สรุปรวบยอดหนังสือ1 & 2 โครนิกา, เอษรา,นะเฮมยา, และเอศเธระ
(2)
I. พระเจ้าทรงปรารถนาจะสิ้นสุดยุคสมัยนี้และนำมาซึ่งยุคอาณาจักร; การที่พระองค์จะทำให้เรื่องนี้สำเร็จสมบูรณ์ได้นั้น พระองค์จะต้องมีสื่อกลางแห่งกาลสมัย:
1. เราทุกคนล้วนต้องเฝ้าหวังในองค์พระผู้เป็นเจ้าและอธิษฐาน เพื่อเราจะมีคุณค่าในเชิงกาลสมัยต่อพระเจ้า; เราต้องถามตัวเราเองว่า เรากำลังทำอะไรเพื่อสิ้นสุดกาลสมัยนี้และนำมาซึ่งยุคถัดไป คือยุคอาณาจักร; นี่เป็นช่วงเวลาที่พิเศษ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีผู้เชื่อที่พิเศษ ซึ่งจะมาทำการงานที่พิเศษ.
2. ผู้ที่ได้แต่พูดว่า “ไป” แต่ไม่สามารถพูดว่า “มา” ย่อมไม่อาจส่งผลต่อผู้อื่นได้; กล่าวคือ พวกเขาจะไม่มีคุณค่าในเชิงกาลสมัยต่อพระเจ้า — เทียบ ฮร.10:22:
(1) ผู้เขียนหนังสือเฮ็บรายไม่ได้บอกผู้เชื่อให้ไป แต่ให้มา; นี่หมายความว่า ผู้เขียนอยู่ในสถานที่ที่เฉพาะเจาะจง และเขาต้องการให้ผู้อ่านของเขามายังสถานที่ที่เขาอยู่.
(2) เราต้องมายังสามสิ่ง: ที่บริสุทธิ์สุด, พระที่นั่งแห่งพระคุณ, และตัวของพระเจ้าเอง; อย่าได้ถอยกลับไป แต่จงเข้ามา — ข้อ 22; 4:16; 7:25; 11:6.
(3) พระเจ้าทรงอยู่บนพระที่นั่งแห่งพระคุณ และพระที่นั่งแห่งพระคุณก็อยู่ในที่บริสุทธิ์สุด; ในเวลาที่เขียนหนังสือเฮ็บรายนั้น ผู้เขียนอยู่ในที่บริสุทธิ์สุด เขาจึงร้องเรียกผู้เชื่อชาวเฮ็บรายให้เข้ามาในที่บริสุทธิ์สุด.
3. การรับบุตรชายขึ้นไปยังสวรรค์, การทิ้งซาตานลงมาบนแผ่นดินโลก, และการป่าวประกาศในสวรรค์ว่า อาณาจักรได้มาถึงแล้วนั้น เป็นเครื่องหมายเล็งว่า การที่พระเจ้าทรงได้มาซึ่งบุตรชายคือการเคลื่อนไหวในเชิงกาลสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ เพราะการเคลื่อนไหวนี้จะสิ้นสุดยุคคริสตจักรและนำมาซึ่งยุคอาณาจักร — วว.12:5, 9–10; 11:15.
4. การรับบุตรชายขึ้นไปยังพระที่นั่งของพระเจ้าจะเกิดขึ้นก่อน 1,260 วัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของภัยพิบัติใหญ่สามปีครึ่ง (42 เดือน) — 12:1–14; 13:5; 11:2.
5. เราคือผู้ได้รับเอกสิทธิ์ให้มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่พิเศษที่สุด เป็นช่วงเวลาที่เราจะทำการงานเพื่อพระเจ้าได้มากที่สุด; พระเจ้าผู้เป็นความสว่างจะสำแดงให้เราเห็นหนทาง แต่ถ้าจะเดินตามหนทางนั้น เราต้องมีพระคริสต์ผู้อาศัยอยู่ภายในเป็นกำลังและฤทธิ์เดช; ถ้าเราอยากเป็นผู้ที่ให้พระเจ้าทรงใช้การได้ในวันนี้ เราจำต้องจ่ายราคาอย่างใหญ่หลวง — 3:18.
