สรุปรวบยอดหนังสือ1 & 2 โครนิกา, เอษรา,นะเฮมยา, และเอศเธระ
(2)
I. “แท้จริงพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์เอง โอ พระเจ้าแห่งอิสราเอลพระผู้ช่วยให้รอด” — ยซย.45:15:
1. บุตรของพระเจ้าไม่ค่อยมีคนใดที่รู้ว่า พระคัมภีร์กล่าวถึงพระเจ้าในฐานะพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์เอง — ข้อ 15:
(1) กรณีนี้พิสูจน์ว่า บุตรของพระเจ้าไม่มีการรู้จักที่มากพอต่อพระเจ้าในฐานะพระองค์ผู้ทรงซ่อนพระองค์เอง.
(2) เราอาจจะรู้จักพระเจ้าในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์, พระเจ้าผู้ชอบธรรม, และพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระคุณและความเอ็นดูรักใคร่; แต่เราอาจจะไม่รู้จักพระเจ้าในฐานะพระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์เอง — ลก.1:49; 1ปต.5:6; วว.15:3; อฟ.2:7; บพส.17:7.
2. แม้พระเจ้าของเราจะทรงอยู่ทุกแห่งหน, กระทำได้ทุกสิ่ง, และเปี่ยมด้วยการอภัย แต่พระองค์ก็ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซ่อนเร้นด้วย ดังที่ได้บ่งชี้ไว้ในหนังสือเอศเธระ — 4:14.
3. พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างจักรวาล แล้วพระองค์ก็ทรงซ่อนพระองค์เองอยู่ในนั้น จนเราไม่รู้ว่าจะพบพระองค์ได้ที่ไหน — โยบ 23:3.
4. พระเจ้าทรงกระทำสิ่งต่างๆ นับไม่ถ้วนในท่ามกลางชนชาติอิสราเอลและอีกนับไม่ถ้วนในชีวิตส่วนตัวของพวกเขา แต่พระองค์ทรงปิดซ่อนพระองค์เองไว้; พระองค์ทรงทำงานอย่างไม่หยุดหย่อน ทว่าพระองค์ทรงซ่อนเร้นอยู่เสมอ — ยซย.45:15
5. เราต้องตระหนักว่า พระเจ้าผู้ทรงกระทำได้ทุกสิ่งซึ่งเราปรนนิบัติอยู่นั้นยังคงซ่อนพระองค์เองอยู่ โดยเฉพาะในยามที่พระองค์ทรงช่วยเหลือเรา — ยฮ.14:26; รม.8:28:
(1) เราไม่สามารถมองเห็นพระองค์ได้ และเมื่อดูอย่างผิวเผินแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้กระทำสิ่งใด.
(2) แท้จริงแล้ว ในขณะที่พระองค์ทรงเพิ่มกำลังเข้าสู่มนุษย์ภายในของเราด้วยฤทธิ์เดชโดยพระวิญญาณของพระองค์ เพื่อพระคริสต์จะได้ประทับครองเรือนอยู่ในใจของเรานั้น พระองค์ก็ทรงกระทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเราอยู่อย่างซ่อนเร้น — ข้อ 28, 34; อธร.4:14; ฟป.2:13; อฟ.3:16–17ก.
6. พระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์เองกำลังดำเนินการอยู่ภายในเราอย่างนิ่งเงียบ แต่ทรงมหิทธิฤทธิ์ — ฟป.2:13:
(1) ความรับผิดชอบของเราคือการร่วมมือกับพระองค์โดยการตอบรับความรู้สึกทางภายในที่อยู่ส่วนลึกภายในเรา — รม.8:6.
(2) เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าพระเจ้าทรงดำเนินชีวิตและกระทำการอยู่ภายในเรา เราควรจะกล่าวว่า อาเมน เพราะ ณ ที่นั่นในส่วนลึกของตัวเรานั้น พระเจ้าผู้ทรงซ่อนพระองค์เองทรงกำลังทำการงานอยู่อย่างลับๆ และไม่หยุดหย่อน.
7. ถ้าเราศึกษาพระคัมภีร์อย่างละเอียดถี่ถ้วน เราก็จะมองเห็นว่า พระเจ้าทรงมีนิสัยใจคออย่างหนึ่งที่ไม่ชอบการแพร่งพราย; พระองค์ชอบที่จะทำการงานอย่างลับๆ มากกว่าที่จะกระทำอย่างเปิดเผย — มธ.6:1–8.
8. อุปนิสัยของเราขัดกับอุปนิสัยที่ซ่อนตัวไว้ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง — ยซย.45:15:
(1) พระเจ้าชอบการปิดซ่อน; เราชอบการแสดงตัว — มธ.6:1.
(2) พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาการปรากฏเป็นที่ประจักษ์ทางภายนอก; ส่วนเราไม่อาจพึงพอใจได้หากปราศจากสิ่งเหล่านั้น — ข้อ 2.
(3) อุปนิสัยอันศักดิ์สิทธิ์นี้กลายเป็นการทดลองและการทดสอบที่ยิ่งใหญ่ต่อเรา.
