ตอนที่แล้วเราพูดถึงการสมัครเรียนต่อ Ph.D. สาขาเคมีในเมกา ตอนนี้จะพูดถึงโครงสร้างหลักสูตรการเรียน Ph.D. สาขาเคมีในเมกาว่ามีอะไรเหมือนหรือต่างจากไทยบ้าง
ตัวอย่างเงื่อนไขจบการศึกษา (graduation requirement)
องค์ประกอบของการเรียน Ph.D. เคมี ซึ่งใช้เวลาเรียนประมาณ 5 ปี (ส่วนใหญ่อยู่ในช่วง 4-6 ปี) อาจแบ่งได้สามส่วน คือการเรียนรายวิชา (coursework) การสอบ (examinations) และวิทยานิพนธ์ (dissertation)
ในช่วง 1-2 ปีแรกของหลักสูตรจะเป็นการเรียน coursework เพื่อปูพื้นฐานให้เรามีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะการคิดขั้นสูงพอที่จะทำวิจัยในระดับปริญญาเอกได้ ปัจจุบันในเมกามีแนวโน้มให้เด็กเรียน coursework น้อยลง (ประมาณ 4-6 ตัวหรือ 12-18 หน่วยกิตรายวิชาบรรยายที่เป็นเนื้อหาเคมี) เพื่อให้เด็กโฟกัสกับการทำวิจัยมากขึ้น เทียบกับที่ไทยซึ่งเรียนมากกว่า
ในส่วนของเนื้อหาวิชา วิชาเคมีนั้นโดยทั่วไปแบ่งหยาบๆ ได้สี่สาขาตือเคมีเชิงฟิสิกส์ เคมีวิเคราะห์ เคมีอินทรีย์ และเคมีอนินทรีย์ ในการจัดวิชาให้เด็กเรียนก็อาจจะเจอสองแบบ แบบแรกคือเลือกสาขาวิชาแล้วเรียนวิชาบังคับของสาขา แล้วจึงเลือกวิชาเลือกอื่นเพิ่ม ส่วนแบบที่สองคือเลือกยังไงก็ได้แล้วแต่ความสนใจและงานวิจัย ตัวอย่างเช่น แม้คุณจะเรียนเคมีวิเคราะห์แต่จะไปลง statistical mechanics เอาความสะใจในชีวิตก็ย่อมได้ มหาลัยที่ผู้เขียนเรียนเป็นแบบที่สอง จึงรู้สึกสนุกสนานเวลาส่องวิชาจากนอกภาคหรือนอกสาขา เลยได้ไปเรียนวิชาแปลกๆ เช่น Nanoscale imaging นอกจากนี้อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยก็อาจจะแนะนำให้เราลงวิชาในภาคหรือวิชานอกภาคที่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำวิจัย เช่น อาจารย์ที่ปรึกษาของผู้เขียนแนะนำให้ลงวิชาเขียนโปรแกรมของภาคคอมฯ จะได้เอามาเขียนโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลในแลบ ตอนหน้าเราจะกล่าวถึงรายละเอียดการเรียนการสอนวิชาเนื้อหาเหล่านี้
นอกจากรายวิชาที่เป็นเนื้อหาแล้ว ทางหลักสูตรอาจบังคับให้เรียนวิชาอื่น ๆ เช่น สัมมนา การพัฒนาทักษะการวิจัย ความรู้เกี่ยวกับการสอน การพัฒนาทักษะการสื่อสาร จริยธรรมและความปลอดภัยในการวิจัย สิ่งเหล่านี้จัดเป็น soft skill ที่อาจมีประโยชน์กว่าการเรียนเนื้อหาเคมีด้วยซ้ำในปัจจุบัน เพราะเด็กอาจจบออกไปทำงานในบริษัทหรือไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเคมี ดังนั้นมหาลัยในเมกาจึงให้ความสำคัญมากขึ้นในส่วนนี้
สำหรับ coursework โดยทั่วไปก็ต้องสอบผ่านทุกรายวิชาให้ครบตามเกณฑ์ โดยทั่วไปมักต้องได้เกรดแต่ละวิชาไม่ต่ำกว่า B- (2.7) และต้องได้ GPAX >= 3.00 (B) ขึ้นไป ถ้าสอบได้ไม่ถึงที่กำหนดอาจถูกลดเงินเดือน ถูกปรับไปเรียน ป.โท หรือร้ายสุดก็เชิญออก รายละเอียดการตัดเกรดจะกล่าวถึงในตอนหน้า
หลังจากเรียน coursework จนครบเงื่อนไขแล้ว ลำดับต่อไปคือการสอบต่างๆ ซึ่งอาจเรียกรวมๆ ว่าการสอบวัดคุณสมบัติ (Qualifying exam) และสอบโครงร่างงานวิจัย (Proposal exam) เป็นการวัดว่าเรามีความรู้รวบยอดพอที่จะทำวิจัยได้หรือไม่ มักเป็นการวัดการบูรณาการความรู้ข้ามรายวิชาว่า เราเรียน coursework มาแล้วเราเอามาผสมกันได้มั้ย โดยในภาควิชาเคมีในเมกาอาจเจอการสอบอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างจากรูปแบบต่อไปนี้