II. เนื่องจากคริสตจักรไม่ได้บรรลุถึงพระประสงค์ของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเลือกผู้มีชัยชนะกลุ่มหนึ่งซึ่งจะบรรลุถึงพระประสงค์ของพระองค์ และทำให้ข้อเรียกร้องของพระองค์สำเร็จเป็นจริง; นี่ก็คือหลักการของบุตรชาย — 12:1–2, 5, 10–11; 2:7, 11, 17, 26–28; 3:5, 12, 20–21:
1. ผู้หญิงที่สว่างไสวแห่งจักรวาลเป็นตัวแทนถึงการสรุปรวมแห่งพลไพร่ของพระเจ้า และในที่สุดแล้ว เชื้อสายของหญิงใน ยนซ.3:15 ก็จะขยายใหญ่ขึ้น ครอบคลุมถึงผู้เชื่อที่มีชัยชนะ ซึ่งเป็นส่วนที่เข้มแข็งกว่าในท่ามกลางพลไพร่ของพระเจ้า ซึ่งมีเครื่องหมายเล็งโดยบุตรชาย — วว.12:1–2, 5, 10–11.
2. พระคริสต์ผู้เป็นขึ้นในฐานะพระวิญญาณผู้ประทานชีวิตทรงเป็นพงศ์พันธุ์ของหญิงหรือเชื้อสายของหญิงที่ผ่านการเปลี่ยนรูปลักษณะ ซึ่งถูกแจกจ่ายเข้าสู่เรามาทำให้หัวงูที่อยู่ในเราฟกช้ำและทำให้เรากลายเป็นเชื้อสายแห่งกลุ่มชนของหญิง คือบุตรชายที่มีชัยชนะ เพื่อนำการพิพากษาของพระเจ้าไปปฏิบัติการบนตัวของงูโบราณ และเพื่อเป็นสื่อกลางแห่งกาลสมัยของพระเจ้ามาหันเปลี่ยนยุคสมัยและนำมาซึ่งการปรากฏเป็นที่ประจักษ์แห่งอาณาจักรของพระเจ้า — ข้อ 5.
3. บทเพลงสรรเสริญ 2:8–9, วิวรณ์ 2:26–27, และ วิวรณ์ 12:5 บ่งชี้ว่า องค์พระเยซูเจ้าในฐานะผู้ที่ได้รับการชโลมจากพระเจ้า, เหล่าผู้มีชัยชนะในคริสตจักรทั้งหลาย, และบุตรชายจะปกครองประเทศต่างๆ ด้วยคทาเหล็ก; ดังนั้นจึงพิสูจน์ได้ว่า องค์พระเยซูเจ้า, เหล่าผู้มีชัยชนะ, และบุตรชายเป็นหนึ่งเดียวกัน; องค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะผู้มีชัยชนะที่นำหน้า (3:21) ทรงเป็นศีรษะ, ศูนย์กลาง, ความเที่ยงแท้, ชีวิต, และเนื้อแท้ของบุตรชาย และบุตรชายในฐานะผู้มีชัยชนะที่ติดตามมานั้นเป็นพระกายขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
4. โดยการตายขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนกางเขน ซาตานงูเฒ่าก็ได้ถูกพิพากษาและถูกขับไล่ออกไป (ยฮ.12:31; 16:11); สุดท้ายการพิพากษาและการตัดสินโทษนั้นจะสำเร็จลุล่วงและปฏิบัติการโดยเหล่าผู้มีชัยชนะซึ่งเป็นบุตรชาย, เชื้อสายแห่งกลุ่มชนของหญิง; แท้จริงแล้วสงครามระหว่างผู้เชื่อที่มีชัยชนะกับซาตานก็คือการปฏิบัติการให้เป็นไปตามการพิพากษาขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนตัวของมัน เพื่อในที่สุดมันก็จะถูกขับไล่ออกไปจากสวรรค์ (วว.12:7–9).
5. บุตรชายประกอบไปด้วยเหล่าผู้มีชัยชนะที่ยืนอยู่ในฐานะของคริสตจักร, รับฐานะที่ทั้งคริสตจักรควรรับ, และทำการงานเพื่อคริสตจักร — 2:7ข, 11ข, 17ข, 26–28; 3:5, 12, 21; 12:5, 11:
(1) พลไพร่ของพระเจ้าทุกคนล้วนมีส่วนในพระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระองค์ แต่กลับไม่ได้รับผิดชอบในหน้าที่ของตนกันทุกคน; ดังนั้นพระเจ้าจึงทรงเลือกสรรพลไพร่กลุ่มหนึ่งออกมาจากท่ามกลางพวกเขา — บุตรชายที่ผู้หญิงคนนั้นได้ให้กำเนิด.
