สรุปรวบยอดหนังสือ1 & 2 โครนิกา, เอษรา,นะเฮมยา, และเอศเธระ
(2)
I. ในแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าและในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น ความเป็นผู้นำขึ้นอยู่กับศักยภาพฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่ความเป็นผู้นำอย่างเป็นทางการ, ถาวร, ในระบบองค์กร, หรือในระบบชนชั้นทางศาสนา — 1ธซ.1:5; 2:1–14; 5:12–13; ฮร.13:7, 17, 24:
1. ทัศนคติขององค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับความเป็นผู้นำนั้นตรงกันข้ามกับทัศนคติฝ่ายธรรมชาติ; จริงๆ แล้ว ในท่ามกลางพลไพร่ของพระเจ้าไม่มีความเป็นผู้นำในความหมายที่อยู่ฝ่ายธรรมชาติ — มธ.20:25–28; 23:8–13:
(1) ในแผนการบริหารแห่งพันธสัญญาใหม่ของพระเจ้านั้น ความเป็นผู้นำหมายถึงการเป็นทาส; ใครที่อยากเป็นผู้นำต้องยินดีที่จะเป็นทาส — มก.
10:35–45.
(2) ความเป็นผู้นำย่อมเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้โดยการเติบโตในชีวิตและเป็นผลมาจากความจำเป็น; ถ้าไม่มีความจำเป็น ความเป็นผู้นำย่อมไม่อาจปรากฏเป็นที่ประจักษ์ – 1ปต.5:1–3.
(3) พระเจ้าทรงกำหนดให้การเป็นผู้นำในท่ามกลางพลไพร่ของพระองค์ขึ้นอยู่กับศักยภาพฝ่ายวิญญาณเสมอ เพื่อจะขจัดออกไปซึ่งทัศนคติฝ่ายมนุษย์ที่เกี่ยวกับความเป็นผู้นำ — กจ.13:2, 9; 14:12; ฆต.2:11–14.
(4) ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีความเป็นผู้นำในระบบองค์กรและไม่มีองค์กรควบคุมให้เป็นเอกภาพด้วย; เรามีศีรษะเดียวที่ทรงบัญชาทุกอวัยวะโดยตรง และมีกายอินทรีย์เดียว นั่นก็คือพระกายของพระคริสต์ — อฟ.1:22–23.
2. ตามพันธสัญญาใหม่นั้น อำนาจของเหล่าอัครทูตเป็นอำนาจฝ่ายวิญญาณและอำนาจนี้มีอยู่ในการปฏิบัติแห่งพระคำของพวกเขา — กจ.2:42; 2กธ.13:5–6; 1ธซ.2:13:
(1) พวกเขาไม่มีอำนาจในฐานะตำแหน่งที่จะแทรกแซงธุรการของคริสตจักร; มีเพียงถ้อยคำที่พวกเขานำมาหล่อเลี้ยงเท่านั้นที่มีอำนาจ — กซ.4:16; ฮร.13:7.
(2) คริสตจักรทั้งหลายติดตามเหล่าอัครทูตเพราะเหล่าอัครทูตมีคำสอนแห่งพันธสัญญาใหม่ — ฟป.2:12; กจ.20:17–36.
(3) ถ้าคริสตจักรแห่งใดหลงผิดไปหรือออกนอกลู่นอกทาง เหล่าอัครทูตย่อมมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่จะต้องจัดการกับสถานการณ์นั้นตามพระคำของพระเจ้าซึ่งเป็นสิ่งที่มีอำนาจ — ข้อ 26–27; 2กธ.10:6; 2ตธ.1:13; 4:2.
(4) ความเป็นผู้นำนั้นก่อกำเนิดขึ้นมา, รับการเพิ่มกำลัง, และถูกจำกัดไว้ในคำสอนของเหล่าอัครทูต — ตต.1:9.
3. ในพันธสัญญาใหม่มีการปฏิบัติเดียวและความเป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียว — กจ.1:17, 25; 2กธ.4:1:
(1) ศาสนาคริสต์ทุกวันนี้แตกแยกกันเพราะมีความเป็นผู้นำอยู่มากมาย; ในเมื่อมีเพียงการปฏิบัติเดียว ความเป็นผู้นำก็ไม่ควรมีมากกว่าหนึ่ง.
