1. สภาพภายในและภายนอกที่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย
2. แยกส่วนที่เป็นพื้นที่ห้องปฏิบัติการ (laboratory space) ออกจากพื้นที่อื่นๆ (non–laboratory space)
มีการแยกส่วนห้องปฏิบัติการ ออกจากพื้นที่ภายนอกอย่างชัดเจน (รูปที่ 1)/มีผนังกั้นทั้ง 4 ด้าน (รูปที่ 2)/มีการควบคุมการเข้าออก (โดยระบุสำหรับเจ้าหน้าที่ ห้ามเข้าก่อนได้รับอนุญาต) (รูปที่ 3)
แบ่งพื้นที่ส่วนห้องปฏิบัติการและการทดลอง (รูปที่ 1)/ส่วนสำนักงาน (รูปที่ 2)/ส่วนเก็บของและสารเคมี (รูปที่ 3)/ส่วนที่พักเจ้าหน้าที่ (รูปที่ 4) ออกจากกัน
มีส่วนพื้นที่ต่างๆ สำหรับเจ้าหน้าที่และนักวิจัยเพื่อใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น การทำงานสำหรับจดบันทึกข้อมูล (มีพื้นที่ทำงานซึ่งเหมาะสมกับจำนวนคนและปริมาณงาน : รูปที่ 1) การพักผ่อน สำหรับ การรับประทานอาหาร การทำกิจกรรมส่วนตัวต่างๆ (รูปที่ 2) เป็นต้น
พื้นที่ออกจากส่วนพื้นที่ห้องปฏิบัติการอย่างชัดเจน ไม่ปะปนกัน รูปที่ 1 และ รูปที่ 2
3. ขนาดพื้นที่และความสูงของห้องปฏิบัติการและพื้นที่เกี่ยวเนื่อง มีความเหมาะสมและเพียงพอกับการใช้งาน จำนวนผู้ปฏิบัติการ ชนิดและปริมาณเครื่องมือและอุปกรณ์
ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบน้ำและตัวอย่างของศูนย์เครื่องมือกลางมีขนาดพื้นที่ 80 ตารางเมตร (รูปที่ 1 ) เพดานสูงประมาณ 10 เมตร (รูปที่ 2) มีผู้ปฏิบัติงานจำนวน 3 คน มีเครื่องมือพื้นฐานด้านเคมีวิเคราะห์ที่จัดวางเป็นระเบียบบนโต๊ะปฏิบัติการจำนวนประมาณ 20 เครื่องมือ ทำให้เป็นห้องปฏิบัติการที่มีพื้นที่มากและเพียงพอในการทำปฏิบัติการได้อย่างเหมาะสมและมีความสุข
4. วัสดุที่ใช้เป็นพื้นผิวของพื้น ผนัง เพดาน อยู่ในสภาพที่ดี มีความเหมาะสมต่อการใช้งานและได้รับการดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ *
5. ช่องเปิด (ประตู–หน้าต่าง) มีขนาดและจำนวนที่เหมาะสมโดยสามารถควบคุมการเข้าออกและเปิดออกได้ง่ายในกรณีฉุกเฉิน
มีประตูรองอีก 1 ประตูสำหรับเป็นประตูทางหนีไฟ (รูปที่ 1) ซึ่งเป็นประตูที่ล็อคจากภายใน ไม่ต้องใช้กุญแจเปิด (รูปที่ 2)
6. ประตูมีช่องสาหรับมองจากภายนอก (vision panel)
7. มีหน้าต่างที่สามารถเปิดออกเพื่อระบายอากาศได้ สามารถปิดล็อคได้ (รูปที่ 1) และสามารถเปิดออกได้ในกรณีฉุกเฉิน (รูปที่ 2)
8. ขนาดทางเดินภายในห้อง (clearance) กว้างไม่น้อยกว่า 0.60 เมตร สาหรับทางเดินทั่วไป และกว้างไม่น้อยกว่า 1.50 เมตร สำหรับช่องทางเดินในอาคาร
9. บริเวณทางเดินและบริเวณพื้นที่ติดกับโถงทางเข้า–ออกปราศจากสิ่งกีดขวาง
11. ทางสัญจรสู่ห้องปฏิบัติการแยกออกจากทางสาธารณะหลักของอาคาร (รูปที่ 1 รูปที่ 2 และ รูปที่ 3)
1. มีการควบคุมการเข้าถึงหรือมีอุปกรณ์ควบคุมการปิด–เปิดครุภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือและอุปกรณ์
ประตูห้องปฏิบัติการมีกุญแจล็อคอย่างดี (รูปที่ 1) ส่วนชั้นเก็บของ ลิ้นชักภายในห้องปฏิบัติการมีกุญแจล็อค (รูปที่ 2) ควบคุมการเปิด-ปิด
3. ครุภัณฑ์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือและอุปกรณ์ ควรมีความเหมาะสมกับขนาดและสัดส่วนร่างกายของผู้ปฏิบัติงาน *
4. กำหนดระยะห่างระหว่างโต๊ะปฏิบัติการและตำแหน่งโต๊ะปฏิบัติการอย่างเหมาะสม *
5. มีอ่างน้ำตั้งอยู่ในห้องปฏิบัติการอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง
