เรียนก่อนกลางภาคเรียนที่ 1
เรียนก่อนกลางภาคเรียนที่ 1
บทเรียนหลังกลางภาคเรียนที่ 1
2 การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
ข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นนั้น โดยทั่วไปมักมีจำนวนมาก มีความหลากหลายของประเภทข้อมูล ทั้งในด้านความถูกต้องและความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การนำข้อมูลสารสนเทศดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ จำเป็นต้องมีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เพื่อคัดแยกหรือเลือกเฉพาะข้อมูล ที่มีความน่าเชื่อถือ มีความถูกต้อง และตรงตามความต้องการ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
2.1 หลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล
เป็นขั้นตอนในการประเมินเพื่อคัดเลือกข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นที่มีคุณค่า มีความน่าเชื่อถือในทางวิชาการ เป็นการพิจารณาคัดเลือกจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ซึ่งจากการประเมินความน่าเชืิ่อถือของข้อมูลจะทำให้เราได้ข้อมูลที่มีคุณค่าและนำไปประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม ซึ่งหลักการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล มีดังนี้
1. ประเมินความตรงตามความต้องการของข้อมูล หลักการนี้เป็นหลักการพื้นฐานที่ควรกระทำก่อนการคัดแยก เพื่อเลือกเฉพาะข้อมูลที่ตรงตามความต้องการเท่านั้น โดยจะพิจารณาว่าข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นนั้นตรงตามความต้องการของผู้สืบค้นหรือไม่ หากไม่ตรงทั้งหมดสามารถเลือกเฉพาะส่วนที่ตรงกับความต้องการได้หรือไม่ หรือเนื้อหาโดยรวมค่อนข้างตรงแต่สามารถตัดส่วนที่ไม่ตรงกับความต้องการได้หรือไม่ซึ่งวิธีการที่นิยมใช้ คือ การอ่านเบื้องต้น ได้แก่ การอ่านชื่อเว็บไซต์ ชื่อเว็บเพจ ชื่อหัวเรื่อง คำนำ หน้าสารบัญ หรือเนื้อหาในเว็บไซต์เพื่อพิจารณาว่า มีความสอดคล้องและตรงตามความต้องการของผู้สืบค้นหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่สามารถประเมินได้ตั้งแต่ชื่อเว็บไซต์ ชื่อเว็บเพจ หรือชื่อหัวเรื่องในเว็บเพจ
2. ประเมินความน่าเชื่อถือและความทันสมัยของข้อมูล หลักการนี้จะพิจารณาว่าเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ ซึ่งการประเมินความน่าเชื่อถือมีรายละเอียดที่ควรพิจารณา ดังนี้
1) ประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล โดยพิจารณาว่าข้อมูลนั้นได้มาจากแหล่งใด ซึ่งโดยส่วนมากแหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือนั้นจะเป็นสถาบันหรือองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ห้องสมุดโรงเรียน เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ในห้องสมุดได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองเนื้อหาจากบรรณารักษ์และผู้ที่เกี่ยวข้องแล้วเอกสารด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลที่มีความน่าเชื่อถือ เนื่องจากโรงพยาบาลเป็นองค์กรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพ แหล่งข้อมูลในอินเทอร์เน็ตจำเป็นต้องพิจารณาว่าเป็นเว็บไซต์ขององค์กรที่มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยดูจากผลงานที่ผ่านมา หรือ เป็นหน่วยงาน องค์กร สถาบันของรัฐ
2) ประเมินความน่าเชื่อถือของทรัพยากรข้อมูล โดยพิจารณาว่า ทรัพยากรข้อมูลหรือข้อมูลนั้น ๆ เป็นรูปแบบใด เช่น สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อไม่ตีพิมพ์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และหากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นสิ่งพิมพ์ประเภทใด เช่น หนังสือทั่วไป หนังสืออ้างอิง วารสาร นิตยสาร