(2) ความเป็นผู้นำมีเพียงหนึ่งเดียวเพราะพระเจ้า, องค์พระผู้เป็นเจ้า, และพระวิญญาณนั้นล้วนมีเพียงหนึ่งเดียว; ความเป็นผู้นำเพียงหนึ่งเดียวนี้มีเพื่อจะรักษาความเป็นหนึ่งแห่งพระวิญญาณนั้นสำหรับพระกายของพระคริสต์ — อฟ.4:3–6.
(3) พันธสัญญาใหม่แสดงให้เราเห็นอำนาจในฐานะตัวแทนของพระเจ้าซึ่งอยู่ในบรรดาผู้นำที่อยู่ในการปฏิบัตินั้น ซึ่งเป็นอำนาจที่มีเพื่อการก่อสร้าง — 2กธ.13:10:
ก. อำนาจในฐานะตัวแทนของพระเจ้านั้นอยู่ในคำสอนของผู้นำเหล่านั้น — 1กธ.4:17ข–21; 7:17ข; 11:2; 16:1; 2ธซ.3:6, 9, 12, 14.
ข. การสอนอย่างเดียวกันในทุกหนทุกแห่งและในทุกคริสตจักรคือการพิสูจน์ให้เห็นถึงการใช้อำนาจในฐานะตัวแทนของเปาโล — 1กธ.4:17ข.
4. ความเป็นผู้นำที่อยู่ในการปฏิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่นั้นอยู่ในคำสอนของพันธสัญญาใหม่มากกว่าที่จะอยู่ในตัวของบรรดาผู้นำที่อยู่ในการปฏิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่ — กจ.2:42; 2ตธ.3:10.
II. ความเป็นผู้นำที่อยู่ในการปฏิบัติแห่งพันธสัญญาใหม่คือความเป็นผู้นำของนิมิตแห่งแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าซึ่งเป็นนิมิตที่คอยควบคุม ไม่ใช่ความเป็นผู้นำของบุคคลที่คอยควบคุม; อัครทูตเปาโลชี้แจงว่า “ข้าพเจ้า…มิได้ขัดขืนนิมิตจากสวรรค์นั้น” — กจ.26:19:
1. แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าถูกเปิดเผยผ่านเหล่าอัครทูต แต่เนื่องจากผู้เชื่อทั้งหลายได้สูญเสียความเข้าใจที่ถูกต้องซึ่งมีต่อเรื่องนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงจำเป็นต้องฟื้นฟูเรื่องนี้; แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า (ภาษากรีกคือ oikonomia) คือการบริหารปกครองในครัวเรือนของพระองค์ที่มีเพื่อแจกจ่ายตัวของพระองค์เองที่อยู่ในพระคริสต์เข้าสู่พลไพร่ที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้ เพื่อพระองค์จะทรงมีบ้านเพื่อมาสำแดงตัวของพระองค์เอง และบ้านนี้ก็คือคริสตจักร คือพระกายของพระคริสต์ — อฟ.3:2, 8–9; 1ตธ.1:3–4; 3:15; อฟ.1:10; 2:21–22; 1ปต.4:10.
2. “การฟื้นฟู” หมายถึงการฟื้นสภาพหรือการกลับไปสู่สภาพการณ์ที่ปกติหลังจากที่มีความเสียหายหรือการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว; “การฟื้นฟู” หมายถึงการกลับสู่จุดมุ่งหมายและมาตรฐานดั้งเดิมของพระเจ้าดังที่ได้เปิดเผยไว้ในพระคัมภีร์ ซึ่งเป็นไปตามความคืบหน้าในปัจจุบันของการฟื้นฟูเนื้อหาแห่งแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า:
(1) การฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการฟื้นฟูพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง, ความเที่ยงแท้, ชีวิต, และทุกสิ่งของเราในการปฏิบัติที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ซึ่งมีทั้งการกลายเป็นเนื้อหนัง, การสรุปครอบคลุม, และการเพิ่มกำลัง — กซ.1:17ข, 18ข; บพส.80:1, 15, 17-19; ยฮ.1:14; 1กธ.15:45ข; วว.2:4-5, 7, 17; 3:7-8, 12-13, 17-22; 4:5; 5:6; ยฮ.6:57; 14:21, 23; 21:15-17; เทียบ ยรม.32:39.
