I. เอษราเป็นปุโรหิตและเป็นธรรมาจารย์ด้วย; ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่ธรรมาจารย์ตามตัวอักษร แต่เป็นธรรมาจารย์อย่างปุโรหิต — อษร.7:6, 11–12, 21; นฮย.8:1–2, 8–9, 11–12; 12:26:
1. ปุโรหิตคือผู้ที่ผสมกลมกลืนกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและซาบซ่านด้วยองค์พระผู้เป็นเจ้า; เอษราเป็นบุคคลเช่นนี้ — อษร.8:21–23.
2. เอษราเป็นผู้ที่เชื่อพึ่งในพระเจ้า, เป็นหนึ่งกับพระเจ้า, เชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้า, และรู้จักพระทัยของพระเจ้า, ใจปรารถนาของพระเจ้า, และแผนการบริหารของพระเจ้า — 7:6, 11–12, 21.
3. ในฐานะที่เป็นธรรมาจารย์อย่างปุโรหิต เอษราเป็นหนึ่งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการติดต่อกับพระองค์อย่างต่อเนื่อง — นฮย.8:1–2, 8–9, 11–12, 12:26.
4. เอษราไม่ได้พูดสิ่งใหม่; สิ่งที่เขาพูดคือสิ่งที่โมเซได้พูดไว้แล้ว — อษร.7:6; นฮย.8:14; 2ปต.1:12.
5. พวกปุโรหิตและคนเลวีชุมนุมกันมาหาเอษราผู้เป็นธรรมาจารย์ เพื่อจะทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงถ้อยคำของกฎบัญญัติ; “ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง” ใน นฮย.8:13 ชี้ถึงการเข้าใจถึงความหมายสำคัญทางภายใน.
II. เอษราก่อรูปพลไพร่ชาวอิสราเอลขึ้นใหม่โดยให้การศึกษาพวกเขาด้วยหลักความจริงฝ่ายสวรรค์เพื่อพลไพร่ชาวอิสราเอลจะสามารถกลายเป็นพยานของพระเจ้า — ข้อ 1–3, 5–6, 8, 13–18:
1. ความมุ่งหมายของพระเจ้าที่มีต่อพลไพร่ชาวอิสราเอลคือการมีพลไพร่ที่ได้รับการก่อรูปอันศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นพยานของพระองค์บนแผ่นดินโลก — พลไพร่ที่ถูกก่อรูปขึ้นใหม่ด้วยพระคำของพระเจ้า — ยซย.49:6; 60:1–3; กซ.3:16.
2. หลังจากกลับมาจากการตกเป็นเชลยแล้ว ชาวอิสราเอลยังคงไม่อยู่ในกฎระเบียบเพราะว่าพวกเขาได้เกิดและเติบโตขึ้นในบาบิโลน และได้กลายเป็นคนบาบิโลนในการก่อรูปของพวกเขา:
(1) องค์ประกอบของชาวบาบิโลนได้ถูกกระทำเข้าสู่พวกเขาและก่อรูปอยู่ภายในพวกเขา — ซคย.3:3–5.
(2) หลังจากพวกเขากลับมายังดินแดนของบรรพบุรุษของพวกเขาเพื่อจะเป็นพลเมืองของชนชาติอิสราเอล พวกเขาก็ต้องถูกก่อรูปขึ้นใหม่ด้วยพระคำของพระเจ้า — นฮย.8:1–3, 5–6, 8, 13.
3. การที่จะนำพลไพร่ของพระเจ้าเข้าสู่วัฒนธรรมที่สอดคล้องกับพระเจ้า คือวัฒนธรรมที่สำแดงพระเจ้าได้นั้นจำเป็นต้องมีการสอนและการก่อรูปใหม่; วัฒนธรรมเช่นนี้เรียกร้องให้ต้องรับการศึกษาเป็นอย่างมาก — ข้อ 8.
4. ในเรื่องการก่อรูปพลไพร่ของพระเจ้าขึ้นใหม่นั้น เอษราเป็นผู้ที่มีการใช้งานได้เป็นอย่างมาก เพราะเขามีการสรุปรวมแห่งการก่อรูปและวัฒนธรรมฝ่ายสวรรค์อันศักดิ์สิทธิ์ และเขาเป็นผู้ที่สามารถทำให้พลไพร่ถูกก่อรูปขึ้นใหม่ด้วยพระคำของพระเจ้า — ข้อ 1–2.
5. เอษรานำพลไพร่ของพระเจ้ากลับมาสู่พระคำของพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะได้รับการศึกษาใหม่และถูกก่อรูปขึ้นใหม่ด้วยหลักความจริงฝ่ายสวรรค์ในพระคำอันศักดิ์สิทธิ์.