(2) ในพระคัมภีร์นั้น ส่วนที่เข้มแข็งกว่าในท่ามกลางพลไพร่ของพระเจ้าถูกนับว่าเป็นหน่วยที่รวมเข้าด้วยกัน ซึ่งสู้รบเพื่อพระเจ้าและนำอาณาจักรของพระเจ้าลงมาสู่แผ่นดินโลก — วว.12:5, 10–11.
(3) พระเจ้าจะทรงใช้บุตรชายมาทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จเป็นจริง และทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ — 1ตธ.1:4; 2ตธ.1:9; อฟ.1:9, 11; 3:11.
(4) พระเจ้าทรงต้องการบุตรชายมาปราบศัตรูของพระองค์ให้พ่ายแพ้ และนำอาณาจักรของพระองค์เข้ามา เพื่อพระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระองค์จะได้สำเร็จสมบูรณ์; การฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือภาคปฏิบัติที่เป็นจริงแห่งแผนการบริหารของพระเจ้าในวันนี้ และมีเพียงบุตรชายเท่านั้นที่สามารถทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จลุล่วงได้ — วว.12:10.
6. การถูกรับขึ้นไปของบุตรชายเป็นแผนการซึ่งทำให้ซาตานไม่เหลือฐานะใดๆ บนสวรรค์อีก; เราต้องถูกรับขึ้นไปเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของพระเจ้า โดยการปฏิบัติการให้เป็นไปตามการพิพากษาของพระเจ้าบนตัวศัตรูของพระองค์ — ข้อ 5, 7–10.
7. คนเหล่านั้นที่ก่อรูปขึ้นเป็นบุตรชายได้มีชัยชนะต่อมาร (ผู้ฟ้องร้อง, ผู้พูดใส่ร้าย) ซึ่งก็คือซาตานปรปักษ์ของพระเจ้า เพราะพระโลหิตของพระเมษโปดก, เพราะถ้อยคำที่ตนเองได้เป็นพยาน, และเขาไม่รักชีวิตฝ่ายจิตของตนเองแม้ต้องถึงตาย — ข้อ 10–11.
8. ทั่วทั้งตัวของบุตรชายถูกซาบซ่านและแผ่ซ่านด้วยองค์ประกอบของพระคริสต์ เพราะพวกเขาได้รับการเพิ่มกำลังเข้าสู่มนุษย์ภายในของพวกเขาเป็นประจำทุกวัน เพื่อพระคริสต์จะได้ก่อสร้างตัวของพระองค์เองเข้าสู่ใจของพวกเขา, พวกเขาจะได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยความอุดมสมบูรณ์อันหาที่สุดไม่ได้ของพระคริสต์, และพวกเขาจะสวมใส่พระคริสต์เป็นยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า — อฟ.3:16–18, 8; 6:10–11.
III. ในเวลาที่ชนชาติอิสราเอลถูกจับไปเป็นเชลยเป็นเวลาเจ็ดสิบปี เพราะเหตุนะเฮมยาซึ่งเป็นผู้มีชัยชนะที่แท้จริง พระเจ้าจึงยังคงมีการเคลื่อนไหวในเชิงกาลสมัย; เขาเป็นแบบอย่างของผู้ที่มีคุณค่าในเชิงกาลสมัยต่อพระเจ้า — นฮย.1:1–11; 2:9–20; 4:4–5, 9; 5:10, 14–19; 8:1–10; 13:14, 29–31:
1. ประเด็นสำคัญที่อยู่ในหนังสือนะเฮมยาคือการก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับกำแพงเมืองขึ้นใหม่นั้นเป็นทั้งการฟื้นฟูที่ต่อเนื่องมาในท่ามกลางพลไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกสรรเพื่อพยานของพระองค์ในฐานะการสำเร็จสมบูรณ์แห่งแผนการบริหารของพระเจ้า และการคุ้มกัน, การปกป้องพระนิเวศน์ของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองนั้น:
(1) กรณีนี้เป็นเครื่องหมายเล็งว่า พระนิเวศน์ของพระเจ้าซึ่งเป็นที่ประทับและบ้านของพระองค์บนแผ่นดินโลกนั้นจำเป็นต้องมีอาณาจักรของพระองค์ถูกตั้งขึ้นมาเป็นขอบเขต เพื่อคุ้มกันสิทธิประโยชน์ของพระองค์บนแผ่นดินโลกสำหรับการบริหารปกครองของพระองค์ เพื่อทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จลุล่วง — เทียบ รม.14:17.