(2) การฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการฟื้นฟูความเป็นหนึ่งแห่งพระกายของพระคริสต์ — ยฮ.17:11, 21-23; อฟ.4:3-4ก; วว.1:11.
(3) การฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการฟื้นฟูการใช้งานของทุกอวัยวะในพระกายของพระคริสต์ — อฟ.4:15-16; รม.15:16; 1ปต.2:5, 9; 1 กธ.14:1, 4ข, 12, 26, 31, 39; ยรม.31:33-34 (ดูคำอธิบาย 1 ข้อ 33).
3. นิมิตนี้จะต้องถูกเปลี่ยนใหม่ในตัวเราทุกวันเพื่อจะกลายเป็นนิมิตที่คอยควบคุมการดำเนินชีวิต, การงาน, และการกระทำกิจทั้งปวงของเรา — 1ยฮ.1:7; 1 ปต.2:9; ยซย.2:5; บพส.119:105; 36:8-9.
4. ถ้าใครออกไปจากการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า นั่นก็หมายความว่าเขาไม่เคยมองเห็นเลยว่าการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคืออะไร; ถ้าเรายังไม่เคยมองเห็นนิมิตเกี่ยวกับการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ไม่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า — กจ.26:13-19; เทียบ ยนซ.13:14-18.
5. เราทั้งหลายที่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องมีนิมิตที่ชัดเจนเกี่ยวกับแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า จากนั้นก็ถูกกำกับ, ควบคุม, และชี้นำโดยนิมิตนี้ เพราะเราอยู่ที่นี่เพื่อจะทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงอยู่ในการฟื้นฟูของพระองค์.
6. ความเป็นผู้นำที่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความเป็นผู้นำแห่งนิมิตที่พระเจ้าประทานให้ อันเป็นนิมิตเกี่ยวกับแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าซึ่งได้จำกัดเรา, ชี้นำเรา, และควบคุมเรา เพื่อจะหลีกเลี่ยงความสับสนและการแตกแยก — สภษ.29:18ก.
7. อ่านภาคผนวกจากหนังสือ “นิมิตแห่งยุคสมัย.”
III. ประเด็นสำคัญที่เป็นศูนย์กลางของหนังสือเอษราและนะเฮมยาซึ่งเป็นหนังสือแห่งการฟื้นฟูคือความเป็นผู้นำที่ถูกต้องและเหมาะสม — นฮย.8:1-10:
1. ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้ามีความเป็นผู้นำแห่งนิมิตเดียวที่คอยควบคุมไว้ซึ่งอยู่ในการปฏิบัติเดียวผ่านคนเหล่านั้นที่นำนิมิตนี้เข้ามา — อฟ.3:3-5, 9; กซ.1:24-29:
(1) เปาโลกล่าวว่าเขาและเหล่าผู้ร่วมงานของเขาเป็น “ผู้ปฏิบัติของพระคริสต์และเป็นคนต้นเรือนแห่งข้อลับลึกของพระเจ้า” (1กธ.4:1); พวกเขาเป็นคนต้นเรือนที่คอยแจกจ่ายนิมิตฝ่ายสวรรค์เกี่ยวกับข้อลับลึกของพระเจ้าให้แก่ผู้เชื่อทั้งหลาย; ข้อลับลึกเหล่านี้ได้แก่พระคริสต์ซึ่งเป็นข้อลับลึกของพระเจ้าและคริสตจักรซึ่งเป็นข้อลับลึกของพระคริสต์ (กซ.2:2; อฟ.3:4; 5:32); การปรนนิบัติแห่งการแจกจ่ายหรือหน้าที่คนต้นเรือนนี้ก็คือการปฏิบัติของเหล่าอัครทูต (3:2, 8–9).