II. หนังสือเอศเธระได้ให้บทบันทึกที่ชัดแจ้งถึงการที่พระเจ้าผู้ซ่อนเร้นของอิสราเอลทรงดูแลพลไพร่ของพระองค์อย่างลับๆ คือผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรซึ่งถูกกดขี่ในขณะที่พวกเขากระจัดกระจายไป และช่วยผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรซึ่งถูกข่มเหงและถูกจับไปเป็นเชลยให้รอดอย่างเปิดเผย — 1:1–22; 2:1–23:
1. ประเด็นสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือพระเจ้าผู้ทรงคัดสรรอิสราเอล พงศ์พันธุ์ของอับราฮามให้มาเป็นผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรนั้นได้ทำให้พวกเขาถูกจับไปเป็นเชลยในท่ามกลางชนต่างชาติ หลังจากนั้นพระองค์ได้ทรงกลายมาเป็นพระเจ้าผู้ซ่อนเร้นที่ได้กระทำการในที่ลับลี้ เพื่อดูแลพวกเขาอย่างลับๆ และช่วยพวกเขาให้รอดอย่างเปิดเผย — ยซย.45:15.
(1) นี่คือสาเหตุที่หนังสือเอศเธระไม่ได้เอ่ยถึงพระนามของพระเจ้าเลย กระทั่งในที่ซึ่งพระนามของพระเจ้าควรจะถูกเอ่ยถึงก็ตาม — 4:3, 16.
(2) ในด้านหนึ่ง พระเจ้าทรงใช้ชนต่างชาติมาเป็นเครื่องมือเพื่อตีสอนพลไพร่ของพระองค์; อีกด้านหนึ่ง พระเจ้าผู้ซ่อนเร้นก็ทรงสถิตอยู่กับพลไพร่ชาวอิสราเอลและดูแลพวกเขา.
2. พระเจ้าผู้ซ่อนเร้นทรงทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อชนชาติอิสราเอลอย่างลับๆ:
(1) พระเจ้าผู้ซ่อนเร้นทรงแต่งตั้งกษัตริย์ผู้สูงสุดในโลกของชาวต่างชาติให้ขึ้นมามีอำนาจเหนือจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่อินเดียไปจนถึงเอธิโอเปีย — 1:1–2.
(2) พระเจ้าผู้ซ่อนเร้นทรงทำให้กษัตริย์ผู้สูงสุดปลดราชินีของตน เพราะเธอไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเขา — ข้อ 3–22.
(3) ในการดูแลอย่างลับๆ ของพระเจ้าผู้ซ่อนเร้น พระองค์ได้ทรงตั้งเอศเธระซึ่งเป็นหญิงพรหมจารีชาวยิวที่เคยเป็นเด็กกำพร้าให้สวมมงกุฎเป็นราชินีของกษัตริย์ผู้สูงสุด — 2:1–18.
3. ในระหว่างช่วงปีที่ตกไปเป็นเชลย พระเจ้าทรงซ่อนเร้น และพระองค์ก็ยังคงซ่อนเร้นอยู่; กระทั่งในวันนี้ในยุคคริสตจักร พระเจ้าก็ทรงซ่อนพระองค์เองอยู่ — ยซย.45:15.
III. ความหมายสำคัญของคำอุปมาใน ลก.18:1–8 ล้ำลึกมาก และเราต้องรู้จักพระเจ้าที่ได้ถูกเปิดเผยไว้ในฐานะพระเจ้าผู้ซ่อนเร้น:
1. หญิงม่ายในข้อ 3 เป็นเครื่องหมายเล็งถึงผู้เชื่อ; ในแง่หนึ่ง ผู้เชื่อในพระคริสต์ก็คือหญิงม่ายในยุคปัจจุบันนี้ เพราะถ้าดูตามภายนอกแล้ว สามีของเธอซึ่งก็คือพระคริสต์ไม่ได้อยู่กับเธอแล้ว — 2กธ.11:2.
2. ผู้เชื่อในพระคริสต์อย่างเราก็เหมือนกับหญิงม่ายในคำอุปมานี้ (ลก.18:3) เรามีศัตรูอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือมารซาตานที่เราต้องการให้พระเจ้าทรงแก้แค้น:
(1) คำอุปมานี้บ่งชี้ถึงการทนทุกข์ที่เราได้รับจากศัตรูของเราในช่วงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่อยู่ด้วยทางภายนอก.
(2) ในช่วงที่พระองค์ไม่อยู่ด้วยทางภายนอกนั้น เราเป็นหญิงม่ายที่ถูกศัตรูรบกวนอยู่ตลอดเวลา.
3. ในขณะที่ศัตรูกำลังข่มเหงเรา ก็คล้ายกับว่าพระเจ้าของเราทรงไม่ชอบธรรม เพราะพระองค์ยอมให้บุตรทั้งหลายของพระองค์ถูกข่มเหงอย่างไม่ชอบธรรม — 1ปต.2:20; 3:14, 17; 4:13–16, 19:
(1) ตลอดหลายศตวรรษที่ผ่านมา มีผู้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าที่ซื่อตรงและสัตย์ซื่อนับพันนับหมื่นคนที่ได้ทนทุกข์กับการข่มเหงอย่างไม่ชอบธรรม; กระทั่งในทุกวันนี้หลายคนก็กำลังตกอยู่ในการถูกปฏิบัติอย่างไม่ชอบธรรม — วว.2:8–10.
