2 กฎหมายคอมพิวเตอร์
กฎหมายคอมพิวเตอร์
ในอดีตเมื่อมีเหตุการณ์ที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการกระทำความผิดหรือสร้างความเสียหายขึ้นแต่ละครั้ง มักจะไม่สามารถเอาผิดผู้ที่กระทำความผิดได้ เนื่องจากผู้กระทำความผิดสามารถอยู่ ณ สถานที่ใดในโลกก็ได้ ทำให้ยากที่จะนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ อีกทั้งความเสียหายที่เกิดจากการใช้คอมพิวเตอร์ในการกระทำความผิดก็สร้างความเสียหาย และส่งผลกระทบต่อผู้คนจำนวนมาก แต่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับและสามารถนำมาใช้ลงโทษได้
ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศหลายฉบับ
เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์
พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์
โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
และพระราชบัญญัติว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2560
มีข้อกฎหมายที่ควรทราบเบื้องต้น ดังนี้
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
ประกอบด้วยมาตราต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 30 มาตรา
โดยถูกแบ่ง ออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนทั่วไป ส่วนความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และส่วนของพนักงานเจ้าหน้าที่
และมีพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ (ฉบับที่ 2 )พ.ศ. 2560 ที่มีการปรับปรุงข้อกฎหมายในพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 บางประการ ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
3 ลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถ และความอุตสาหะพยายามในการสร้างสรรค์ผลงาน ซึ่งถือว่า เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ประเภทหนึ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครอง โดยเจ้าของลิขสิทธิ์จะเป็นผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับงานที่สร้างสรรค์ได้ เช่น สิทธิที่จะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือนำออกโฆษณา ไม่ว่าในรูปลักษณะอย่างใดหรือวิธีใด รวมทั้งการอนุญาตให้ผู้อื่นนำผลงานนั้นไปกระทำการใด ๆ ได้ด้วย
3.1 การคุ้มครองลิขสิทธิ์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์ตามกฎหมายไทยจะกำหนดให้มีอายุการคุ้มครอง 50 ปี นับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ผลงานเสียชีวิต แต่ในกรณีที่เจ้าของผลงานเป็นนิติบุคคลจะเริ่มนับอายุลิขสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ผลงานถูกสร้างขึ้นนับไปอีก 50 ปี หรือเริ่มนับเมื่อมีการโฆษณาผลงานเป็นครั้งแรกแล้วแต่กรณีว่าอย่างใดเกิดขึ้นทีหลัง เช่น หลังจากที่สร้างผลงานเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยมีการโฆษณาผลงานหลังจากนั้น 3 ปี การนับอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ก็จะเริ่มนับจากวันที่โฆษณา แต่การโฆษณาครั้งแรกจะต้องเกิดขึ้นภายใน 50 ปี นับตั้งแต่มีการสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา ถ้าพ้น 50 ปีไปแล้ว โดยที่ยังไม่ได้มีการโฆษณา ถือว่าลิขสิทธิ์หมดอายุ แต่ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้มีการยกเว้นในงานบางประเภทที่จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่างออกไป คือ ศิลปะประยุกต์ ที่จะมีอายุการคุ้มครองลิขสิทธิ์เพียง 25 ปีเท่านั้น
พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้ให้ความคุ้มครองกับผลงาน 9 ประเภท ดังนี้
1. งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ คำปราศรัย ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์
2. งานนาฏกรรม เช่น งานที่เกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่า หรือการแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว รวมถึงการแสดงโดย วิธีใบ้ด้วย
3. งานศิลปกรรม เช่น งานจิตรกรรม งานประติมากรรม ภาพพิมพ์ งานสถาปัตยกรรม ภาพถ่ายภาพประกอบ หรืองานสร้างสรรค์
รูปทรง สามมิติเกี่ยวกับภูมิประเทศ หรือวิทยาศาสตร์ งานศิลปะประยุกต์ ซึ่งรวมถึงภาพถ่าย และแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
4. งานดนตรีกรรม เช่น คำร้อง ทำนอง การเรียบเรียงเสียงประสานรวมถึงโน้ตเพลงที่แยก และเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
5. งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นซีดี (CD) ที่บันทึกข้อมูลเสียง ทั้งนี้ ไม่รวมถึงเสียงประกอบภาพยนตร์ หรือเสียงประกอบ โสตทัศนวัสดุอย่างอื่น
6. งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วิดีโอเทป วีซีดี ดีวีดี แผ่นเลเซอร์ดิสก์ที่บันทึกข้อมูล ประกอบด้วยลำดับของภาพหรือภาพและเสียง
ซึ่งสามารถที่จะนำมาเล่นซ้ำได้อีก
7. งานภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์ รวมทั้งเสียงประกอบของภาพยนตร์ด้วย (ถ้ามี)
8. งานแพร่เสียงแพร่ภาพ เช่น การกระจายเสียงวิทยุ การแพร่เสียงหรือภาพทางโทรทัศน์
9. งานอื่นใดในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์หรือแผนกศิลปะ
3.2 การใช้สิทธิ์ของผู้อื่นโดยชอบธรรม (Fair Use)
เป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ที่กฎหมายกำหนดให้บุคคลทั่วไปมีสิทธิที่จะใช้งานอันมีลิขสิทธิ์ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งได้กล่าวไว้ในพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์พ.ศ. 2537 ในมาตรา 32 - 43 โดยการกระทำที่เป็นข้อยกเว้นการละเมิดลิขสิทธิ์ สามารถจำแนก เป็นหลักเกณฑ์ ดังนี้
1. การกระทำนั้นเป็นการกระทำเพื่อใช้ในการวิจัยหรือศึกษา
2. การกระทำนั้นมิได้เป็นการกระทำเพื่อหากำไร
3. การกระทำนั้นไม่ขัดต่อการแสวงหาผลประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์ และไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิอันชอบด้วยกฎหมายของเจ้าของลิขสิทธิ์เกินสมควร