(2) การก่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้าขึ้นมาใหม่เป็นแบบเล็งถึงการฟื้นฟูที่พระเจ้าทรงมีต่อคริสตจักรที่ตกต่ำ ส่วนการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่เป็นแบบเล็งถึงการฟื้นฟูที่พระเจ้าทรงมีต่ออาณาจักรของพระองค์; การก่อสร้างพระนิเวศน์และอาณาจักรของพระเจ้าได้ดำเนินควบคู่กันไป — มธ.16:18–19.
2. เมื่อเราตระหนักและรับสุขพระคริสต์เป็นชีวิตของเรา เราก็มีคริสตจักรเป็นพระนิเวศน์ของพระเจ้า; ถ้าเรามุ่งหน้าต่อไปและตระหนักถึงฐานะประมุขของพระองค์ พระนิเวศน์ก็จะขยายใหญ่ขึ้นเป็นเมือง เป็นอาณาจักรของพระเจ้า — อฟ.1:10, 22–23; 4:15; วว.22:1.
3. นะเฮมยาแสดงให้เห็นถึงความจำเป็นที่เราต้องมีการรุกหน้าที่ถูกต้องในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนี้:
(1) ผู้นำของชนชาติโมอาบและชนชาติอำโมนไม่พอใจอย่างยิ่งที่นะเฮมยามาแสวงหาคุณประโยชน์ให้ชนชาติอิสราเอล; พงศ์พันธุ์ของของโลตซึ่งเป็นการเพิ่มพูนที่ไม่บริสุทธิ์นี้เกลียดชังและดูถูกชาวอิสราเอล — นฮย.2:10, 19; เทียบ ยอค.25:3, 8.
(2) เกี่ยวกับการเยาะเย้ย, การดูหมิ่น, และการด่าประณามของผู้ต่อต้านเหล่านี้ นะเฮมยาเป็นผู้ที่บริสุทธิ์หมดจดและรุกหน้าอย่างมาก เขาไม่ขลาดกลัวเลย — นฮย.2:17–20; 4:1–23, เทียบ กจ.4:29–31; 1ธซ.2:2; 2ตธ.1:7–8.
(3) ผู้ที่รุกหน้าต้อนรับการช่วยเหลือจากพระเจ้า; อัครทูตเปาโลเป็นเหมือนอย่างนะเฮมยา คือได้ร่วมประสานกับพระเจ้าและตระหนักถึงการช่วยเหลือของพระเจ้าในการร่วมประสานนี้ — กจ.26:21–22.
(4) ความรุกหน้าของนะเฮมยา ซึ่งเป็นคุณธรรมอย่างหนึ่งในการประพฤติของเขานั้นได้แสดงให้เห็นว่า ศักยภาพทางธรรมชาติ, ความสามารถทางธรรมชาติ, และคุณธรรมทางธรรมชาติของเราจะต้องผ่านกางเขนของพระคริสต์และถูกนำเข้าสู่การเป็นขึ้น ซึ่งก็คือถูกนำเข้าสู่พระวิญญาณนั้นผู้เป็นการสำเร็จสุดยอดของพระเจ้าตรีเอกภาพ เพื่อจะให้พระเจ้าสามารถใช้การได้ในการทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์.
4. นะเฮมยาไม่ดำเนินชีวิตในมนุษย์ธรรมชาติของเขา แต่ดำเนินชีวิตอยู่ในการเป็นขึ้น; เขาเป็นผู้ที่รุกหน้า แต่ความรุกหน้าของเขาก็มีลักษณะเฉพาะอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย:
(1) ในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพระเจ้า เขาเป็นผู้ที่รักพระเจ้าและรักสิทธิประโยชน์ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก ซึ่งครอบคลุมถึงดินแดนบริสุทธิ์ (เป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์), พระวิหารบริสุทธิ์ (เป็นเครื่องหมายเล็งถึงคริสตจักร), และเมืองบริสุทธิ์ (เป็นเครื่องหมายเล็งถึงอาณาจักรของพระเจ้า) — 1พกษ.8:48; เทียบ 2ตธ.3:1–5.
