; 2:8; ฟป.3:10:
(1) พระกายของพระคริสต์นั้นอยู่ในชีวิตแห่งการเป็นขึ้นของพระคริสต์ — ยฮ.11:25:
ก. เนื้อแท้ของคริสตจักรในฐานะพระกายของพระคริสต์ก็คือการเป็นขึ้น — กจ.2:24; อฟ.1:19–23.
ข. คริสตจักรเป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ที่ถูกเนรมิตสร้างอยู่ในการเป็นขึ้นของพระคริสต์และโดยพระคริสต์ผู้เป็นขึ้น — 1ปต.1:3; อฟ.2:6; ฆต.6:15.
(2) พระกายของพระคริสต์อยู่ในการเป็นขึ้น และความเที่ยงแท้ของการเป็นขึ้นก็คือพระคริสต์ในฐานะพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต — ยฮ.11:25; 20:22; 1กธ.15:45ข.
(3) หลักการของการเป็นขึ้นคือชีวิตธรรมชาติถูกประหารและชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาแทนที่ — 2กธ.1:9.
(4) เมื่อเราไม่ดำเนินชีวิตโดยชีวิตธรรมชาติ แต่ดำเนินชีวิตโดยชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในเรา เราก็อยู่ในการเป็นขึ้น; ผลลัพธ์ของการดำเนินชีวิตเช่นนี้คือการเติบโตและการก่อสร้างคริสตจักรอันเป็นพระกายของพระคริสต์ — ฟป.3:10–11; อฟ.4:15–16; กซ.2:19; 3:15.