ในตอนที่แล้วเราได้พูดถึงบรรยากาศในการทำงานวิจัยในแลบที่เมกา ตอนนี้เราจะพูดถึงการเผยแพร่งานวิจัยของเราแก่สายตาชาวโลก ซึ่งหลักๆ ก็มีสองแบบ คือการไปคอนเฟอเรนซ์ กับการตีพิมพ์เปเปอร์ ในสาขาเคมีเรามักไปพรีเซนท์งานวิจัยที่ยังไม่สมบูรณ์แต่เกือบเสร็จแล้วในคอนเฟอเรนซ์ แต่ตีพิมพ์งานวิจัยที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว (บางสาขาอาจต่างไปจากนี้)
ในวงการวิชาการเรามักพิจารณางานวิจัยจากจำนวนครั้งที่ถูกอ้างอิง (citation) นั่นคืองานวิจัยที่ถูก cite มากกว่าก็น่าจะมีผลกระทบหรือเป็นที่สนใจในสาขาวิชาการ วารสารที่ถูกอ้างอิงบ่อยๆ ก็น่าจะมีความสำคัญ และนักวิจัยที่ตีพิมพ์ผลงานที่ถูก cite มากก็อาจถือได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญในสาขานั้น โดยมีการคำนวณตัวเลข 2 ตัวที่บ่งบอกถึงความสำคัญของวารสารนั้นและความสำคัญของนักวิจัย (สังเกต : ผู้เขียนพยายามเลี่ยงคำว่า "คุณภาพ" เพราะจำนวนครั้งที่งานถูกอ้างอิงก็ไม่ได้หมายความว่างานนั้นดีเสมอไป)
ปริมาณแรกคือ Journal Impact Factor (JIF) เป็นค่าที่บ่งบอกว่าวารสารหนึ่งๆ ถูกอ้างอิงมากน้อยเพียงใดในแต่ละปี มีสูตรคำนวณคือ
พูดง่ายๆ ก็คือค่า impact factor ในปี 2020 คือจำนวน citation เฉลี่ยของแต่ละเปเปอร์ที่ตีพิมพ์ในปี 2019 และ 2018 โดยการสืบค้นค่า JIF อาจ google เอาจากหน้าของแต่ละ journal หรือเข้าไปดูฐานข้อมูล Web of Science
อีกปริมาณที่นิยมใช้กันคือ H-index (Hirsch-index) เป็นค่าที่บ่งบอกว่านักวิจัยคนหนึ่งตีพิมพ์งานที่มีความสำคัญถูก cite มากน้อยเพียงใด โดยมีนิยามคือ
ตัวอย่างเช่นหาก ดร.A ตีพิมพ์ 9 เปเปอร์ที่ถูกอ้างอิง 312, 43, 12, 7, 4, 3, 0, 0, 0 ครั้งตามลำดับ ก็จะมี h-index = 4 ในขณะที่ดร. B ที่ตีพิมพ์ 5 เปเปอร์ที่ถูกอ้างอิง 10, 9, 8, 7, 5 ครั้งก็จะมี h-index = 5 จึงสามารถสังเกตได้ว่า h-index พิจารณาทั้งปริมาณและคุณภาพ อย่างไรก็ตามค่านี้ไม่ได้บ่งบอกว่านักวิจัยเป็น