ในปี 2016 องค์การอนามัยโลก (World Health Organization : WHO) และองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization : ILO) ได้ประมาณการผู้เสียชีวิตทั่วโลกอันสืบเนื่องจากโรคที่เกี่ยวข้องกับชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานเกินไป โดยมีผู้เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองและจากโรคหัวใจประมาณ 398,000 คน และ 347,000 คน ตามลำดับ และจากการศึกษาพบว่าผู้ที่ทำงานมากกว่า 55 ชั่วโมง/สัปดาห์ มีความโอกาสเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดสมองมากกว่า 35% และโรคหัวใจมากกว่า 17% เมื่อเทียบกับผู้ที่ทำงานเพียง 35-40 ชั่วโมง/สัปดาห์ และในวารสาร Stroke ของสมาคมโรคหัวใจแห่งอเมริกา โดยระบุว่า ผู้ทำงานโดยมีชั่วโมงยาวนานนั้น มีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับคนทั่วไป และผู้โหมทำงานเช่นนี้เกิน 10 ปีขึ้นไปนั้นมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 45%
ตัวเลขจำนวนผู้มีงานทำ จำแนกตามชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์ ณ สิ้นไตรมาส 2 พ.ศ. 2564สำรวจโดย สำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่าประเทศไทยพบว่ามีแรงงานไทยประมาณ 6-7 ล้านคน ที่ต้องทำงานมากกว่า 50 ชั่วโมง/สัปดาห์ และอีกประมาณ 19-20 ล้านคนที่ต้องทำงาน 40 -49 ชั่วโมง/สัปดาห์ หากรวมเข้ากันแล้วแรงงานประมาณ 26 ล้านคนหรือคิดเป็นแรงงาน 70% ของประเทศมีชั่วโมงการทำงานสูงในระดับที่กระทบต่อสุขอนามัยในระยะยาวได้
การเพิ่มขึ้นของปัญหาด้านความปลอดภัยในสุขภาพจากการต้องทำงานหนัก และปัญหาสภาพการทำงานของคนทำงาน ดังนั้น เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่เกิดจากชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานอันส่งผลต่อความปลอดภัยต่อชีวิต ร่างกาย และสุขภาพของลูกจ้าง การลดชั่วโมงการทำงานของลูกจ้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังที่องค์กรแรงงานระหว่างประเทศ International Labour Organization : ILO ให้ความสำคัญกับประเด็นนี้จนประกาศอนุสัญญาฉบับที่ 47 “Forty-Hour Week Convention, 1935 (No. 47)” หรือ อนุสัญญาสี่สิบชั่วโมงต่อสัปดาห์ ออกมาในวันที่ 4 มิถุนายน ค.ศ. 1935 ซึ่งกำหนดให้ระยะเวลาทำงานต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมง/สัปดาห์/คน เป็นมาตรฐาน[1]
อีกทั้งข้อกำหนดเรื่องชั่วโมงการทำงานของไทยที่กำหนดให้ชั่วโมงการทำงานต้องไม่เกิน 48 ชั่วโมง/สัปดาห์ สำหรับงานทั่วไป และไม่เกิน 42 ชั่วโมง/สัปดาห์ สำหรับงานที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคนทำงาน เป็นข้อกำหนด ที่มีมาตั้งแต่การประกาศใช้ พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499 เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2500 หรือ 66 ปีมาแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายที่มีความล้าสมัยอย่างมาก[2]
[1] ILO, “C047 - Forty-Hour Week Convention, 1935 (No. 47),” ILO, accessed 18 November 2021, https://www.ilo.org/dyn/normlex/en/f?p=NORMLEXPUB:12100:0::NO::P12100_ILO_CODE:C047.
[2] ไทย, “พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2499,” (1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499), https://dl.parliament.go.th/backoffice/viewer2300/web/viewer.php.
ประชาชนที่ทำงานหนักในปัจจุบันต้องได้พักผ่อนและเลือกใช้ชีวิต และการลดเวลาทำงานเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนทำงานทุกคน อีกทั้งกฎหมายกำหนดชั่วโมงการทำงานยังล้าสมัยกำหนด 48 ชั่วโมงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 ไม่สอดคล้องกับโลกยุคปัจจุบันที่รูปแบบการผลิต การบริการ เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ดังนั้นจึงต้องลดชั่วโมงการทำงานเพิ่มเวลาพักผ่อนใช้ชีวิตเหลือ 40 ชั่วโมง/สัปดาห์
• คนงานภาคบริการ เช่น ห้างร้าน ร้านอาหาร ร้านกาแฟ รับจ้างทั่วไป
• คนงานในระบบ 19.4 ล้านคน
แก้ไขมาตรา 23
ให้นายจ้างประกาศเวลาทำงานปกติให้ลูกจ้างทราบ โดยกำหนดเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของการทำงานในแต่ละวันของลูกจ้างได้ไม่เกินเวลาทำงานของแต่ละประเภทงานตามที่กำหนดในกฎกระทรวง แต่วันหนึ่งต้องไม่เกิน 8 ชั่วโมง ในกรณีที่เวลาทำงานวันใดน้อยกว่า 8 ชั่วโมง นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือนั้นไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นก็ได้ แต่ต้องไม่เกินวันละ 9 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้ว สัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 40 ชั่วโมง เว้นแต่งานที่อาจเป็นอัตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัยของลูกจ้างตามที่กำหนดในกฎกระทรวงต้องมีเวลาทำงานปกติวันหนึ่งไม่เกิน 7 ชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกิน 35 ชั่วโมง
ในกรณีที่นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันให้นำเวลาทำงานส่วนที่เหลือไปรวมกับเวลาทำงานในวันทำงานปกติอื่นตามวรรคหนึ่งเกินกว่าวันละแปดชั่วโมง ให้นายจ้างจ่ายค่าตอบแทนไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย
ในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้ในชั่วโมงที่ทำเกินสำหรับลูกจ้างซึ่งได้รับค่าจ้างตามผลงาน
ในกรณีที่นายจ้างไม่อาจประกาศกำหนดเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดของการทำงานแต่ละวันได้ เนื่องจากลักษณะหรือสภาพของงาน ให้นายจ้างและลูกจ้างตกลงกันกำหนดชั่วโมงทำงานแต่ละวันไม่เกินแปดชั่วโมง และเมื่อรวมเวลาทำงานทั้งสิ้นแล้วสัปดาห์หนึ่งต้องไม่เกินสี่สิบชั่วโมง
แก้ไขมาตรา 28
ให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีวันหยุดประจำสัปดาห์ สัปดาห์หนึ่งไม่น้อยกว่า 2 วัน โดยวันหยุดประจำสัปดาห์ต้องมีระยะห่างกันไม่เกิน 5 วัน นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์วันใดก็ได้
ในกรณีที่ลูกจ้างทำงานภาคบริการ งานโรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร งานในแหล่งท่องเที่ยว หรืองานอื่นตามที่กำหนดในกฎกระทรวง นายจ้างและลูกจ้างอาจตกลงกันล่วงหน้าในการสะสมวันหยุดประจำสัปดาห์และเลื่อนไปหยุดเมื่อใดก็ได้แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกันนับจากวันที่ไม่ได้หยุดประจำสัปดาห์นั้น