บทความชุดนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์การเรียนปริญญาเอกสาขาเคมีในประเทศสหรัฐอเมริกาของข้าพเจ้า เป็นการบอกเล่าประสบการณ์ปนๆ กับการแนะแนวคนที่อยากเรียนต่อปริญญาเอก ข้อมูลในบทความนี้น่าจะใช้ได้ดีกับการเรียนสาขา STEM อื่นในเมกา แต่อาจจะมีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญสำหรับการเรียนสาขาอื่น หรือการเรียนปริญญาเอกในประเทศอื่น
ตอนที่ 1 การหาที่เรียน การสมัครเข้าเรียน และการเตรียมตัวก่อนเปิดเทอม (หน้านี้)
ตอนที่ 2 เรียนปริญญาเอกต้องทำอะไรบ้าง
ตอนที่ 3 Coursework ส่วนเนื้อหา และการจัดการเรียนการสอน
ตอนที่ 4 Coursework ส่วนพัฒนาวิชาชีพ
ตอนที่ 5 ทุนสนับสนุนการเรียนปริญญาเอก
ตอนที่ 6 การทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน
ตอนที่ 7 การเลือกอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์
ตอนที่ 9 การสอบ Qualifying Exam เพื่อเลื่อนเป็น Ph.D. Candidate
ตอนที่ 10 การนำเสนองานวิจัยสู่สายตาชาวโลก
เริ่มด้วยหัวข้อเบาๆ ก่อน ว่าถ้าจะสมัครเรียนปริญญาเอก (ต่อไปนี้จะย่อว่า Ph.D.) สาขาวิชาเคมีในสหรัฐอเมริกานั้นต้องทำอะไรบ้าง ตั้งแต่สมัครจนถึงก่อนเปิดเทอม ซึ่งไม่น่าจะต่างกับไทยมากนัก โดยทั่วไปก็ควรรู้ว่าจะสมัครมหาลัยไหนบ้าง ต้องใช้คะแนนสอบหรือเตรียมเอกสารอะไรบ้าง และเมื่อได้ที่เรียนแล้วต้องทำอะไรอีกถึงจะบินเข้าเมกาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
ถ้าคิดจะเรียนต่อ Ph.D. ก็น่าจะรู้แล้วว่าตัวเองชอบงานวิจัยสาขาไหน ดังนั้นการเลือกมหาวิทยาลัยจึงควรเลือกจากงานวิจัยที่สนใจ แต่เนื่องจากเคมีเป็นสาขาที่กว้างมาก และการจัดภาควิชาและงานวิจัยในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน ดังนั้นสิ่งที่อยู่ในภาควิชาเคมีที่ไทย อาจถูกจัดอยู่ในภาควิชาเคมี (Chemistry) วิศวกรรมเคมี (Chemical Engineering) ชีวเคมี (Biochemistry) ชีวฟิสิกส์ (Biophysics) หรือวัสดุศาสตร์ (Materials Science) จึงควรดูให้ครบทุกโปรแกรมด้วย
