I. ประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลเป็นแบบเล็งถึงผู้เชื่อทั้งหลายในพันธสัญญาใหม่ดังนั้นจึงเป็นแบบเล็งถึงคริสตจักรด้วย — 2คนก.36:22–23; 1กธ.10:6, 11.
II. ยูดาถูกกวาดไปเป็นเชลยในบาบิโลนเพราะความไม่สัตย์ซื่อ ดังนั้นผู้ที่กลับจากการเป็นเชลยก็ต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า — 1คนก.9:1; 1กธ.4:1–2; 7:25; 2ตธ.2:13; วว.17:14:
1. พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อในการทำให้แผนการบริหารของพระองค์สำเร็จเป็นจริงและในการนำเราเข้าสู่แผนการบริหารของพระองค์ — พรท.3:23ข.
2. ในฐานะพระเจ้าผู้สัตย์ซื่อ พระเจ้าย่อมไม่อาจปฏิเสธพระองค์เองได้; พระองค์ไม่สามารถปฏิเสธหรือย้อนแย้งต่อสิ่งทรงเป็นของพระองค์ได้ — 2ตธ.2:13.
3. เมื่อพระองค์ทรงถูกกระทำเข้าสู่เรา พร้อมด้วยคุณลักษณะแห่งความสัตย์ซื่อของพระองค์ถูกกระทำเข้าสู่เรา พระองค์ก็ทรงกลายเป็นเรา และเราก็กลายเป็นพระองค์ในด้านคุณลักษณะแห่งความสัตย์ซื่อของพระองค์ — 1กธ.7:25; 2ตธ.2:13:
(1) พระเจ้าไม่อาจปฏิเสธสิ่งทรงเป็นของพระองค์ได้ฉันใด ในเมื่อเราถูกก่อรูปด้วยพระองค์แล้ว เราย่อมปฏิเสธสิ่งที่เราเป็นไม่ได้ฉันนั้น — เทียบ อฟ.3:16–17.
(2) นี่คือหนทางที่เราจะสามารถและจะกลายเป็นผู้ที่สัตย์ซื่อในฐานะคนต้นเรือนแห่งข้อลับลึกของพระเจ้า — 1กธ.4:1–2.
(3) เนื่องจากเราถูกก่อรูปด้วยพระเจ้าที่สัตย์ซื่อ เราจึงต้องสัตย์ซื่อต่อพระองค์; สิ่งที่เราเป็นหรือการก่อรูปของเราย่อมไม่ยอมให้เราเป็นอื่นไปได้.
4. การที่เราจะสัตย์ซื่อและเชื่อถือได้นั้นหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของคนต้นเรือนซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดแบ่งให้เราจนสำเร็จลุล่วง — ข้อ 1–2; 7:25; 1ตธ.1:12.
5. เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาสู้รบที่อะระมะเฆโดน พระองค์จะทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลายและทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย ขณะที่เหล่าผู้มีชัยชนะซึ่งอยู่กับพระองค์คือ “คนที่ได้รับการทรงเรียก, การเลือกสรร, และสัตย์ซื่อ” — วว.17:14; 19:11–21.
III. ทุกคนที่กลับจากการเป็นเชลยในบาบิโลนมาสู่แผ่นดินงามได้รับคำบัญชาให้รู้จัก, เชื่อฟัง, และนมัสการพระยะโฮวา — 1คนก.16:8–14:
1. “พระเจ้า” เปิดเผยเป็นนัยถึงฤทธิ์เดชของพระเจ้าและความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง; “พระยะโฮวาพระเจ้า” ชี้ถึงการที่พระเจ้าทรงมีความสัมพันธ์กับมนุษย์.
2. พระยะโฮวาพระเจ้าไม่เพียงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยฤทธิ์เดชเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นผู้ที่มาใกล้ชิดกับมนุษย์ด้วย — ยนซ.2:4, 8, 15–16, 18–19, 21–22.
3. “พระยะโฮวา” หมายความว่า “เราเป็นซึ่งเราเป็น” โดยบ่งชี้ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นองค์นิรันดร์ที่ดำรงอยู่เองและดำรงอยู่นิรันดร์ ผู้ทรงเป็นในปัจจุบันและผู้จะทรงเป็นในอนาคตสืบไป — อซด.3:14; วว.1:4.
4. พระยะโฮวาคือผู้เดียวที่ทรงเป็น — ฮร.11:6:
(1) ผู้เดียวที่ดำรงอยู่ก็คือ “ทรงเป็น” ที่ยิ่งใหญ่; กริยา “เป็น” สามารถนำไปใช้ได้กับพระเจ้าเท่านั้น ไม่สามารถใช้กับเราได้.
