เรียนก่อนกลางภาคเรียนที่ 1
เรียนก่อนกลางภาคเรียนที่ 1
บทเรียนหลังกลางภาคเรียนที่ 1
หน่วยที่3 เทคโนโลยีสารสนเทศ
1 การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology:IT) เป็นการนำเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มาใช้ในกระบวนการทำงานต่าง ๆ เพื่อใช้จัดการข้อมูลที่เกิดขึ้นในการทำงานของบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กรเพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศที่นำไปใช้งานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ ซึ่งในปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีสารสนเทศได้สร้างการเปลี่ยนแปลงต่อระบบทางสังคมและองค์กรต่าง ๆโดยมีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในระดับประเทศ ระดับองค์กรหรือหน่วยงาน และระดับบุคคล ดังนี้
1. ระดับประเทศ รัฐบาลได้มีนโยบายนำเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัยเข้ามาใช้ในทุกภาคส่วนของหน่วยงานรัฐและหน่วยงานเอกชน ทั้งการดำเนินงานและกิจกรรมต่าง ๆ ซึ่งมีส่วนช่วยให้การทำงานและการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของภาครัฐมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังก่อให้เกิดความมั่งคั่งทางด้านเศรษฐกิจที่สามารถแข่งขันได้ในเวทีระดับโลก และเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับประเทศด้วย
2. ระดับองค์กรหรือหน่วยงาน การทำงานต่าง ๆ ของแต่ละองค์กรหรือหน่วยงานสามารถทำงาน ควบคุมการทำงาน ติดตามงาน หรือดูผลการทำงานได้จากทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งการทำงานขององค์กรหรือหน่วยงานจะต้องพบกับข้อมูลจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น การดำเนินงานในองค์กรจึงต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยในการปฏิบัติงานที่รวดเร็ว หรือใช้เป็นกลยุทธ์เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขัน
3. ระดับบุคคล เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้คนทุกระดับสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ได้ตลอดทุกที่ ทุกเวลา และยังเป็นเครื่องมือในการสร้างศักยภาพของบุคคลช่วยยกระดับคนไปสู่สังคมแห่งการเรียนรู้ และสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศยังเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันอีกด้วย
1.1 การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย
ในปัจจุบันมีการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศกันอย่างแพร่หลายในบุคคลทุกกลุ่ม ทุกเพศ และทุกวัย ซึ่งการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศนั้นมีความเสี่ยงที่อุปกรณ์เทคโนโลยีจะถูกบุกรุกโจมตี หรือเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคลหรือข้อมูลขององค์กร ดังนั้น การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศ จึงต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการเข้าใช้งาน เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ การซื้อสินค้าออนไลน์ ที่ผู้ใช้งานจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ เข้าสู่ระบบ ซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายจากการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศได้
1. การทำธุรกรรมออนไลน์ เป็นการดำเนินการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน ถอนเงินโอนเงิน หรือชำระเงินผ่านบริการทางอินเทอร์เน็ตของธนาคาร หรือที่เรียกว่า บริการ E-Banking ซึ่งการทำธุรกรรมออนไลน์นั้นถึงแม้ว่าจะมี การเข้ารหัสความปลอดภัยอย่างแน่นหนาใน การทำธุรกรรมออนไลน์แต่ละครั้งแล้ว แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกผู้ไม่หวังดีหรือแฮ็กเกอร์ (Hacker) โจรกรรมข้อมูลไปแล้วทำให้ผู้ใช้งานได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น ผู้ใช้งานธุรกรรม ออนไลน์จะต้องรู้จักวิธีการใช้ธุรกรรมออนไลน์อย่างปลอดภัย ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้