ถ้าไม่รู้จะเริ่มอย่างไร แนะนำให้เปิดดูรายชื่อมหาลัยตาม ranking แล้วเข้าไปค้นหารายชื่ออาจารย์ (Faculty) ที่ทำวิจัยที่ตรงหรือเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราสนใจ แต่ถ้าไม่ได้ชอบงานวิจัยเรื่องใดเป็นพิเศษก็ไล่อ่านงานวิจัยของอาจารย์ว่าชอบอันไหนก็ได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องคิดด้วยว่าการทำวิจัยแบบนี้จะต้องลงมือทำอะไรบ้าง "เคมี" ตรงกับเราหรือไม่ เช่น แม้จะเลือกทำ Org Chem แต่ถ้ากรุปนั้นสังเคราะห์ยาก็อาจจะต้องมีความรู้ computational chemistry ด้วยเพราะจะได้ออกแบบยาเองเป็น ในขั้นนี้ก็จดรายละเอียดไว้เป็นตาราง (มหาลัย ชื่ออาจารย์ งานวิจัย) เล็งไว้สัก 7-15 แห่งตามกำลังศรัทธาและกำลังเงิน เพราะต้องจ่ายค่าสมัครด้วย
ในกรณีของผู้เขียนต้องการเรียนเคมีวิเคราะห์เชิงไฟฟ้า (Electroanalytical chemistry) ซึ่งเป็นสาขาค่อนข้างเฉพาะทาง ไม่ได้มีงานวิจัยทางนี้ครบทุกมหาลัย โดยเฉพาะมหาลัยที่คนไทยคุ้นหูนั้นแทบจะไม่มีเลย จึงใช้เวลาพอสมควรกว่าจะได้มหาลัยและอาจารย์ที่มีงานวิจัยตรงใจกับเรามาก (อย่างไรก็ตามถ้าอ่านบทความนี้ไปเรื่อยๆ จะพบว่าหัวข้องานวิจัยอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด)
อีกส่วนที่มีความสำคัญรองลงมาคือ coursework หรือรายวิชาที่ต้องเรียน บางมหาลัยเรียนเยอะ บางมหาลัยเรียนน้อยกว่า และในกรณีที่ต่อไม่ตรงสาย เช่นจบเคมีแต่เลือกโปรแกรมวิศวกรรมเคมี ก็อาจจะต้องลงวิชาพื้นฐานทางวิศวะ ป.ตรีเพิ่มด้วย และอาจจะลามไปถึงความรู้ที่เพียงพอหรือไม่ในการสอบวัดคุณสมบัติ
ปัจจุบันนี้หลายมหาลัยในเมกาจะรับเข้าเรียนเฉพาะปริญญาเอกโดยตรง ไม่รับปริญญาโท (M.A./M.Sc.) โดยตรง สำหรับภาควิชาทาง STEM ในเมกา ปริญญาโททั้งสองมักมีไว้สำหรับคนที่เปลี่ยนใจลาออกกลางคันหรือถูกทิ้งไว้กลางทาง ทั้งนี้เนื่องจากหลายมหาลัยต้องการปั่นงานวิจัย ดังนั้นจึงรับ Ph.D. student ซึ่งผลิตงานวิจัยได้มากกว่าเด็กปริญญาโท
จากตารางที่ทำไว้ในข้อ 1 ก็ทำให้ทราบแล้วว่าเราต้องการสมัครมหาลัยไหนบ้าง ทีนี้ก็ต้องดูว่า แต่ละภาควิชา/มหาลัยต้องการคะแนนสอบและเอกสารประกอบการสมัครอะไรบ้าง และอย่าลืมเช็ค deadline ของแต่ละที่ (ส่วนมากประมาณธันวา) โดยทั่วไปเอกสารที่ต้องใช้จะประกอบด้วย
Transcript ก็ทำเกรดให้สวยๆ ละกัน โดยทั่วไปจะกำหนดขั้นต่ำคือ 3.00 แต่ถ้าเกรดเกิน 3.6 หรือ 3.8 ก็จะเริ่มไม่ต่างกันแล้ว (เช่น 3.8 กับ 3.99 อาจารย์ผู้พิจารณาใบสมัครก็อาจจะจับไปไว้ในกองเดียวกัน)
