ในตอนที่ผ่านมาเราพูดถึง Coursework ในการเรียน Ph.D. ว่ามีส่วนที่เป็นเนื้อหาวิชา (ตอนที่แล้ว) ดังนั้นในตอนนี้จะพูดถึงวิชาในส่วนที่ไม่ได้เป็นเนื้อหาเคมีโดยตรง เป็นการสอนทักษะหรือแง่มุมต่าง ๆ ที่มีความสำคัญต่อการวิจัยและการประกอบวิชาชีพในอนาคต
การศึกษาในขั้นบัณฑิตศึกษาของเมกาจะต้องปูพื้นฐานการวิจัยพอสมควร เพราะในเมกา คุณสามารถจบ ป.ตรีสายวิทย์ได้โดยไม่จำเป็นต้องทำ senior project โดยจะได้ปริญญา B.A. แต่ถ้าทำวิจัยด้วยจึงจะได้ B.S. นอกจากนี้เนื้อหาวิชาการก็เข้มน้อยกว่าไทยและอังกฤษพอสมควร จึงทำให้หลักสูตร Ph.D. ต้องเรียน coursework ที่เป็นวิชาเคมีมากกว่าที่อังกฤษ
ในด้านที่เกี่ยวกับงานวิจัยก็อาจจะมีการอบรมเป็นการปฐมนิเทศก่อนเปิดเทอม หรืออาจมีรายวิชาให้ลงแบบ S/U มักเรียกรายวิชาเหล่านี้ว่า Research Seminar หรือ Introduction to Research ซึ่งผู้เขียนชอบเรียกว่าวิชาจับฉ่าย เพราะเนื้อหาประกอบด้วยหลายเรื่องมากๆ อาทิ
ความปลอดภัยทางเคมี ที่ภาคเคมีมหาลัยผมบังคับให้เด็กเข้าฟังอบรมซ้ำทุกปี จากส่วนกลาง ต้องผ่านการอบรมถึงจะใช้เครื่องมือและทำวิจัยในห้องปฏิบัติการด้วย (Update: ตอนที่มี COVID-19 ก่อนที่จะกลับเข้าไปทำแลบในช่วงผ่อนคลายมาตรการ อาจารย์และเด็กทุกคนก็ต้องฟังอบรมออนไลน์ที่เกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของไวรัสในที่ทำงานด้วย)
แนะนำงานวิจัยโดยอาจารย์ เนื่องจากนักเรียนที่เข้าใหม่อาจยังไม่ทราบงานวิจัยของอาจารย์ทุกคนในภาค จึงมักจะมีการจัดให้อาจารย์ทุกท่านมาพรีเซ้นท์งานวิจัยในกรุปตัวเอง คนละ 30 นาที แล้วก็เปิดโอกาสให้เด็กซักถามด้วยว่าปีนี้รับเด็กกี่คน สไตล์การทำงานเป็นยังไง บลาๆ เป็นการโฆษณาชวนเชื่อดึงเด็กเข้ากรุปวิจัย นั่นเอง เพราะปกติถ้าไม่ใช่อาจารย์ที่สอนรายวิชาบรรยายบังคับ เด็กอาจจะไม่รู้จักเลย แล้วจะมีเด็กมาทำวิจัยได้อย่างไร (รายละเอียดกระบวนการเลือกอาจารย์จะพูดถึงตอนหลังๆ)
การสืบค้นข้อมูลงานวิจัย การใช้ห้องสมุดและทรัพยากรที่เกี่ยวข้อง ก็ทั่วๆ ไป แนะนำการใช้ห้องสมุด การสืบค้นข้อมูลหนังสือและวิทยานิพนธ์ การสืบค้น Journal Articles ที่ต้องใช้ในงานวิจัย การใช้โปรแกรมเขียนเอกสารอ้างอิง (เช่น EndNote, RefWorks, Mendeley แล้วแต่ว่ามหาลัยใช้อันไหน)
ทรัพย์สินทางปัญญา ที่นี่ให้ความสำคัญกับ IP มาก งานวิจัยบางอย่าง (ทั้งเคมีอินทรีย์ เคมีอนินทรีย์ เคมีเชิงฟิสิกส์ และโดยเฉพาะเคมีวิเคราะห์ในเมกาซึ่งเน้นการพัฒนาเครื่องมือใหม่) น่าจะมีศักยภาพพอในทางธุรกิจการค้าหรือนำไปพัฒนาต่อยอด ดังนั้นการจดทะเบียนสิทธิบัตรสำหรับสิ่งที่คิดค้นได้จากงานวิจัยจึงมีความสำคัญ แถมเราจะได้เงินด้วยถ้ามีคนเอาไปใช้