6. ครุภัณฑ์ต่างๆ เช่น ตู้ดูดควัน ตู้ลามินาโฟล์ว อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ดีและมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ (รูปที่ 1) และ รูปที่ 2
2. โครงสร้างอาคารสามารถรองรับน้ำหนักบรรทุกของอาคาร(น้ำหนักของผู้ใช้อาคาร อุปกรณ์และเครื่องมือ) ได้
เป็นอาคารใหม่ที่สร้างเมื่อปี 2561 ตามมาตรฐานอาคารเพื่อการเรียนและห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์
3. โครงสร้างอาคารมีความสามารถในการกันไฟและทนไฟรวมถึงรองรับเหตุฉุกเฉินได้ (มีความสามารถในการต้านทานความเสียหายของอาคารเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินในช่วงเวลาหนึ่งที่สามารถอพยพคนออกจากอาคารได้)
เป็นอาคารใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี 2561 ตามมาตรฐานอาคารเพื่อการเรียนและห้องปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ โดยยึดมาตรฐานความปลอดภัยจากอัคคีภัยในตึกสูง 10 ชั้นเป็นมาตรฐานในการก่อสร้างอาคาร
4. มีการตรวจสอบสภาพของโครงสร้างอาคารอยู่เป็นประจำมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างน้อยปีละครั้ง ระบุ ความถี่ หรือวันเดือนปีที่ตรวจสอบล่าสุด - เอกสารตรวจสอบ 1 2 3
1. มีปริมาณแสงสว่างพอเพียงมีคุณภาพเหมาะสมกับการทำงาน
2. ออกแบบระบบไฟฟ้ากำลังของห้องปฏิบัติการให้มีปริมาณกำลังไฟพอเพียงต่อการใช้งาน
4. ต่อสายดิน
6. มีระบบควบคุมไฟฟ้าของห้องปฏิบัติการแต่ละห้อง
7. มีอุปกรณ์ตัดตอนไฟฟ้าขั้นต้น เช่น ฟิวส์ (fuse) เครื่องตัดวงจร (circuit breaker) ที่สามารถใช้งานได้
8. ติดตั้งระบบแสงสว่างฉุกเฉินในปริมาณและบริเวณที่เหมาะสม
9. มีระบบไฟฟ้าสำรองด้วยเครื่องกำเนิดไฟฟ้าในกรณีเกิดภาวะฉุกเฉิน
10. ตรวจสอบระบบไฟฟ้ากำลังและไฟฟ้าแสงสว่าง และดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
กำหนดให้มีการตรวจสอบ ดูแลและบำรุงรักษาปีละ 2 ครั้ง โดยตรวจสอบล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2564
2. แยกระบบน้ำทิ้งทั่วไปกับระบบน้ำทิ้งปนเปื้อนสารเคมีออกจากกัน และมีระบบบำบัดที่เหมาะสมก่อนออกสู่รางระบายน้ำสาธารณะ รูปที่ 1 และ รูปที่ 2
3. ตรวจสอบระบบสุขาภิบาล และมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ
1. มีระบบระบายอากาศที่เหมาะสมกับการทำงานและสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการ รูปที่ 1 และ รูปที่ 2
2. ติดตั้งระบบปรับอากาศในตำแหน่งและปริมาณที่เหมาะสมกับการทำงานและสภาพแวดล้อมของห้องปฏิบัติการ
3. ในกรณีห้องปฏิบัติการไม่มีการติดตั้งระบบปรับอากาศและระบบระบายอากาศ (ระบบธรรมชาติ) ให้ติดตั้งระบบเครื่องกลเพื่อช่วยในการระบายอากาศในบริเวณที่ลักษณะงานก่อให้เกิดสารพิษหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์
**ไม่เกี่ยวข้อง เนื่องจากห้องปฏิบัติการติดตั้งระบบระบายอากาศ**
4. ตรวจสอบระบบระบายอากาศและระบบปรับอากาศ และมีการดูแลและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ (ข้อ 4)
1. มีระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้ด้วยมือ (manual fire alarmsystem)
3. มีทางหนีไฟและป้ายบอกทางหนีไฟตามมาตรฐาน
4. มีเครื่องดับเพลิงแบบเคลื่อนที่
5. มีระบบดับเพลิงด้วยน้าชนิดมีตู้สายฉีดน้ำดับเพลิง
6. มีระบบดับเพลิงด้วยน้้ำชนิดระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิง (ตามกฎหมายควบคุมอาคาร) หรือเทียบเท่า
*** หมดองค์ประกอบที่ 4 ***