(2) พระเจ้าคือ “ทรงเป็น” แห่งจักรวาล คือผู้ดำรงอยู่ที่แท้จริง; มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นคือเราเป็น; มีเพียงพระองค์ที่ดำรงอยู่.
5. “พระยะโฮวา” คือพระนามของพระเจ้าซึ่งมีเพื่อการดำรงอยู่และการสำเร็จเป็นจริง — ยนซ.17:1; 28:3; 35:11; อซด.3:14; 6:6–8.
6. เนื่องจากพระยะโฮวาทรงดำรงอยู่นิรันดร์และเนื่องจากพระองค์ทรงเป็นความเที่ยงแท้ของกริยา “เป็น” ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสไว้ พระองค์ย่อมจะทำให้สำเร็จเป็นจริง — ยฮ.8:28–29.
7. ในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้าในวันนี้ เราอยู่ในระยะของการสำเร็จเป็นจริง; เรากำลังมีประสบการณ์ต่อพระเจ้าในฐานะพระยะโฮวา ซึ่งก็คือเราเป็นผู้ยิ่งใหญ่ — อซด.3:14–16; ยฮ.8:24, 28.
IV. การที่ชนชาติอิสราเอลกลับมาสู่แผ่นดินงามเป็นเครื่องหมายเล็งถึงการที่คริสเตียนทั้งหลายได้กลับจากการแตกแยกมาสู่ฐานของคริสตจักร ซึ่งเป็นฐานแห่งความเป็นหนึ่ง — 2คนก.36:22–23; เทียบ พบญ.12:1–32:
1. โดยพื้นฐานแล้ว ฐานท้องถิ่นของคริสตจักรก็คือความเป็นหนึ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวแห่งพระกายของพระคริสต์ซึ่งมีภาคปฏิบัติอยู่ในท่ามกลางคริสตจักรท้องถิ่นทั้งหลาย — อฟ.4:4; 1กธ.1:2; 12:27.
2. ถ้าดูตามการเปิดเผยอันศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ ฐานของคริสตจักรนั้นก่อรูปขึ้นมาด้วยองค์ประกอบที่สำคัญสามประการ:
(1) องค์ประกอบแรกซึ่งก่อรูปขึ้นเป็นฐานของคริสตจักรคือความเป็นหนึ่งที่มีหนึ่งเดียวแห่งพระกายจักรวาลของพระคริสต์ ซึ่งถูกเรียกว่า “ความเป็นหนึ่งแห่งพระวิญญาณนั้น” (อฟ.4:3) — ความเป็นหนึ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอธิษฐานเผื่อในโยฮันบทที่ 17.
(2) องค์ประกอบที่สองของฐานของคริสตจักรคือฐานหนึ่งเดียวของท้องถิ่นที่คริสตจักรท้องถิ่นถูกก่อตั้งและดำรงอยู่ — วว.1:11; กจ.14:23; ตต.1:5.
(3) องค์ประกอบที่สามของฐานของคริสตจักรคือความเที่ยงแท้ของพระวิญญาณแห่งความเป็นหนึ่ง ซึ่งก็คือความเที่ยงแท้แห่งพระวิญญาณนั้นผู้เป็นความเที่ยงแท้ที่มีชีวิตของตรีเอกภาพอันศักดิ์สิทธิ์ — 1ยฮ.5:6; ยฮ.16:13.
3. ฐานของคริสตจักรนั้นมีความเกี่ยวข้องทางภายในกับชีวิต — บพส.133:1, 3; 36:8–9.
V. ชนชาติอิสราเอลที่กลับสู่แผ่นดินงามถูกกำชับให้ระลึกถึงพันธสัญญาซึ่งพระเจ้าทรงตั้งไว้กับอับราฮาม — 1คนก.16:15–18; ยนซ.15:7–21:
1. อับราฮามเชื่อพระเจ้าในเรื่องพระสัญญาเกี่ยวกับเชื้อสาย แต่เขาขาดความเชื่อที่จะเชื่อพระเจ้าในเรื่องพระสัญญาเกี่ยวกับแผ่นดินงาม — ข้อ 6–8.
2. ในการเพิ่มกำลังให้แก่ความเชื่อของอับราฮามนั้น พระเจ้าทรงถูกบีบให้ต้องยืนยันพระสัญญาแก่อับราฮามโดยการตั้งพันธสัญญากับเขา — ข้อ 9–21:
(1) พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงตั้งไว้กับอับราฮามคือพันธสัญญาแห่งพระสัญญาที่จะสำเร็จเป็นจริงโดยฤทธิ์เดชที่อยู่ในพระคุณของพระเจ้า — ยฮ.1:14, 17.
(2) พันธสัญญาใหม่คือสิ่งที่ต่อเนื่องมาจากพันธสัญญานี้ — ฆต.3:17; 4:22–26.