2. การซื้อสินค้าออนไลน์ เป็นการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต หรือที่เรียกว่า อีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) โดยเป็นการซื้อ-ขาย สินค้าโดยที่ผู้ซื้อและผู้ขายไม่ต้องพบปะกัน แต่ใช้วิธีการติดต่อผ่านทางอินเทอร์เน็ตแทน ซึ่งในปัจจุบันการซื้อสินค้าออนไลน์ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นการซื้อสินค้าที่ไม่ต้องเสียเวลาออกไปเดินเลือกซื้อ สามารถเลือกซื้อสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น แต่การซื้อสินค้าออนไลน์ ผู้ซื้อจะต้องระมัดระวังการถูกโจรกรรมข้อมูลหรือถูกฉ้อโกง ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สินค้าที่ได้ไม่ตรงตามที่โฆษณา สินค้ามีตำหนิ หรือชำระเงินแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้า ดังนั้น ผู้ซื้อสินค้าออนไลน์จะต้องรู้จักซื้อสินค้าออนไลน์อย่างปลอดภัยซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้
1.2 การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรับผิดชอบ
การใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีความรับผิดชอบหรือการใช้งานโดยการมีจิตสำนึกและจริยธรรมที่ดี เป็นแบบแผนความประพฤติหรือหลักเกณฑ์ในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกัน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งอาจไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ขึ้นอยู่กับกลุ่มสังคมหรือการยอมรับในสังคมนั้นเป็นหลัก โดยการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศต้องอยู่บนพื้นฐาน 4 ประเด็น ดังนี้
1. ความเป็นส่วนตัว (InformationPrivacy) เป็นสิทธิที่เจ้าของสามารถที่จะกำหนดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลของตนเองในการเผยแพร่ให้กับผู้อื่น หรือนำไปใช้ประโยชน์ หากมีการกระทำการใด ๆ เกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลเจ้าของสิทธิควรจะได้รับรู้ ดังนั้น ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทของผู้ใช้สารสนเทศหรือผู้ให้บริการสารสนเทศ ก็ต้องตระหนักถึงจริยธรรมในความเป็นส่วนตัว และถ้าหากเราอยู่ในฐานะของผู้ให้บริการ ก็ไม่ควรละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้บริการในทุก ๆ ด้าน
2. ความถูกต้องแม่นยำ (InformationAccuracy) ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆจะต้องให้ความสำคัญกับความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลเป็นอย่างมาก เพราะข้อมูลดังกล่าวจะเผยแพร่อย่างรวดเร็วและเข้าถึงได้ง่าย ดังนั้นจริยธรรมสำหรับผู้ทำหน้าที่เผยแพร่หรือนำเสนอข้อมูลต่าง ๆ จึงควรตระหนักถึงความถูกต้องแม่นยำ มีการคิดวิเคราะห์และกลั่นกรองข้อมูลก่อนนำเสนอ นอกจากนี้ ผู้เผยแพร่ยังต้องมีความรอบคอบในการนำเสนอข้อมูล มีการปรับปรุงข้อมูลต่าง ๆ ให้เป็นปัจจุบัน และพร้อมที่จะรับผิดชอบต่อการนำเสนอหากมีความ
ผิดพลาดเกิดขึ้น
3. ความเป็นเจ้าของ (Information Property) เป็นกรรมสิทธิ์ในการถือครองทรัพย์สิน ซึ่งอาจเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่จับต้องได้ เช่น คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์เทคโนโลยี หรือทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา บทเพลง โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมีมากขึ้น เราจึงสามารถสร้างสรรค์งานในรูปแบบดิจิทัล และมีการนำเสนอข้อมูลทางออนไลน์ได้ง่าย ก่อให้เกิดการละเมิดลิขสิทธิ์ การทำซ้ำลอกเลียนแบบ ทำให้เกิดผลเสียแก่เจ้าของผลงาน ผู้ผลิต หรือผู้จำหน่ายสินค้า ซึ่งเป็นการขาดจริยธรรมโดยไม่คำนึงถึงความเป็นเจ้าของผลงานนั้น ๆ เช่น ถ้าต้องการคัดลอกโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ในคอมพิวเตอร์ของตนเองให้กับเพื่อน จะต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนว่าโปรแกรมที่จะคัดลอกนั้นมีลิขสิทธิ์หรือไม่
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Acces-sibility) การเข้าถึงข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมถือเป็นการผิดจริยธรรม เช่นเดียวกับการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล เพราะบางครั้งในการเข้าถึงข้อมูล การเข้าใช้บริการระบบหรือเว็บไซต์ในหน่วยงาน หรือองค์กรจะมีการกำหนดสิทธิว่าใครมีสิทธิในการเข้าใช้ข้อมูล เพื่อป้องกันผู้ไม่ประสงค์
ดีหรือผู้บุกรุกที่พร้อมโจมตีระบบเครือข่ายขององค์กร ตลอดจนการลักลอบเข้ามาใช้ข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อนำไปใช้ประโยชน์อื่นที่อาจก่อความเสียหายให้แก่องค์กร ดังนั้น ผู้ใช้สารสนเทศจึงควรคำนึงถึงจริยธรรมในการเข้าถึงข้อมูล ไม่ลักลอบเข้าไปใช้ข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตไม่พยายามเจาะระบบเครือข่ายของผู้อื่นอันจะก่อให้เกิดความเสียหาย รวมถึงการปกป้องไม่ให้สิทธิการเข้าถึงข้อมูลของตนเอง
แก่ผู้อื่นเพราะอาจสร้างความเสียหายให้แก่องค์กรได้