Letter of Recommendation ประมาณ 3 ฉบับ ปกติก็จะขอจากอาจารย์ที่ปรึกษา senior project ซึ่งให้ข้อมูลได้ว่าเรามีศักยภาพจะทำวิจัยขนาดไหน อาจารย์ที่สอนในวิชาที่เราทำคะแนนได้ดี ก็จะพูดได้ว่าเรามีความโดดเด่นอย่างไร นอกจากนี้อาจขอจากผู้ที่เราคิดว่ารู้จักเรามากพอที่จะเขียนวิจารณ์เราได้อย่างดี หัวหน้าภาควิชา หรืออาจจะขอให้อาจารย์ที่เป็นศิษย์เก่าของมหาลัยที่จะสมัครเขียนให้ก็ได้ ในการขอ Letter of Recommendation ก็ควรจะบอกอาจารย์ล่วงหน้าพร้อมแนบประวัติส่วนตัว (CV/Resume) ให้อาจารย์ด้วยจะได้มีข้อมูลในการเขียนเพิ่ม
CV (Curriculum Vitae) หรือ Resume ทำให้เป็นสากล บอกชื่อสกุล ข้อมูลติดต่อ การศึกษา เกรด งานวิจัย ประสบการณ์สอน ประสบการณ์จิตอาสาหรือทำกิจกรรมต่างๆ อย่าใส่น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ ศาสนา โสดหรือไม่ และอย่าแนบรูปถ่ายถ้าเขาไม่ได้ขอ
Statement of Purpose เขียนยังไงก็ได้ให้เขาจำเราได้ และโน้มน้าวให้เขาเห็นว่าเราสนใจและสามารถทำวิจัยในภาควิชาของเขา การยกประสบการณ์ส่วนตัว (เช่นมีญาติป่วยเลยอยากคิดค้นยาแก้โรค) อาจช่วยได้ส่วนหนึ่ง แต่ก็จงเขียนให้กระชับ อย่าดราม่า อย่าเขียนสั้นหรือยาวเกินไป
ในส่วนของคะแนนสอบ ประกอบด้วย
คะแนน TOEFL / IELTS เพื่อความปลอดภัยควรได้อย่างน้อย 100 หรือ 7.0 บางมหาลัยยังกำหนดคะแนนแบบแยกพาร์ท
คะแนน GRE General Test ถ้ามีเวลาก็ท่องศัพท์ไป ถ้าไม่มีก็ปลงๆ แล้วเก็บพาร์ทเลขให้เต็ม เพราะมันง่ายมาก มหาลัยส่วนมากไม่มีเกณฑ์ขั้นต่ำ ขอให้มีคะแนนก็พอ * ปัจจุบันมีเทรนด์ #GRExit คือหลายมหาลัยเริ่มเห็นแล้วว่าคะแนน GRE ไม่บ่งบอกว่าเด็กจะมีปัญญาเรียนจนจบหรือไม่ จึงยกเลิกการพิจารณาคะแนนในส่วนนี้ ดังนั้นก็ต้องไปดูเงื่อนไขของแต่ละมหาลัย
คะแนน GRE Chemistry Subject Test บางมหาลัยต้องใช้ บางมหาลัยไม่ต้องใช้แต่แนะนำให้ส่งคะแนน สำหรับผู้เรียนชาวไทยไม่น่าจะลำบากอะไร เพราะความยากก็ราวๆ ปี 2-3 ต้นๆ นั่นล่ะ แต่ข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษและสปีด (130 ข้อ 170 นาที 5 ตัวเลือก ตอบผิดติดลบ 0.25)
ค่าสอบแต่ละครั้งแพง เกือบ $200 ดังนั้นควรเตรียมไปให้พร้อมแล้วค่อยสอบ หรืออาจสอบครั้งแรกแล้วดูว่าจะฟิตอ่านเองเพิ่มหรือควรเรียนพิเศษดี ขึ้นอยู่กับความถนัดส่วนบุคคล ผู้เขียนสอบ TOEFL ถึงสองครั้งกว่าจะได้คะแนนที่พึงพอใจ ตอนสมัครสอบก็อาจเลือกส่งคะแนนไปยังมหาลัยที่สนใจได้เลย (รู้สึกว่าจะส่งฟรี 4 ที่) แต่ที่เหลือก็ต้องส่งเพิ่มเอง จ่ายเพิ่มด้วย
และส่วนสุดท้ายคือ...