(2) เนื่องจากนะเฮมยาเป็นผู้ที่รักพระเจ้า เขาจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อติดต่อกับพระองค์อยู่ในการสามัคคีธรรม; สำหรับการก่อสร้างกำแพงเมืองขึ้นมาใหม่นั้น นะเฮมยายืนหยัดอยู่บนพระคำของพระเจ้าและอธิษฐานตามพระคำนั้น — นฮย.1:1–11; 2:4; 4:4–5, 9.
(3) นะเฮมยาเชื่อพึ่งในพระเจ้าและกระทั่งเป็นหนึ่งกับพระเจ้าด้วย; ผลลัพธ์จึงทำให้เขากลายเป็นตัวแทนของพระเจ้า — 5:19; เทียบ 2กธ.5:20.
(4) ในความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพลไพร่นั้น นะเฮมยาไม่มีความเห็นแก่ตัวเลย เขาไม่แสวงหาสิ่งใดเพื่อตัวเองหรือเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง; เขายินดีที่จะเสียสละสิ่งที่เขามีเพื่อพลไพร่และเพื่อประเทศชาติเสมอ — นฮย.5:10, 14–19.
5. นะเฮมยาซึ่งเป็นผู้ว่าราชการในตำแหน่งของกษัตริย์นั้น เป็นบุคคลที่มีใจบริสุทธิ์หมดจดเพื่อการก่อสร้างกำแพงกรุงเยรูซาเล็มขึ้นใหม่ เพื่อทำให้แผนการบริหารของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง; เขาเป็นแบบอย่างถึงสิ่งที่ผู้นำในท่ามกลางพลไพร่ของพระเจ้าควรจะเป็น — เทียบ 1ตธ.3:2–7; 1ปต.5:1–3:
(1) นะเฮมยาไม่เห็นแก่ตัว, ไม่แสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง, และไม่ดำเนินตามราคะตัณหาฝ่ายเนื้อหนังเหมือนอย่างกษัตริย์หลายองค์ของอิสราเอลและยูดา.
(2) ในฐานะที่เป็นหัวหน้าผู้บังคับบัญชา นะเฮมยาอยู่ในท่ามกลางผู้ที่พร้อมจะสู้รบกับศัตรู และเขามีส่วนในการเป็นยามในเวลากลางคืน; เขาไม่ได้ทิ้งเรื่องราวเหล่านี้ไว้กับผู้อื่น แต่ตัวของเขาเองก็มีส่วนร่วมในเรื่องเหล่านี้ — นฮย.4:9–23.
(3) เขากับพี่น้องของเขาไม่ได้รับประทานอาหารที่มาจากเงินตำแหน่งผู้ว่าราชการเป็นเวลาถึงสิบสองปีด้วยกัน เพราะความยำเกรงพระเจ้า — 5:14–15.
(4) นะเฮมยาทำการสร้างกำแพงเมืองโดยไม่ได้รับค่าจ้างใดๆ; เขาไม่แสวงหาสิ่งใดเพื่อตัวเอง แต่กลับเลี้ยงดูผู้อื่นเพื่อมาก่อสร้างกำแพง — ข้อ 16–18.
6. แม้นะเฮมยาจะเป็นผู้ปกครอง แต่เขาไม่มีความทะเยอทะยานเลย; กรณีนี้บ่งชี้ได้โดยข้อเท็จจริงที่ว่า ในเรื่องของการก่อรูปประเทศขึ้นใหม่นั้น เขายอมรับว่าเขาต้องการเอษราให้มาช่วยก่อรูปพลไพร่ขึ้นใหม่ด้วยพระคำของพระเจ้า — 8:1–10; ฟป.2:3–4.
7. นะเฮมยาเป็นผู้นำที่สมบูรณ์แบบ เป็นผู้นำที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดถึงสิ่งที่ผู้อาวุโสควรจะเป็น; เราทั้งหลายโดยเฉพาะผู้นำพาที่อยู่ในคริสตจักรควรจะพิจารณาดูตัวอย่างของเขา นี่ย่อมเป็นเรื่องที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพื่อเราจะเป็นแบบอย่างในการได้รับพระเจ้าและหลั่งไหลพระเจ้าไปสู่ผู้อื่น เพื่อมาหันเปลี่ยนยุคสมัยนี้ — นฮย.5:19; 13:14.