นโยบายการดึงเด็กเก่งๆ เข้ามาเรียนในภาควิชาสายวิทย์/วิศวะในสหรัฐฯ นโยบายหนึ่งคือการมอบเงินทุน (ประกอบด้วยค่าเทอม เงินเดือน ประกันสุขภาพ ฯลฯ ขึ้นอยู่กับแต่ละภาควิชาหรือแต่ละมหาลัย) ในมูลค่าที่สมเหตุสมผล และถือว่าเงินจำนวนนี้เป็นค่าจ้างในการทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน (TA) หรือผู้ช่วยวิจัย (RA) สำหรับ Ph.D. Student (แต่เด็ก ป.โท อาจได้น้อยกว่าหรือไม่ได้เลย เพราะถือว่าไม่ใช่ผลผลิตหลัก ถ้าไม่ได้ช่วยทำวิจัยจริงๆ)
ในตอนนี้จะกล่าวถึงเรื่องเงินทุนที่ได้จากทางภาควิชา กรณีที่ไม่ได้มีทุนใดๆ ติดตัวมาจากไทย กรณีที่มีทุนติดตัวมาจากไทย ตอนกรอกใบสมัครเราอาจต้องระบุในแบบฟอร์มสมัครว่าเราได้ทุนมาอยู่แล้ว (คิดว่าเรื่องมีทุนติดตัวนี่มีผลต่อการตัดสินใจรับเข้าตอนเรายื่นใบสมัครพอสมควร) เขาก็อาจจะพิจารณาว่ายังจะให้ทุนเราเต็มจำนวน หรือเติมส่วนที่ขาด (เพราะได้เงินจากไทยน้อยกว่าอยู่แล้ว) ก็ไปเจรจาให้ดีนะ
Financial Support ที่จะได้จากภาควิชามักจะระบุในจดหมายตอบรับ (acceptance letter) อย่างชัดเจนเพื่อประกอบการตัดสินใจในการเลือกมหาลัยของเรา พูดง่ายๆ ว่าเอาเงินมาล่อนั่นเอง โดยทั่วไปโครงสร้างของเงินที่จะได้ มักประกอบด้วย
ค่าเทอม (Tuition Fee) และค่าธรรมเนียมอื่น (Comprehensive Fee) มหาวิทยาลัยหลายแห่งจะกำหนดค่าเทอมสองอัตรา คืออัตราสำหรับ State Resident (บุคคลที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้นอยู่แล้ว) ซึ่งถูกกว่า และอัตรา Non-Resident (คืออัตราปกติ) ซึ่งแพงกว่า ไม่แน่ใจว่ามีอัตราต่างชาติที่แพงพิเศษด้วยหรือไม่ ตัวเลขค่าเทอมรวมกับค่าธรรมเนียมอื่นอาจอยู่ที่ประมาณ $25,000-$40,000 ขึ้นกับมหาลัย ถ้าเป็น private university ก็จะแพงกว่า public university (ค่าเทอมประเทศนี้แพงแหละ)
ประกันสุขภาพ (Health Insurance) เป็นที่ทราบกันดีว่าหากอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกาต้องรักษาตัวให้ดี ไม่ควรล้มป่วย ไม่เช่นนั้นอาจจะต้องล้มละลายตามไปด้วย เพราะค่าบริการทางสุขภาพหรือค่ารักษาพยาบาลนั้นแพงมาก (หลายคนแนะนำว่าถ้าป่วยจริงจังแนะนำให้บินกลับไปรักษาที่ไทยจะดีกว่า) เพื่อให้แน่ใจว่าเราจะไม่มีปัญหาในส่วนนี้ มหาลัยเลยบังคับให้เราทำประกันสุขภาพตามอัตราที่มหาลัยกำหนด ซึ่งหลายมหาลัยก็จะจ่ายเงินค่าประกันสุขภาพให้เด็ก แต่หลายมหาลัยก็ให้จ่ายเอง ปกติค่าประกันสุขภาพประมาณปีละ $2,500-$3,000 ส่วนนี้จึงเปรียบเทียบกับที่ไทยไม่ได้เพราะเวลาป่วยเราไม่ต้องจ่ายแพงขนาดนั้น ประกันสุขภาพจึงอาจไม่จำเป็นมาก