จริยธรรมในการวิจัย อันนี้แน่นอนว่าจำเป็นมากๆ เช่น plagiarism, data manipulation, etc. เขาก็จะยกตัวอย่างกรณีศึกษาที่สำคัญว่าอันนี้ผิดมั้ย ทำไมถึงผิด
การจัดเก็บและจัดการข้อมูลผลการทดลอง (Data Management) งานวิจัยบางแบบเหมาะสมต่อการจดบันทึกใน lab notebook แต่หลายแบบ (เช่นพวกคำนวณหรือเคมีวิเคราะห์) นิยมใช้ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ที่เก็บในคอมพิวเตอร์มากกว่า เขาก็จะแนะนำว่าควรตั้งชื่อไฟล์อย่างไรไม่ให้สับสน เก็บไว้ไหนดี ควรสำรองข้อมูล (ทั้งไฟล์ lab result และ report) อย่างไร เผื่อเกิดการลบโดยไม่ได้ตั้งใจหรือคอมพัง (ดังเช่นที่นิสิตหลายๆ ท่านประสบเวลาเขียนเล่ม Senior Project หรือ Thesis ใกล้เสร็จแล้วคอมค้างไปต่อหน้าต่อตา)
บรรยายพิเศษ เชิญอาจารย์หรือนักวิจัยจากภายนอกมาบรรยายงานวิจัยของตัวเอง (ของที่ผมเรียนอยู่เขาจัดทุกสัปดาห์ ต้องเซ็นชื่อด้วย เพื่อไม่ให้เด็กรู้สึกถูกบังคับจนเกินไป จึงเอากาแฟและซอฟต์คุกกี้มาล่อ ซึ่งได้ผลดีเยี่ยม) บางครั้งก็เชิญ Nobel Laureate มาเลย
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์ การเผยแพร่งานวิจัยที่ตนเองทำอยู่จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการสื่อสารแก่คนในแวดวงวิชาการเดียวกัน และการสื่อสารแก่คนนอก รัฐบาล หรือประชาชนทั่วไป ทักษะที่มีความสำคัญจึงประกอบด้วย
การนำเสนอด้วยการเขียนและปากเปล่า เช่น การเขียนรายงานวิจัย การเขียนเปเปอร์ การเขียนวิจารณ์เปเปอร์ การเขียน proposal หรือการเขียนบทความ op-ed (จดหมายถึงบรรณาธิการ) การนำเสนองานวิจัยของตัวเองให้กลุ่มเป้าหมายต่างๆ เช่น พ่อแม่ คนในครอบครัว เพื่อนในแลบ เพื่อนร่วมภาค คนที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่ได้เรียนเคมี หรือเสนอนโยบายต่อรัฐบาล จะเห็นว่าเราควรนำเสนอให้ลึกตื้นหนาบางต่างกัน เป็นต้น
การสอน ขอจัดไว้ที่หมวดนี้ เพราะเป็นการสื่อสารเฉพาะทางรูปแบบหนึ่ง เนื่องจากนักเรียน Ph.D. ทุกคนจะต้องทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยสอน (TA) ซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการศึกษาระดับปริญญาตรีของนักเรียนที่ภาค ก็จะมีการอบรมเกี่ยวกับจิตวิทยา ทฤษฎีการเรียนรู้ และเทคนิคการสอน แต่ที่มีประเด็นคืออะไรกันแน่ที่สำคัญและทำให้เราสอนได้ดี บางคนก็บอกว่ารู้ทฤษฎีพวกนี้ไปก็ไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่ก็แล้วแต่คน