(2) พระเจ้าของเราคล้ายกับทรงอยุติธรรม เพราะพระองค์ไม่ทรงเข้ามาพิพากษาและแก้ต่าง; เนื่องด้วยสถานการณ์เช่นนี้ องค์พระเยซูเจ้าจึงใช้ผู้พิพากษาอธรรมมาเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระเจ้าผู้คล้ายกับจะไม่กระทำสิ่งใดเพื่อพลไพร่ของพระองค์ที่ถูกข่มเหงเลย — ลก.18:2–6.
4. หญิงม่ายในคำอุปมานี้ได้มาหาผู้พิพากษาอธรรมอยู่เสมอ และขอให้เขาช่วยแก้แค้นศัตรูของเธอ; เราต้องอธิษฐานอย่างมั่นคงแน่วแน่เพื่อการแก้แค้นนี้และไม่อ่อนระอาใจ — ข้อ 1, 3:
(1) เมื่อสามีของเราไม่อยู่ด้วยทางภายนอกและเราถูกทิ้งไว้เป็นหญิงม่ายอยู่บนโลกนี้ พระเจ้าของเราก็คล้ายกับจะเป็นผู้พิพากษาอธรรมเป็นการชั่วคราว — ข้อ 6.
(2) แม้พระองค์จะดูคล้ายกับว่าเป็นผู้ที่อธรรม เราก็ยังคงต้องร้องขอต่อพระองค์, อธิษฐานอย่างมั่นคงแน่วแน่, และรบกวนพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อพระองค์จะสำเร็จการแก้แค้นอย่างรวดเร็วให้กับผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรที่ “ร่ำร้องต่อพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน” — ข้อ 7–8ก.
5. วิวรณ์ 8:5 บ่งชี้เป็นนัยถึงคำตอบสำหรับ 6:9–11 และ ลูกา 18:7–8:
(1) คำอธิษฐานของวิสุทธิชนใน วว.8:3–4 จะต้องมีเพื่อการพิพากษาแผ่นดินโลกที่ต่อต้านแผนการบริหารของพระเจ้า.
(2) การพิพากษาของพระเจ้าที่มีต่อแผ่นดินโลก — ทิ้งไฟลงมายังแผ่นดินโลก — คือคำตอบสำหรับคำอธิษฐานของวิสุทธิชนที่เติมพระคริสต์ผู้เป็นเครื่องหอมเข้าไป — ข้อ 3–5.
6. “เมื่อบุตรมนุษย์มา พระองค์จะพบความเชื่อบนแผ่นดินโลกหรือ?” — ลก.18:8ข:
(1) คำว่า “ความเชื่อ” ในภาษากรีกแปลตามตรงหมายถึง “ความเชื่อนั้น”; กรณีนี้ชี้ถึงความเชื่อที่มั่นคงแน่วแน่ที่ทำให้เราอธิษฐานอย่างมั่นคงแน่วแน่เหมือนกับความเชื่อของหญิงม่าย.
(2) ความเชื่อที่ทำให้เราได้รับความรอดนั้นเป็นความเชื่อในช่วงแรกเริ่ม; ความเชื่อที่นำเราเข้าสู่การเข้าสนิทในชีวิตกับพระคริสต์เป็นความเชื่อที่ทำการเชื่อมต่อ — ความเชื่อที่เข้าสู่เราโดยการที่เราติดต่อกับพระเจ้าตรีเอกภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเราจะมีชีวิตเป็นอยู่โดยพระบุตรของพระเจ้า — รม.1:17; ฆต.2:20; ยฮ.14:19.
(3) ความเชื่อที่ทำการเชื่อมต่อเป็นข้อเรียกร้องอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้มีชัยชนะ เพื่อจะพบกับพระคริสต์ในการเสด็จกลับมาเพื่อฉลองชัยของพระองค์ — ลก.18:8ข:
ก. ความเชื่อที่ทำการเชื่อมต่อคือพระเจ้าตรีเอกภาพที่เคลื่อนไหวอยู่ในเรา เพื่อเชื่อมต่อเรากับความอุดมสมบูรณ์อันหาที่สุดไม่ได้ของพระองค์ — อฟ.3:8.
ข. ความเชื่อที่ทำการเชื่อมต่อคือความเชื่อของผู้เชื่อที่ไม่เชื่อพึ่งในตัวเอง แต่เชื่อพึ่งในพระเจ้า — 2กธ.1:9.
ค. เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมา พระองค์จะพบกับผู้มีชัยชนะจำนวนหนึ่งที่มีชีวิตเป็นอยู่โดยความเชื่อที่ทำการเชื่อมต่อ และพระองค์จะทรงนับว่าพวกเขาเป็นทรัพย์ล้ำค่าสำหรับอาณาจักรของพระองค์ในการครอบครองของพระองค์เป็นเวลาหนึ่งพันปี — ลก.18:8ข; วว.20:4, 6.