6. การที่จะก่อรูปพลไพร่ของพระเจ้าขึ้นใหม่มีความจำเป็นต้องให้การศึกษาแก่พวกเขาด้วยพระคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าและพระคำซึ่งสำแดงพระเจ้า — บพส.119:2, 9, 105, 130, 140:
(1) การก่อรูปพลไพร่ของพระเจ้าขึ้นใหม่คือการให้การศึกษาแก่พวกเขาโดยการวางพวกเขาไว้ในพระคำของพระเจ้า เพื่อพวกเขาจะถูกซาบซ่านด้วยพระคำ — กซ.3:16.
(2) เมื่อพระคำของพระเจ้าทำงานอยู่ภายในเรา พระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งก็คือตัวของพระเจ้าเองก็จะแจกจ่ายพระนิสัยของพระเจ้าพร้อมด้วยองค์ประกอบของพระเจ้าเข้าสู่ภายในเราโดยผ่านพระคำอย่างปกติวิสัย; เช่นนี้เราก็จะถูกก่อรูปขึ้นใหม่ — 2ตธ.3:16–17.
7. ผลลัพธ์ของการถูกก่อรูปขึ้นใหม่โดยการปฏิบัติของเอษรา ชาวอิสราเอล (ในแบบเล็ง) ก็ได้กลายเป็นชนชาติที่พิเศษ เป็นชนชาติที่ถูกแบ่งแยกบริสุทธิ์และถูกแบ่งแยกออกมาสำหรับพระเจ้า เป็นชนชาติที่สำแดงพระเจ้า — ยซย.49:6; 60:1–3; ซคย.4:2:
(1) บรรดาเชลยที่กลับมาถูกก่อรูปขึ้นใหม่ทั้งในด้านส่วนตัวและในด้านกลุ่มชนเพื่อกลายเป็นพยานของพระเจ้า.
(2) พวกเขาถูกถ่ายเทด้วยความคิดของพระเจ้า, ด้วยการพิจารณาของพระเจ้า, และด้วยทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น; สิ่งนี้ทำให้พวกเขากลายเป็นผลิตภัณฑ์ถอดแบบของพระเจ้า.
(3) โดยการก่อรูปอันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทุกคนก็ได้กลายเป็นพระเจ้าในด้านชีวิตและนิสัย; ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาได้กลายเป็นชนชาติอันศักดิ์สิทธิ์มาสำแดงอุปนิสัยที่ศักดิ์สิทธิ์ — 1ปต.2:9.
III. ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องการบรรดาเอษรา คือบรรดาอาจารย์อย่างปุโรหิตที่ติดต่อกับพระเจ้า, ซาบซ่านด้วยพระเจ้า, เป็นหนึ่งกับพระเจ้า, ผสมกลมกลืนกับพระเจ้า, เติมเต็มด้วยพระเจ้า, และเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในพระคำของพระเจ้า; นี่คือบุคคลที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นอาจารย์ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า — มธ.13:52; 2กธ.3:5–6; 1ตธ.2:7; 2ตธ.1:11:
1. องค์พระเยซูเจ้าทรงสอนผู้คนเพื่อนำพวกเขาออกจากความมืดฝ่ายซาตานเข้าสู่ความสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ — มก.6:6; เทียบ กจ.26:18:
(1) การที่มนุษย์ตกต่ำลงไปในความบาปได้ตัดขาดการสามัคคีธรรมระหว่างเขากับพระเจ้า ทำให้มนุษย์ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้าเลย ซึ่งความไม่รู้เช่นนี้ส่งผลให้เกิดความมืดและความตาย — อฟ.4:17–18.
(2) องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในฐานะความสว่างที่ยิ่งใหญ่เพื่อจะฉายส่องแก่ผู้คนที่นั่งอยู่ในเงาแห่งความตาย — ยฮ.8:12; มธ.4:12–16.
(3) คำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ปลดปล่อยถ้อยคำแห่งความสว่างเพื่อผู้คนที่อยู่ในความมืดและความตายจะได้รับความสว่างแห่งชีวิต — ยฮ.1:4.
2. การสอนเท่ากับการเปิดเผย ซึ่งก็คือการเปิดม่านออก — 1ตธ.2:7; อฟ.3:3–4, 9:
(1) การสอนคือเคลื่อนม่านออก; ในขณะที่เราสอนผู้อื่น เราควรเอาม่านออกไปเพื่อพวกเขาจะมองเห็นสิ่งที่เกี่ยวกับพระเจ้าตรีเอกภาพ.