เงินเดือน (Stipend) เงินส่วนนี้ถือเป็นเงินส่วนที่เราได้จับต้องจริงๆ ก็จะขึ้นอยู่กับค่าครองชีพของแต่เมืองหรือแต่ละรัฐ แตกต่างกัน แต่เงินที่ให้ก็ถือว่าใช้จ่ายได้อย่างสบาย (ถ้าไม่สุรุ่ยสุร่ายหรือช้อปแหลกจนเกินไป) และมากกว่าอัตรา กพ. จากไทยพอสมควร เช่น อัตรา กพ. ให้เดือนละ $1,330 แต่ทางภาคอาจให้เดือนละ $2,000 (ตัวเลขสมมุติ - - ซึ่งก็ไม่ได้เป็นความลับเท่าไหร่ google เอาก็ได้) และเงินเดือนก็จะโอนเข้าบัญชีธนาคารให้เดือนละครั้ง หรือเดือนละ 2 ครั้งอย่างถูกต้องตรงเวลา ไม่ต้องไปเซ็นอะไรทุกเดือน (
ดังนั้นจะเห็นว่าถ้าได้เงินจากที่ภาคเพียงอย่างเดียวก็อยู่ได้สบาย ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ละ (เปรียบเทียบกับที่ไทยซึ่งให้น้อยกว่าและอาจไม่พอ แต่ความหนักเบาของงานต่างกันนะ) อย่างไรก็ตาม ถ้าได้เงินเดือนในเมกา ก็จะถือว่าเราเป็นผู้มีเงินได้ เราจึงต้องเสียภาษีเงินได้ (แพงมาก ประมาณ 15% มั้ง) โดยทางมหาลัยเขาจะหักเก็บไว้ แล้วจ่ายเฉพาะเงินส่วนที่เหลือให้เราในแต่ละเดือน แต่พอหมดปีภาษี เราก็จะกรอกแบบฟอร์มภาษีออนไลน์เพื่อขอเงินภาษีคืน
สรุปแล้วจะเห็นว่าถ้าได้เงินทุนทั้งหมดจากมหาลัย รวมทุกส่วน (ค่าเทอม เงินเดือน ประกันสุขภาพฯ) คิดเป็นปีละประมาณ $50,000 ขึ้นไป ก็ประหยัดภาษีประเทศชาติไปได้มาก แถมไม่ต้องใช้ทุนคืนด้วย เหมือนที่ ดร.ธงชัย ชิวปรีชา (ผู้อำนวยการโรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์) บอกว่าจงไปเรียนเมืองนอกโดยไม่ใช้เงินของไทย
อาจแบ่งได้เป็นสองกรณี
ถ้าเป็นเทอมที่เราทำ TA อย่างเต็มเวลา ปกติแล้วภาควิชาจะเป็นคนจ่ายเงินให้ โดยอาจจะมีงบกลางของภาควิชาตั้งไว้ให้ ถ้าทำ TA ในบางมหาลัยก็จะกำหนดเงื่อนไขไว้ว่าต้องมีทักษะภาษาอังกฤษที่ผ่านเกณฑ์ ไม่งั้นจะต้องไปเรียนเพิ่มและสอบให้ผ่าน ถ้าไม่ผ่านอาจโดนหักเงินเดือนบางส่วน (บางมหาลัยอาจใช้เกรดขู่ ถ้าได้ GPAX ต่ำกว่าที่กำหนดก็จะโดนหักเงินเช่นกัน) และต้องอยู่ให้ครบจนจบเทอมตัดเกรดเสร็จ ระหว่างนี้อย่าเพิ่งหนีไปไหนไกล และเด็กและอาจารย์ผู้ประสานงานรายวิชาก็จะประเมินการทำงานของเราด้วย