(2) “ข้อเรียกร้องที่มีต่อคนต้นเรือนในที่นี้คือจะต้องถูกพบว่าเขาเป็นคนสัตย์ซื่อ” (1กธ.4:2); เราต้อง “ได้รับพระเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เป็นผู้สัตย์ซื่อ” (7:25ข; 1ตธ.1:12) อย่างเปาโล เพื่อเราจะได้เป็นทาสที่สัตย์ซื่อ ที่คอยแจกจ่ายอาหารฝ่ายวิญญาณให้แก่ครอบครัวของพระเจ้าด้วยความเคยชิน โดยนำเอาพระคำของพระเจ้าและพระคริสต์ซึ่งเป็นการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตไปหล่อเลี้ยงแก่ผู้เชื่อทั้งหลายที่อยู่ในคริสตจักร (มธ.24:45–47); เราปรารถนาที่จะเป็นผู้สัตย์ซื่อต่อการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคนี้ เพื่อเราจะมีส่วนร่วมในความยินดีขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคหน้า โดยตระหนักว่าการประเมินค่าและการให้บำเหน็จขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นไม่เกี่ยวข้องกับขนาดและปริมาณแห่งการงานของเรา แต่เกี่ยวข้องกับความสัตย์ซื่อของเราในการนำของประทานของพระองค์ไปใช้อย่างเต็มขนาด (25:21-23; เทียบ วว.3:8).
2. มีเพียงเมื่อชาวอิสราเอลอยู่ภายใต้ความเป็นผู้นำของคนที่สัตย์ซื่ออย่างนะเฮมยาและเอษรา พวกเขาจึงถูกก่อรูปใหม่เพื่อจะเป็นพยานของพระเจ้า เป็นการสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เป็นพลไพร่ที่แตกต่างกับชนชาติที่เป็นพวกต่างชาติ; นี่คือแบบเล็งของสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้คริสตจักรเป็นในวันนี้ — นฮย.13:14, 29-31; 1ตธ.3:15.
3. นะเฮมยารู้ว่า ถ้าไม่มีเอษรา เขาก็ไม่สามารถทำให้พลไพร่ของพระเจ้าถูกก่อรูปใหม่ได้:
(1) นะเฮมยาตระหนักว่าเขาไม่รู้จักพระคำของพระเจ้า ซึ่งจะทำให้ชนทั้งชาติถูกก่อรูปใหม่.
(2) เอษรามีชื่อเลื่องลือว่าเป็นผู้ที่รู้จักพระคำของพระเจ้า และนะเฮมยาก็ยินดีหันไปขอความช่วยเหลือจากเขา.
4. ตามหลักการอันศักดิ์สิทธิ์นั้น การเป็นตัวแทนของพระกายอย่างถูกต้องย่อมกระทำโดยผู้ที่เป็นคู่ร่วมประสานกับผู้อื่นเสมอ — 1กธ.1:1; อซด.4:14ข-16:
(1) การอยู่ตัวคนเดียวก็คือการเป็นเอกเทศ แต่การถูกใช้ออกไปด้วยกันกับผู้อื่นคือการถูกใช้ออกไปตามหลักการของพระกาย — ลก.10:1; กจ.13:1-3; รม.12:5; 1ธซ.1:1.
(2) การกระทำการอย่างเป็นเอกเทศคือการละเมิดหลักการของพระกาย.
(3) ความจำเป็นที่เร่งด่วนในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการงานที่แท้จริงแห่งการก่อสร้างพระกาย แต่การงานแห่งการก่อสร้างนี้จะต้องกระทำให้สำเร็จลุล่วงโดยเหล่าผู้ร่วมงานที่เป็นคู่ร่วมประสาน — ฟป.2:19-22.