(2) เมื่อเราพูดบางสิ่งในการประชุมของคริสตจักร การพูดของเราควรจะเป็นการคลี่ม่านออก; นี่ก็หมายความว่าการสอนของเราควรจะนำเสนอการเปิดเผย — 1ตธ.4:6.
(3) บรรดาเอษราในวันนี้ควรจะตรากตรำเพื่อก่อรูปพลไพร่ของพระเจ้าโดยการให้การศึกษาแก่พวกเขาด้วยหลักความจริง เพื่อพวกเขาจะกลายเป็นพยานของพระเจ้า การสำแดงแห่งกลุ่มชนของพระองค์บนแผ่นดินโลก — นฮย.8:1–8, 13; 2ตธ.2:2, 15; 1ตธ.3:15.
3. การฟื้นฟูมีหลักความจริงที่สูงสุด — หลักความจริงที่เป็นการสำเร็จสุดยอดของหลักความจริงที่ได้ถูกฟื้นฟูขึ้นมาในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา — 2:4; 2ตธ.2:2, 15:
(1) ความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องได้รับการตอบสนองคือการนำวิสุทธิชนที่อยู่ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าสู่หลักความจริงเพื่อนำการฟื้นฟูมุ่งไปข้างหน้า — 1ตธ.2:4; 2ตธ.2:2, 15.
(2) เรามีทั้งหลักความจริงทางทัศนะภายนอกและหลักความจริงทางทัศนะภายในพระคำอันบริสุทธิ์ — ลก.24:39; 1กธ.15:45ข; รม.8:34, 10; กซ.3:1; 1:27.
(3) ในการศึกษาพระคัมภีร์ของเรานั้น เราไม่ควรให้ความสนใจแต่ “กิ่ง” แต่ต้องลงลึกไปสู่ “ราก” และ “ลำต้น.”
(4) เราต้องมองเห็นความหมายสำคัญที่สรุปรวบยอดของขั้นตอนต่างๆ แห่งแผนการบริหารของพระเจ้าและพระกายของพระคริสต์ — ยฮ.1:14; 1กธ.15:45ข; อฟ.1:22–23; 4:4–6.
4. การถูกก่อรูปด้วยหลักความจริงคือการมีหลักความจริงกระทำเข้าสู่เรา กลายเป็นสิ่งที่เราเป็นทางภายใน คือการก่อรูปทางอินทรียภาพของเรา — 2ยฮ.2:
(1) องค์ประกอบทางภายในของการเปิดเผยอันศักดิ์สิทธิ์ต้องถูกกระทำและก่อรูปเข้าสู่สิ่งที่เราเป็น — กซ.3:16.
(2) เมื่อหลักความจริงเข้าสู่เราผ่านความเข้าใจของเราแล้ว หลักความจริงนั้นก็จะคงอยู่ในความจำของเรา แล้วเราก็จะเก็บรักษาหลักความจริงนี้ไว้ในความจำของเรา ทำให้เรามีการสะสมหลักความจริง — 1ปต.1:13; 2ปต.1:15; 3:1.
(3) หลังจากที่หลักความจริงเข้าสู่ความจำของเราแล้ว หลักความจริงนั้นก็จะกลายเป็นการบำรุงเลี้ยงในยามปกติและในระยะยาว; เช่นนี้เราก็จะมีการสะสมหลักความจริง และเราก็จะอยู่ภายใต้การบำรุงเลี้ยงในยามปกติ — กซ.3:16, 4; 1ตธ.4:6.
5. วิสุทธิชนทุกคนในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าควรจะได้รับการฝึกฝนในเรื่องการเปิดเผยอันศักดิ์สิทธิ์ — 2ตธ.2:2, 15:
(1) การเปิดเผยที่สำคัญเกือบทั้งหมดในพระคัมภีร์ล้วนครอบคลุมอยู่ในการปฏิบัติของพี่น้องนีและพี่น้องลี; เราควรใส่ใจต่อสิ่งที่บริสุทธิ์หมดจดและมีพลานามัยเหล่านี้ และไม่เสียเวลาไปเก็บสะสม “น้ำเต้าที่มีพิษ” — 2พกษ.4:38–41.
(2) เราทุกคนล้วนต้องได้รับการช่วยเหลือจากบทเรียนชีวิตและพระคัมภีร์ฉบับฟื้นฟูพร้อมด้วยคำอธิบาย เพื่อมองเห็นถึงความหมายสำคัญทางภายในของพระคำในพระคัมภีร์ — นฮย.8:8, 13.