เงิน : ค่าสมัครแต่ละมหาลัยไม่เท่ากัน ตกอยู่ในช่วง $70-100 แล้วแต่ความโหดร้าย แต่บางมหาลัยก็ฟรี จึงเป็นที่มาของคำแนะนำที่ให้เลือกมหาลัยที่เราอยากไปเรียนจริงๆ
ปัจจุบันการสมัครเรียนก็จะทำผ่านเว็บไซต์ เราก็จะสแกนเอกสารและกรอกรายละเอียดการสมัครผ่านเว็บไซต์มหาลัย
ตัวอย่างเอกสารและคะแนนสอบที่ต้องใช้ของภาควิชาเคมีหนึ่งในสหรัฐฯ
พอส่งทุกอย่างเสร็จก็รอผลตอบรับ ประมาณเดือนกุมภา-มีนาก็จะเริ่มตื่นเต้น มีอีเมล์เข้ามาเป็นระยะๆ ว่าตอบรับหรือปฏิเสธ หรืออาจจะยังไม่ตัดสินใจแต่ขอสัมภาษณ์ผ่าน skype กับเราสักหน่อย ส่วนมากคือเช็คว่าเราพูดภาษาอังกฤษรู้เรื่องมั้ย วิกฤตมากน้อยเพียงใด
สำหรับมหาลัยที่ตอบรับให้เราเข้าเรียนต่อ ก็จะมีจดหมายส่งมาหาว่ายินดีต้อนรับเข้าเรียน ในตัวจดหมายจะบ่งบอกเงื่อนไขในการรับ เงินเดือนหรือสิทธิประโยชน์ เราก็เปรียบเทียบความดีงามของมหาลัยที่ตอบรับเรา (ทั้งงานวิจัยและโฆษณาชวนเชื่อ) และสุดท้ายก็เลือก 1 มหาลัยที่เราจะไปเรียน
ตัวอย่างจดหมายตอบรับ ย่อหน้าที่ว่าด้วยเงินเดือนและสิทธิประโยชน์ เช่น ค่าเทอมฟรี ประกันสุขภาพฟรี
เมื่อเลือกที่เรียนได้แล้ว ขั้นสุดท้ายก็ต้องดำเนินการตามระบบ เช่น ไปกดยืนยันเลือกที่เรียนในระบบ ดำเนินการส่ง transcript หรือคะแนนสอบเพิ่มเติมไปให้มหาลัย ทำ passport ทำ financial statement ทำ I-20 เพื่อขอวีซ่านักเรียน F-1 (หรือ DS-2019 สำหรับนักเรียนทุนที่จะขอวีซ่า J-1) ขั้นตอนเหล่านี้ใช้เวลาและเงินทอง จึงควรวางแผนให้ดี
นอกจากนี้แนะนำให้หาคนไทยที่เรียนในมหาลัยนั้นเพื่อขอคำแนะนำและช่วยเหลือในการจองและเซ็นสัญญาเช่าบ้าน รวมถึงหารายละเอียดเกี่ยวกับสภาพอากาศของเมืองว่าควรแต่งตัวแบบไหน การเดินทางว่าจำเป็นต้องขับรถหรือไม่ หรือขึ้นรถไฟฟ้าชิวๆ ก็พอ
พอทุกอย่างเรียบร้อยแล้วก็เตรียมบินมาเมกาได้ (เตรียมบินมาเมกานี่รายละเอียดเยอะมาก ต้องซื้อตั๋ว เตรียมดราม่า กินข้าวกับพ่อแม่เพื่อนพี่น้องครูบาอาจารย์ก่อนมา ฯลฯ) และการเลือกซื้อตั๋วเครื่องบินมาเมกา ทางเมกาอนุญาตให้บินเข้าประเทศได้ 30 วันก่อนวันเริ่มเรียนที่เขียนไว้ใน I-20 จึงต้องพิจารณาจากวันเริ่มสัญญาเช่าบ้าน รวมถึงกิจกรรมปฐมนิเทศของมหาลัยหรือภาควิชาด้วยว่าเริ่มวันแรกสุดเมื่อไหร่ อันนี้สำคัญมากโดยเฉพาะถ้าต้องเป็นผู้ช่วยสอน (TA) เพราะจะมีอบรมก่อนเปิดเทอมเสมอ
ในตอนหน้าจะพูดถึงและเปรียบเทียบโครงสร้างหลักสูตรการเรียนเคมีในไทยและสหรัฐอเมริกา