5. “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่า พระองค์ทรงเตรียมพี่น้องชายเป็นจำนวนมากที่จะปรนนิบัติในฐานะผู้ที่ร่วมเป็นทาสด้วยกันกับข้าพเจ้าในแนวทางแห่งการผสมผสาน. ข้าพเจ้ารู้สึกว่านี่คือการจัดเตรียมแห่งอำนาจสิทธิ์ขาดขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อพระกายของพระองค์ และเป็นหนทางที่ทันต่อยุคสมัยในการทำให้การปฏิบัติของพระองค์สำเร็จเป็นจริง” — วิทเนสลี, 24 มีนาคม 1997 (The Collected Works of Witness Lee, 1994–1997, vol. 5, “A Letter of Fellowship with Thanks,” p. 525).
ติดตามนิมิตที่ครบถ้วนแห่งยุคสมัยนี้อย่างกระชั้นชิด
ถ้าเราจะปรนนิบัติพระเจ้าในวันนี้ นิมิตของเราจะต้องครอบคลุมตั้งแต่นิมิตแรกของอาดามในเยเนซิศไปจนถึงกรุงเยรูซาเล็มใหม่อันเป็นการปรากฏที่สุดยอดของคริสตจักร เช่นนี้จึงจะนับเป็นนิมิตที่ครบถ้วน. นิมิตนี้เพิ่งจะเปิดออกต่อเราอย่างครบบริบูรณ์ในวันนี้เอง.
ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังกู้กงที่กรุงไทเปมีภาพวาดบนม้วนกระดาษยาวที่มีชื่อเรียกว่า “ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำในเทศกาลเชงเม้ง.” ภาพนี้บรรยายให้เห็นวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมของชาวจีนในสมัยที่ภาพนี้ถูกวาดขึ้นอย่างละเอียด. การดูภาพนี้แค่ช่วงต้นม้วนย่อมจะไม่พอ. ถ้าใครอยากเห็นรูปภาพหรือ “นิมิต” ที่ชัดเจนเกี่ยวกับภาพรวมของการดำเนินชีวิตในวัฒนธรรมจีนทั้งหมด เขาจะต้องดูภาพนี้ทั้งม้วนจากต้นจนปลาย. ทำนองเดียวกัน ในการปรนนิบัติของเราก็มีภาพ “ทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำในเทศกาลเชงเม้ง” ที่เริ่มจากนิมิตของอาดามซึ่งเกี่ยวกับต้นไม้แห่งชีวิตที่อยู่ในสวนเอเดนไปจนถึงกรุงเยรูซาเล็มใหม่ที่มีต้นไม้แห่งชีวิต. กรุงเยรูซาเล็มใหม่คือภาพสุดท้ายของนิมิตนี้. หลังจากภาพนี้ก็ไม่มีอะไรให้เห็นแล้ว.
…เรากำลังปรนนิบัติพระเจ้าตามภาพสุดท้าย ซึ่งครอบคลุมทุกภาพที่อยู่ก่อนหน้านี้.
ในเมื่อเรามีนิมิตที่ทันต่อยุคสมัยและสุดยอด เราจึงควรติดตามนิมิตนี้อย่างกระชั้นชิด. เราไม่ได้ติดตามมนุษย์คนใดแน่นอน แต่เราติดตามนิมิต. การกล่าวว่าเราติดตามบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ผิดถนัด. สิ่งที่เราติดตามคือนิมิตแห่งยุคปัจจุบันนี้ ซึ่งก็คือนิมิตที่สุดยอดของพระเจ้า.
การฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าถูกนำเข้ามาผ่านพี่น้องนีที่รักของเรา เขาจึงกลายเป็นเป้าโจมตี.