ถ้าเป็นเทอมที่เราไม่ได้ทำ TA แต่ทำ RA ให้อาจารย์ที่ปรึกษาแทน อาจารย์ที่ปรึกษาก็จะจ่ายเงินให้ ก็คืออาจารย์มีหน้าที่เขียนขอ grant (ซึ่งจริงๆ แล้วอาจจะใช้เด็กเขียน) จากหน่วยงานภายนอกแล้วเอาเงินที่ได้มาใช้จ่ายในแลบ รวมถึงจ่ายเงินเดือนและค่าต่างๆ ให้เด็กในกลุ่มวิจัยด้วย อันนี้การประพฤติปฏิบัติตัวก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละกลุ่มวิจัย เช่น อาจารย์ให้มาทำงานกี่โมง ควรจะทำงานสัปดาห์ละกี่ชั่วโมง ลาได้ปีละกี่วัน และมีกรณีที่เด็กลากลับบ้านแล้วอาจารย์ไม่ให้เงินเดือนเดือนนั้น เป็นต้น เซ็งเลยทีเดียว นอกจากนี้การที่ได้เงินจากอาจารย์ก็แปลว่าขอบเขตงานวิจัยของเราก็จะขึ้นอยู่กับ grant ที่ได้เขียนขอไปว่าจะทำเรื่องอะไร
ถ้าอยากได้เพิ่ม ทางภาควิชามักจะสนับสนุนให้เด็กไปสมัคร Fellowship ขององค์กรอื่นๆ เช่น National Science Foundation (NSF), National Institute of Health (NIH), American Chemical Society (ACS) หน่วยงานเหล่านี้มักสนับสนุนเงินทุนทั้งหมดให้แก่เด็กในมูลค่าที่สูงกว่าที่ทางภาควิชาให้ (ประมาณ 1.2-1.3 เท่า) ซึ่งก็จะทำให้ประหยัดเงินของภาควิชาสำหรับจ่ายเด็ก 1 คนอย่างมาก อีกทั้งเด็กยังมีอิสระในการทำหัวข้อวิจัยมากขึ้น อย่างไรก็ตามทุนภายนอกเหล่านี้มักให้เฉพาะ US Citizen เท่านั้น ดังนั้นกะเหรี่ยงอย่างเรามักจะอด
โดยความเห็นส่วนตัว กรณีที่ไม่มีเงินทุนจากไทยและต้องการมารับเงินจากเมกาเพียงอย่างเดียว ข้อสรุปเกี่ยวกับการเงินในการเลือกมหาลัยที่จะสมัคร ก็คือไปสืบค้นข้อมูลให้ดีว่าแต่ละภาควิชา/มหาลัยจะให้เงินเราเท่าไหร่ ให้อะไรบ้าง มีเงื่อนไขเป็นอย่างไร ให้ตลอดหลักสูตรเลยมั้ย และที่ให้นี่เปรียบเทียบกับค่าครองชีพเฉลี่ยของแต่ละเมืองแล้วเป็นอย่างไร เช็คให้ดี คือมีเงินเยอะก็สบายใจกว่ามีเงินน้อย ใช้ชีวิตไม่ต้องเครียดมากมายอะไร เครียดแค่เรื่องเรียนกับทำวิจัยก็มากพออยู่แล้ว
แต่ถ้ามีทุนมาจากไทย และอยากได้เงินจากเมกา ก็ต้องพิจารณาระเบียบของทุนจากไทยว่ารับเพิ่มได้หรือไม่อย่างไร และอาจต้องเจรจากับภาควิชาจากเมกาหรืออาจารย์ที่ปรึกษาว่าให้ทางภาควิชาเพิ่มเงินแบบ top-up ให้เราในส่วนต่างระหว่างทุนจากไทยและที่เด็กคนอื่นในภาควิชาได้ (จะได้เท่าเทียม) หรือว่าบวกเพิ่มไปเลย
ในตอนหน้าจะลองเขียนเกี่ยวกับการทำหน้าที่เป็น TA ในมหาลัยในสหรัฐอเมริกาว่าต้องทำอะไรบ้าง และมีความซับซ้อนขนาดไหน