มีการดำเนินงานโดยอ้างอิงจาก "ขั้นตอนการดำเนินงาน ระบบการจัดการสารเคมี WI-INCT-C02-001"
2.1.1 ระบบบันทึกข้อมูล
1. มีการบันทึกข้อมูลสารเคมีในรูปแบบ
เอกสาร
อิเล็กทรอนิกส์
2. โครงสร้างของข้อมูลสารเคมีที่บันทึก ประกอบด้วย
รหัสภาชนะบรรจุ (bottle ID)/ ชื่อสารเคมี (chemical name)/CAS no./ประเภทความเป็นอันตราย/ขนาดบรรจุของขวด/ปริมาณสารเคมีคงเหลือในขวด (chemical volume/weight)/Grade/ที่จัดเก็บสารเคมี (location)/วันที่รับเข้ามา (received date)/วันที่เปิดใช้ขวด/ผู้ขาย-ผู้จำหน่าย (supplier)/ผู้ผลิต (manufacturer)/วันหมดอายุ (expiry date)
2.1.2 สารบบสารเคมี (Chemical inventory)
1. มีการบันทึกข้อมูลการนำเข้าสารเคมี
2. มีการบันทึกข้อมูลการจ่ายออกสารเคมี
3. มีการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอย่างสม่ำเสมอ
4. มีรายงานที่แสดงความเคลื่อนไหวของสารเคมีในห้องปฏิบัติการ โดยอย่างน้อยต้องประกอบด้วยทุกหัวข้อต่อไปนี้
ชื่อสารเคมี/CAS no./ประเภทความเป็นอันตรายของสารเคมี/ปริมาณคงเหลือ/สถานที่เก็บ
2.1.3 การจัดการสารที่ไม่ใช้แล้ว (Clearance)
1. มีแนวปฏิบัติในการจัดการสารที่ไม่ใช้แล้ว ดังนี้
สารที่ไม่ต้องการใช้/สารที่หมดอายุตามฉลาก/สารที่หมดอายุตามสภาพ
เอกสาร แนวทางการจัดการสารเคมีที่ไม่ใช้แล้ว ที่แสดงขั้นตอนและวิธีการจัดการสารทั้ง 3 ชนิด
ภาพแสดงจุดติดป้าย เอกสาร แนวทางการจัดการสารเคมีที่ไม่ใช้แล้วฯ ในห้องเก็บสารเคมี และในห้องปฏิบัติการ รูปที่ 1 และ รูปที่ 2
2.1.4 การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการบริหารจัดการ
1. มีการใช้ประโยชน์จากข้อมูลสารเคมีเพื่อ
การประเมินความเสี่ยง - คำอธิบาย: มีการสรุปข้อมูลสารบบสารเคมีจากระบบ ChemInvent ประจำทุกปี ร่วมกับการใช้สารเคมีในการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ เพื่อนำไปใช้ในการประเมินความเป็นอันตรายและความเสี่ยงของผู้ปฏิบัติงาน และของห้องปฏิบัติการ ในการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายหรืออุปกรณ์ดับเพลิง ก่อนนำเสนอในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระดับคณะ เพื่อให้ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมองเห็นภาพรวมของอันตรายและความเสี่ยงของสารเคมีในห้องปฏิบัติการ
ข้อมูลประกอบ
เอกสารสรุปข้อมูลสารเคมีประจำปีเพื่อนำเสนอผู้บริหารในการประเมินความเสี่ยง และการจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายหรืออุปกรณ์ดับเพลิง เอกสารที่ 1 และ เอกสารที่ 2
เอกสารข้อมูลความเสี่ยงของนักวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการตรวจสุขภาพประจำปี
การจัดสรรงบประมาณ
คำอธิบาย: มีการสรุปข้อมูลจากสารบบสารเคมีระบบ ChemInvent ประจำทุกปี และนำเสนอในช่วงเดือนมิถุนายนของทุกปี เพื่อนำไปใช้ในการตั้งงบประมาณเงินรายได้คณะในปีงบประมาณถัดไป