ใน ค.ศ.1934 เมื่อเขาสมรสที่หางโจวก็มีบางคนฉวยโอกาสนี้ก่อมรสุมขึ้นมา. เขาเสียใจกับเรื่องนี้มาก. วันหนึ่งข้าพเจ้าจึงไปปลอบใจเขาด้วยการกล่าวว่า “พี่น้องนี พี่น้องรู้ว่าเราสองคนไม่มีความสัมพันธ์ฝ่ายธรรมชาติต่อกันและกัน. สาเหตุที่ผมเลือกทางที่คุณเลือกหรือพูดพระคำอย่างที่คุณพูดจึงไม่ได้เป็นเพราะมิตรภาพอันดีที่เรามีต่อกัน. เราสองคนอยู่ไกลกันมาก. คุณเป็นคนภาคใต้ ส่วนผมเป็นคนภาคเหนือ. สาเหตุที่วันนี้เราเดินอยู่ในเส้นทางเดียวกันจึงไม่ได้เป็นเพราะผมติดตามตัวของคุณ แต่เป็นเพราะผมติดตามหนทางที่คุณเดินนำต่างหาก. พี่น้องนี ผมอยากให้คุณรู้ว่า ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดเลิกเดินบนทางสายนี้ ผมจะยังคงเดินบนทางสายนี้ต่อไป.” ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้เพราะมรสุมนั้นส่งผลให้บางคนเลิกเดินบนทางสายนี้ไปแล้ว. พูดอีกอย่างก็คือ มีหลายคนที่ติดตามมนุษย์ ดังนั้นเขาจึงหันเหไปเมื่อเขานึกว่าคนผู้นั้นเปลี่ยนไปแล้ว. แต่ข้าพเจ้าบอกพี่น้องนีว่า “ถ้าวันหนึ่งคุณเกิดเลิกเดินบนทางสายนี้ ผมจะยังคงเดินบนทางสายนี้ต่อไป. ผมไม่ได้เลือกเดินทางสายนี้เพราะคุณ และจะไม่หันเหไปจากทางนี้เพราะคุณด้วย. ผมมองเห็นแล้วว่านี่คือหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า. นี่คือการมองเห็นนิมิต.”
ทุกวันนี้ผ่านไป 52 ปีแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ข้าพเจ้าทำเลย. ตลอด 52 ปีที่ผ่านมานี้ ข้าพเจ้าได้เห็นเรื่องเดิมเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า. มีบางคนเข้ามาแล้วก็ออกไป ภาพนี้ผ่านไป
มีภาพใหม่เข้ามาแทน. นับตั้งแต่ที่เราเริ่มการงานบนเกาะไต้หวันมาสามทศวรรษ เราก็ได้เป็นประจักษ์พยานถึงวิกฤตการณ์ใหญ่มาหลายครั้งแล้ว. แม้แต่พี่น้องที่ข้าพเจ้าเป็นคนนำพาเขารับความรอดและผ่านการฝึกฝนจากข้าพเจ้าก็ยังไปจากการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า. นิมิตย่อมไม่มีวันเปลี่ยนไป แต่คนเราย่อมเปลี่ยนไปได้ และใครที่ติดตามมนุษย์ก็ย่อมจะเปลี่ยนไปได้. ดังนั้นข้าพเจ้าจึงอยากกำชับทุกท่านด้วยถ้อยคำที่หนักแน่นจากใจของข้าพเจ้า. ในวันนี้ข้าพเจ้าสามารถยืนหยัดอยู่ที่นี่เพื่อนำนิมิตนี้มาให้ท่านได้โดยพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ข้าพเจ้าจึงหวังว่าสิ่งที่ท่านติดตามจะไม่ใช่ตัวของข้าพเจ้า แต่เป็นนิมิตที่ข้าพเจ้าได้มองเห็นโดยพระเมตตาขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
ข้าพเจ้าอยากบอกข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งแก่ท่าน. ข้าพเจ้าได้รับการเปิดเผยให้มองเห็นนิมิตเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาต่อข้าพเจ้า. ดังนั้นข้าพเจ้าจึงขอกำชับว่า ท่านอย่าได้ติดตามตัวของข้าพเจ้า แต่ให้ติดตามนิมิตอันเป็นมรดกที่พี่น้องนีและเหล่าทาสผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทุกยุคสมัยได้ทิ้งไว้ให้ข้าพเจ้าได้สืบทอดมาด้วยพระเมตตาและเป็นนิมิตที่ข้าพเจ้าได้ส่งมอบให้ท่านมองเห็น. นี่คือนิมิตที่ครอบคลุมตั้งแต่ภาพแรกของอาดามมาจนถึงภาพสุดท้ายแห่งกรุงเยรูซาเล็มใหม่. (หน้า 48–50)