ส่วนสุดท้ายที่มีความสำคัญไม่แพ้สองส่วนแรกคือการแนะแนวอาชีพที่ประกอบได้หลังจบ Ph.D. ซึ่งสำคัญมากจนวารสารทางวิทยาศาสตร์ชั้นนำ เช่น Science หรือ Nature ได้วิเคราะห์ว่าเป็นสิ่งที่นักเรียน Ph.D. ควรรู้ว่าได้ปริญญานี้ไปแล้วสามารถทำงานได้หลายอย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเพียงอย่างเดียว
ในอดีตและปัจจุบัน การศึกษาในระดับปริญญาเอกเป็นแบบ apprenticeship แบบที่อาจารย์ที่ปรึกษาต้องการปั้นให้ลูกศิษย์ตัวเองทำงานวิจัยตัวเองต่อ พยายามให้ทำงานเป็นอาจารย์ในแวดวงวิชาการ (academia) ให้มากที่สุด ทีนี้ในสหรัฐอเมริกา อาจารย์ที่มีตำแหน่งทางวิชาการตั้งแต่ รศ. ขึ้นไปสามารถทำงานไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดเกษียณ หมายความว่าในอนาคตจะมีคนจบ Ph.D. มากขึ้นแต่ตำแหน่งงานเป็นอาจารย์ในมหาลัยน้อยลง ทางหนึ่งที่ช่วยประวิงเวลาคือการทำงานเป็นโพสต์ดอก (postdoctoral researcher) เก็บประสบการณ์ไว้รอไปทำงานจริง แต่ตำแหน่งงานในปัจจุบันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น หลายคนจึงทำโพสต์ดอกวนไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นวิกฤต ปัจจุบันมหาลัยหลายแห่งตกลงกันว่าจะรับโพสต์ดอกที่ทำงานเป็นโพสต์ดอกมาแล้วรวมไม่เกิน 3-5 ปี เพื่อบีบให้ไปหางานจริงจังทำเสียที อีกประเด็นหนึ่งคือปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ภาครัฐและภาคเอกชน (ในประเทศที่เจริญแล้ว) ต้องการ Ph.D. ไปทำงานวิจัยมากขึ้น รวมถึงกระแส start up ดังนั้นจำนวนตำแหน่งงานนอกแวดวงวิชาการ (non-academia) จึงเพิ่มขึ้น แต่ปัญหาก็คือนักเรียนทั้งหลายไม่รู้ว่าไปทำอะไรได้บ้างนอกจากอาจารย์
ผมคิดว่ายิ่งเรามีวุฒิการศึกษาสูงเท่าไหร่ ตำแหน่งงานที่เหมาะสมกับเรา (แบบไม่ overqualified) จะน้อยลงไปเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้การวางแผนอาชีพ (career planning) จึงสำคัญมาก การเชิญคนที่จบ Ph.D. แล้วไปทำงานในด้านต่างๆ ทั้งมหาวิทยาลัยวิจัย (research university) วิทยาลัยสอน (teaching college) อุตสาหกรรมวิจัย กฎหมาย(สิทธิบัตร) หรือประสบการณ์ตั้งธุรกิจ start up มาบรรยายแนวอาชีพให้นักเรียนฟัง จึงมีส่วนสำคัญที่จะทำให้นักเรียนมีข้อมูลเพียงพอต่อการตัดสินใจเลือกอาชีพในอนาคต และพอรู้ว่าอยากประกอบอาชีพแบบใด จะได้ทำตัวตอนเรียน Ph.D. ให้เหมาะสมกับงานที่อยากทำ
ในตอนหน้าจะเขียนถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดในสังคมทุนนิยม ก็คือ “เงิน” นั่นเอง เกริ่นก่อนว่าไปเรียนเมกาสายวิทย์ ไม่จำเป็นต้องมีทุน ไปหาเอาที่นั่นได้ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร ได้เงินมากน้อยเพียงใด ติดตามชม