การแบ่งปันสารเคมี --> ไม่เกี่ยวข้อง เพราะห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ทดสอบตัวอย่างน้ำและอาหารมีสารเคมีไม่กี่ชนิดและสั่งซื้อในปริมาณไม่มาก จึงไม่ได้แบ่งปันสารเคมีให้ห้องปฏิบัติการอื่น
2.2.1 ข้อกำหนดทั่วไปในการจัดเก็บสารเคมี
1. มีการแยกเก็บสารเคมีตามสมบัติการเข้ากันไม่ได้ของสารเคมี (chemical incompatibility)
มีการแยกเก็บสารเคมีตามระบบของกรมโรงงาน (คู่มือการเก็บสารเคมีและวัตถุอันตราย กรมโรงงาน) และจำแนกประเภทสารเคมีตามระบบ GHS โดยคำนึงถึงสมบัติของสารเคมีที่เข้ากันได้และไม่ได้ เช่น สารกัดกร่อนประเภทกรดและด่าง จะจัดเก็บไว้แยกกัน มีการแยกตู้กันชัดเจน และมีภาชนะรองรับ (secondary container) สำหรับสารเคมีที่มีความเสี่ยงจะก่อให้เกิดอันตรายสูง เช่น HCl, H2SO4, HNO3, H2O2 นอกจากนี้ยังมีการแยกเก็บกรดอินทรีย์ (organic acid) คือ กรดอะซิติก, กรดฟอร์มิก กรดโพรพิโอนิก ในตู้แยกออกจากกรดอนินทรีย์ที่มีฤทธิ์ออกซิไดซ์ (oxidizing inorganic acids) เช่นกรดซัลฟิวริก, กรดไนตริก, กรดไฮโดรคลอริก เป็นต้น ซึ่งสารเคมีที่เป็นของแข็งที่ไม่ใช่สารกลุ่มเพอร์ออกไซด์จะถูกจัดเก็บในตู้โดยเรียงตามตัวอักษร ส่วนสารกลุ่มออกไซด์และเพอร์ออกไซด์ถูกแยกออกไว้อีกตู้เฉพาะ
2. เก็บสารเคมีของแข็งแยกออกจากของเหลวทั้งในคลังสารเคมีและห้องปฏิบัติการ
3. หน้าตู้เก็บสารเคมีในพื้นที่ส่วนกลางมีการระบุ
รายชื่อสารเคมีและเจ้าของ/ชื่อผู้รับผิดชอบดูแลตู้/สัญลักษณ์ตามความเป็นอันตราย
4. จัดเก็บสารเคมีทุกชนิดอย่างปลอดภัยตามตำแหน่งที่แน่นอน และไม่วางสารเคมีบริเวณทางเดิน
5. มีป้ายบอกบริเวณที่เก็บสารเคมีที่เป็นอันตราย
6. มีระบบการควบคุมสารเคมีที่ต้องควบคุมเป็นพิเศษ
7. ไม่ใช้ตู้ดูดควันเป็นที่เก็บสารเคมีหรือของเสีย
8. ไม่วางขวดสารเคมีบนโต๊ะและชั้นวางของโต๊ะปฏิบัติการอย่างถาวร
2.2.2 ข้อกำหนดสำหรับการจัดเก็บสารไวไฟ
1. เก็บสารไวไฟให้ห่างจากแหล่งความร้อน แหล่งกำเนิดไฟ เปลวไฟ ประกายไฟ และแสงแดด
2. เก็บสารไวไฟในห้องปฏิบัติการในภาชนะที่มีความจุไม่เกิน 20 ลิตร
3. เก็บสารไวไฟในห้องปฏิบัติการไม่เกิน 10 แกลลอน (38 ลิตร) ถ้ามีเกิน 10 แกลลอน (38 ลิตร) ต้องจัดเก็บไว้ในตู้ สำหรับเก็บสารไวไฟโดยเฉพาะ
4. เก็บสารไวไฟสูงในตู้ที่เหมาะสม
ศูนย์เครื่องมือกลางไม่มีสารไวไฟสูง (เช่น Diethyl eter) แต่หากมีการจัดซื้อในอนาคต สามารถเก็บไว้ในตู้เก็บสารไวไฟสูง (ตามมาตรฐาน ANSI/UL 1275, NFPA 30 เป็นต้น)
2.2.3 ข้อกำหนดสำหรับการจัดเก็บสารกัดกร่อน
1. เก็บขวดสารกัดกร่อน (ทั้งกรดและเบส) ไว้ในระดับต่ำ
ขวดสารกัดกร่อนทุกขวดถูกเก็บไว้ในตู้เก็บสารเคมีกัดกร่อนในชั้น 1 และ ชั้น 2 ของตู้ ความสูงระดับ 55 ซม.