Cumulative exam คือสอบสะสมเก็บคะแนน เช่นจะต้องสอบให้ผ่าน 3 ครั้งใน 5 ครั้ง แต่ละครั้งวัดเนื้อหาที่ต่างกันออกไป สอบแบบนี้ค่อนข้างโหดและต้องเตรียมทุกเดือน หลายมหาลัยเริ่มเปลี่ยนเป็นแบบอื่นแทน เพราะเด็กเสียเวลาทำวิจัยมาเตรียมสอบ
Paper critique คืออาจารย์อาจจะกำหนดเปเปอร์งานวิจัยให้อ่าน แล้วเราก็มีหน้าที่นำเสนอเปเปอร์ วิจารณ์เปเปอร์ในข้อดีหรือข้อจำกัด จะปรับปรุงให้งานวิจัยดีขึ้นได้อย่างไร หรือนำไปใช้ต่อได้อย่างไรบ้าง และอาจโดนถามทฤษฎีหรือเทคนิคการวิเคราะห์ที่ใช้ในเปเปอร์
Research proposal คือให้นำเสนองานวิจัยที่ทำมาในช่วง 1-2 ปีแรก แล้วถามทฤษฎีและทักษะที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ข้อมูล การออกแบบการทดลอง แบบนี้มีความเหมาะสมมากกว่าเพราะเด็กจะได้เตรียมความรู้ในสิ่งที่จำเป็นต่อการทำวิจัยจริงๆ การสอบอันนี้อาจรวมกับการสอบโครงร่างวิทยานิพนธ์ (dissertation proposal)
Original research proposal คือให้นำเสนอโครงร่างงานวิจัยใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานวิจัยที่ตัวเองทำอยู่ราวกับจะทำงานวิจัยนั้นจริง ๆ เช่น ถ้าทำเคมีวิเคราะห์เชิงไฟฟ้า ก็อาจจะต้องนำเสนองานวิจัยที่ทำสเปกโทรสโกปี การสอบนี้ต้องการให้เด็กมีความรู้ในหลายสาขาและวัดความคิดสร้างสรรค์ด้วย
โดยทั่วไปเด็กที่เรียนก็ต้องสอบให้ผ่านภายในเทอมที่กำหนด ถ้าสอบตกอาจแก้ตัวได้หนึ่งครั้ง มิเช่นนั้นจะ "ติดโปร" ถูกลดเงินเดือนหรือเชิญออก ว่ากันว่าสอบตรงนี้ยากกว่าสอบป้องกันวิทยานิพนธ์ตอนจบเสียอีก (ผู้เขียนเห็นด้วยทุกประการ)
ในระดับปริญญาโทอาจเรียกว่า thesis แต่ในระดับปริญญาเอกนิยมเรียกว่า dissertation คือการเขียนเรียบเรียงงานวิจัยที่ทำตลอดการเรียนปริญญาเอก 5 ปี ซึ่งในเคมีก็มักจะผูกกับการเขียนและตีพิมพ์เปเปอร์ เกณฑ์การจบมักขึ้นอยู่กับความพอใจของอาจารย์ที่ปรึกษาว่าในกรุปวิจัยของตัวเอง เด็กต้องมีกี่เปเปอร์หรือไปพูดคอนเฟอเรนซ์กี่ครั้งแล้วถึงจะให้จบ รายละเอียดขอยกไปพูดตอนท้ายๆ เลย
ที่จริงแล้วยังมีองค์ประกอบอื่นๆ นอกจากสามองค์ประกอบหลัก เช่น หลายภาควิชากำหนดให้เด็กต้องมีประสบการณ์เป็นผู้ช่วยสอน (teaching assistant; TA) อย่างน้อย 1-2 เทอม ก็คือจริงๆ แล้วภาควิชาต้องการเด็กไปคุมแลบหรือสอน discussion section ของ ป.ตรี ตรงนี้ก็จะได้เงินเดือนด้วย ถือเป็นเรื่องที่ดี
มาถึงตรงนี้ก็อาจจะพอมองออกแล้วว่ากว่าจะฝ่าฟันเรียนจนจบดอกเตอร์ได้เนี่ยจะต้องผ่านด่านต่างๆ มากมาย แปลว่าไม่ใช่ทุกคนที่เข้าเรียนจะได้ Ph.D. ถ้าเกิดสอบตกระหว่างทางหรือถอดใจลาออก ทางภาควิชาก็อาจจะมีเงื่อนไขให้ปริญญาโท (M.A. หรือ M.S. ขึ้นกับว่าทำวิจัยได้ผลขนาดไหนแล้ว) แต่โดยทั่วไปผู้ที่อยู่ในโปรแกรมปริญญาโทจะไม่ได้เงินเดือนและค่าเทอมเลย ยกเว้นอาจารย์ที่ปรึกษาช่วยออกให้
-----
ในตอนหน้าเราจะโฟกัสมากขึ้นกับวิธีการเรียนการสอนในรายวิชาบรรยายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนกว่าการเรียนในไทยพอสมควร ทั้งวิธีสอน วิธีสอบ การตัดเกรด และเราน่าเอามาเป็นแบบอย่างในการเรียนการสอนต่อไป