3) ประเมินความน่าเชื่อถือของผู้เขียน ผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ โดยพิจารณาว่าผู้เขียนมีคุณวุฒิ ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ตรงหรือสอดคล้องกับเรื่องที่เขียนหรือไม่(โดยผู้เขียน หมายรวมถึงผู้สร้างเนื้อหาในเว็บไซต์หรือสื่ออื่น ๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น สื่อสังคมออนไลน์) รวมทั้งความน่าเชื่อถือของผู้จัดทำ สำนักพิมพ์ หรือองค์กรที่จัดทำเว็บไซต์ที่มีประสบการณ์ในเนื้อหาเฉพาะด้าน หน่วยงานผู้รับผิดชอบของทางภาครัฐ องค์กร สมาคม มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าหน่วยงานภาคเอกชนหรือบุคคลตัวอย่าง เช่น กรณีที่เป็น เว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ ให้พิจารณาว่า ผู้เขียน ผู้จัดทำเว็บไซต์ องค์กรเจ้าของเว็บไซต์ มีความน่าเชื่อถือ มีชื่อเสียงในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในเว็บไซต์ หรือเป็นที่รู้จักอย่าง แพร่หลายหรือไม่
4) ประเมินความทันสมัยของข้อมูล โดยหากเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์หรือสื่อที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต เช่น เว็บไซต์ สื่อสังคมออนไลน์ ควรพิจารณาวันเดือนปี ที่ข้อมูลถูกเผยแพร่ในเว็บไซต์หรือสื่อสังคมออนไลน์ดังกล่าว หากเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ควรพิจารณาความทันสมัยจากวันเดือนปีที่พิมพ์
3. ประเมินระดับเนื้อหาของข้อมูล มี 3 ระดับ ดังนี้
2.2 การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลที่ได้จากการสืบค้นจากอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้สืบค้นสามารถประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูลได้ ดังนี้
แหล่งข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ เมื่อเราต้องการข้อมูลเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆเราสามารถค้นหาข้อมูลได้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัว และควรเลือกค้นหาจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งมีลักษณะเป็นแหล่งที่มีการรวบรวมข้อมูลอย่างมีหลักเกณฑ์ มีเหตุผลและมีการอ้างอิง จึงจะได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตัวอย่างแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ มีดังนี้
1. เจ้าของข้อมูล เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับข้อมูลนั้น ๆ สามารถให้ข้อมูลได้ถูกต้องตรงความเป็นจริงมากกว่าบุคคลอื่นที่รับฟังข้อมูลมาเผยแพร่ต่อ ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อน หรืออาจแต่งเติม ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกับข้อมูลต้นฉบับที่ได้รับ
2. องค์กรหรือผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เป็นองค์กรบุคคลที่ทำงานหรือศึกษาค้นคว้าในด้านใดด้านหนึ่ง ทำให้มีความรู้จากประสบการณ์ในการทำงานหรือการศึกษาค้นคว้าอย่างจริงจัง จึงมีข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ตัวอย่างเช่น หน่วยงานหรือผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ เป็นองค์กรของรัฐที่ให้ความรู้ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์ของประเทศ
3. หน่วยงานของรัฐ เป็นหน่วยงานที่มีข้อมูลซึ่งมีผลต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและการพัฒนาประเทศ เนื่องจากข้อมูลจากหน่วยงานของรัฐจะถูกนำไปใช้ในการกำหนดนโยบาย วางแผน ลงมือปฏิบัติงาน และใช้อ้างอิง จึงเป็นข้อมูลสำคัญที่ต้องมีการรวบรวมเก็บรักษา หรือสร้างข้อมูลขึ้นอย่างรอบคอบ และระมัดระวัง เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงเสมอ
2.3 การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT
วิธีการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยใช้ PROMPT หรือเรียกอีกอย่างว่า วิธีการประเมิน
โดยการตั้งคำถาม มี 6 ขั้นตอน ดังนี้
2.4 เหตุผลวิบัติ
เหตุผลวิบัติ (Logical Fallacy) คือ การใช้เหตุผลที่ผิดพลาด ขาดความน่าเชื่อถือในการนำเสนอ อภิปราย หรือสรุปข้อมูลใด ๆ เพื่อพยายามให้ผู้อื่นเชื่อถือ ยอมรับ และสนับสนุนข้อมูลดังกล่าว ส่งผลให้ผู้รับข้อมูลเกิดความเข้าใจผิด และหากนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้หรือเผยแพร่ต่อ อาจทำให้ผู้รับข้อมูลรวมถึงสังคมเกิดความเข้าใจผิด โดยเหตุผลวิบัติมีชื่อเรียกอื่น ๆ เช่น ความผิดพลาดเชิงตรรกะ เหตุผลลวง ตรรกะวิบัติ ซึ่งเหตุผลวิบัติได้รับการจำแนกไว้หลายประเภท และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้