2. เก็บขวดกรดในตู้เก็บกรดโดยเฉพาะ และมีภาชนะรองรับที่เหมาะสม
2.2.4 ข้อกำหนดสาหรับการจัดเก็บแก๊ส
1. เก็บถังแก๊สโดยมีอุปกรณ์ยึดที่แข็งแรง
2. ถังแก๊สที่ไม่ได้ใช้งานทุกถังต้องมีฝาครอบหัวถังหรือมี guard ป้องกันหัวถัง
3. มีพื้นที่เก็บถังแก๊สเปล่ากับถังแก๊สที่ยังไม่ได้ใช้งาน และติดป้ายระบุไว้อย่างชัดเจน
4. ถังแก๊สมีที่วางปลอดภัยห่างจากความร้อน แหล่งกำเนิดไฟและเส้นทางสัญจรหลัก รูป1 รูป 2
5. เก็บถังแก๊สออกซิเจนห่างจากถังแก๊สเชื้อเพลิง แก๊สไวไฟและวัสดุไหม้ไฟได้ อย่างน้อย 6 เมตร หรือมีฉาก/ผนังกั้นที่ไม่ติดไฟ
ไม่มีถังแก๊สออกซิเจนในหน่วยงาน
2.2.5 ข้อกำหนดสำหรับการจัดเก็บสารออกซิไดซ์ (Oxidizers) และสารก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์
1. เก็บสารออกซิไดซ์และสารที่ก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์ห่างจากความร้อน แสง และแหล่งกำเนิดประกายไฟ
สารออกซิไดซ์ที่มีในห้องปฏิบัติการ ได้แก่ โพแทสเซียมไดโครเมต โพแทสเซียมเพอร์แมงกาเนต ซึ่งเก็บไว้ในตู้เก็บสารเคมี แยกชั้นออกจากสารเคมีปกติที่เรียงตามตัวอักษรชื่อของสาร ส่วนสารที่ก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์ไม่มีในหน่วยงาน
2. เก็บสารที่มีสมบัติออกซิไดซ์ไว้ในภาชนะแก้วหรือภาชนะที่มีสมบัติเฉื่อย
3. ใช้ฝาปิดที่เหมาะสม สาหรับขวดที่ใช้เก็บสารออกซิไดซ์
4. ภาชนะบรรจุสารที่ก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์ต้องมีฝาปิดที่แน่นหนา
ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่มีสารที่ก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์
5. มีการตรวจสอบการเกิดเพอร์ออกไซด์อย่างสม่ำเสมอ
ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่มีสารที่ก่อให้เกิดเพอร์ออกไซด์
2.2.6 ข้อกำหนดสำหรับการจัดเก็บสารที่ไวต่อปฏิกิริยา
1. มีป้ายคำเตือนที่ชัดเจนบริเวณหน้าตู้หรือพื้นที่ที่เก็บสารที่ไวต่อปฏิกิริยา (เช่น ป้าย “สารไวต่อปฏิกิริยา – ห้ามใช้น้ำ”)
ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่มีสารที่ห้ามใช้น้ำ และไม่มีสารที่ไวต่อปฏิกิริยาในระดับ 3 และ 4 ตามระบบ NFPA
2. เก็บสารไวปฏิกิริยาต่อน้ำออกห่างจากแหล่งน้ำที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ
ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่มีสารที่ห้ามใช้น้ำ และไม่มีสารที่ไวต่อปฏิกิริยาในระดับ 3 และ 4 ตามระบบ NFPA ส่วนกรดแก่ที่มีความไวในระดับ 2 จะถูกเก็บไว้ในตู้เก็บสารเคมี
3. มีการตรวจสอบสภาพการเก็บที่เหมาะสมของสารที่ไวต่อปฏิกิริยาอย่างสม่ำเสมอ
ไม่เกี่ยวข้อง เพราะไม่มีสารที่ห้ามใช้น้ำ และไม่มีสารที่ไวต่อปฏิกิริยาในระดับ 3 และ 4 ตามระบบ NFPA
2.2.7 ภาชนะบรรจุภัณฑ์และฉลากสารเคมี
1. เก็บสารเคมีในภาชนะที่เหมาะสมตามประเภทของสารเคมี
2. ภาชนะที่บรรจุสารเคมีทุกชนิดต้องมีการติดฉลากที่เหมาะสม
3. ตรวจสอบความบกพร่องของภาชนะบรรจุสารเคมีและฉลากอย่างสม่ำเสมอ
2.2.8 เอกสารข้อมูลความปลอดภัย (Safety Data Sheet, SDS)
1. เก็บ SDS ในรูปแบบ
อิเล็กทรอนิกส์
2. เก็บ SDS อยู่ในที่ที่ทุกคนในห้องปฏิบัติการเข้าดูได้ทันทีเมื่อต้องการใช้ หรือเมื่อเกิดภาวะฉุกเฉิน
3. SDS มีข้อมูลครบทั้ง 16 หัวข้อ ตามระบบสากล
4. มี SDS ของสารเคมีอันตรายทุกตัวที่อยู่ในห้องปฏิบัติการ
ระบุ จำนวนสารเคมีอันตรายที่มีในห้องปฏิบัติการซึ่งมีจำนวน 95 สาร
5. มี SDS ที่ทันสมัย
มีการระบุในข้อปฏิบัติใน WI-INCT-C02-001 ระบบการจัดการสารเคมี ให้มีการปรับปรุงข้อมูลปีละ 1 ครั้ง โดยปรับปรุงครั้งล่าสุด วันที่ 25 มกราคม 2565 (ตามระบบ ChemInvent)
2.3.1 การเคลื่อนย้ายสารเคมีภายในห้องปฏิบัติการ
1. ผู้ที่ทำการเคลื่อนย้ายสารเคมีใช้อุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่เหมาะสม
2. ปิดฝาภาชนะที่บรรจุสารเคมีที่จะเคลื่อนย้ายให้สนิท
3. ใช้รถเข็นที่มีแนวกั้นเมื่อมีการเคลื่อนย้ายสารเคมีพร้อมกันหลายๆ ขวด
4. ใช้ตะกร้าหรือภาชนะรองรับในการเคลื่อนย้ายสารเคมี
5. เคลื่อนย้ายสารเคมีที่เป็นของเหลวไวไฟในภาชนะรองรับที่มีวัสดุกันกระแทก
6. ใช้ถังยางในการเคลื่อนย้ายสารกัดกร่อนที่เป็นกรดและตัวทำละลาย
7. เคลื่อนย้ายสารที่เข้ากันไม่ได้ในภาชนะรองรับที่แยกกัน
2.3.2 การเคลื่อนย้ายสารเคมีภายนอกห้องปฏิบัติการ
1. ใช้ภาชนะรองรับและอุปกรณ์เคลื่อนย้ายที่มั่นคงปลอดภัยไม่แตกหักง่าย และมีที่กันขวดสารเคมีล้ม
2. ใช้รถเข็นมีแนวกั้นกันขวดสารเคมีล้ม
3. เคลื่อนย้ายสารที่เข้ากันไม่ได้ ในภาชนะรองรับที่แยกกัน
4. ใช้ลิฟท์ขนของในการเคลื่อนย้ายสารเคมีและวัตถุอันตรายระหว่างชั้น
5. ใช้วัสดุดูดซับสารเคมีหรือวัสดุกันกระแทกขณะเคลื่อนย้าย
*** หมดองค์ประกอบที่ 2 ***