3. พระเจ้าทรงตั้งพันธสัญญานี้กับอับราฮามผ่านพระคริสต์ผู้ถูกตรึงตายและเป็นขึ้น — ยนซ.15:9; รม.6:5–6, 9:
(1) สัตว์สามชนิดที่ถูกฆ่าเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์ในด้านสภาพมนุษย์ของพระองค์ซึ่งถูกตรึงตายเพื่อเรา ส่วนนกสองชนิดที่ยังมีชีวิตเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์ในด้านสภาพพระเจ้าของพระองค์ซึ่งเป็นผู้ที่มีชีวิตและเป็นขึ้น — ยนซ.15:9; ยฮ.11:25; วว.1:18.
(2) โคตัวเมียมีไว้สำหรับเครื่องบูชาสันติสุข, แพะตัวเมียมีไว้สำหรับเครื่องบูชาไถ่บาป, และแกะตัวผู้มีไว้สำหรับเครื่องบูชาเผา — ยนซ.15:9; ลวต.3:1; 4:28; 5:6; 1:10.
(3) ในด้านแบบเล็งนั้น นกเขาเป็นเครื่องหมายเล็งถึงชีวิตที่ทนทุกข์ ส่วนนกพิราบอ่อนเป็นเครื่องหมายเล็งถึงชีวิตที่เชื่อหรือชีวิตแห่งความเชื่อ; สิ่งเหล่านี้คือลักษณะเฉพาะสองประการในการดำเนินชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก — ยนซ.15:9.
(4) ในเมื่อเลขสองคือตัวเลขแห่งพยาน นกที่มีชีวิตสองตัวจึงเป็นพยานถึงพระคริสต์ในฐานะผู้ที่มีชีวิตเป็นอยู่ในเราและเพื่อเรา — ข้อ 9; ยฮ.14:19–20; ฆต.2:20.
VI. ในฐานะผู้เชื่อที่อยู่ในพระคริสต์ เราจำเป็นต้องมีการอธิษฐานที่สำแดงน้ำพระทัยของพระเจ้าและความปรารถนาของเราที่จะให้เขตแดนฝ่ายวิญญาณส่วนบุคคลของเราได้ขยายใหญ่ขึ้น — 1คนก.29:10–20; 4:10:
1. ในจักรวาลนี้มีความตั้งใจอยู่สามอย่างคือ ความตั้งใจของพระเจ้า, ความตั้งใจของซาตาน, และความตั้งใจของมนุษย์; พระเจ้าทรงต้องการให้ความตั้งใจของมนุษย์มาเข้าสนิทกับพระองค์และทรงต้องการให้มนุษย์เป็นหนึ่งกับพระองค์ เพื่อให้มนุษย์จะได้สำแดงน้ำพระทัยของพระองค์และส่งเสียงสะท้อนต่อน้ำพระทัยนี้กลับไปหาพระองค์ในการอธิษฐานเพื่อความชอบพระทัยอันดีงามของพระองค์ — มธ.6:10; 7:21:
(1) ความหมายที่แท้จริงของการอธิษฐานนั้นประกอบไปด้วยสี่ขั้น:
ก. พระเจ้าทรงมุ่งหมายที่จะกระทำบางสิ่งตามน้ำพระทัยของพระองค์ — 6:10.
ข. พระองค์ทรงเปิดเผยน้ำพระทัยของพระองค์แก่เราผ่านพระวิญญาณนั้นเพื่อให้เราได้รู้จักน้ำพระทัยของพระองค์.
ค. เราอธิษฐานเพื่อจะสนองและส่งเสียงสะท้อนต่อน้ำพระทัยของพระองค์กลับไปหาพระองค์ — ยฮ.15:7.
ง. พระเจ้าทรงกระทำให้การงานของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ตามน้ำพระทัยของพระองค์ — วว.4:11.
(2) มีเพียงการอธิษฐานที่พระเจ้าเป็นผู้ริเริ่มและส่งเสียงสะท้อนต่อสิ่งที่พระองค์ทรงริเริ่มไว้จึงจะมีคุณค่าในด้านฝ่ายวิญญาณ; เราต้องเรียนรู้ที่จะอธิษฐานในลักษณะนี้ — อฟ.6:18; 1ยฮ.5:14–16ก.
2. ยาเบซได้ร้องทูลพระเจ้าให้ขยายเขตแดนของเขา; การขยายเขตแดนของแผ่นดินงามในคำอธิษฐานของเขาเป็นเครื่องหมายเล็งถึงการขยายเขตแดนแห่งการได้รับพระคริสต์และการรับสุขพระคริสต์ผู้เป็นความเที่ยงแท้ของแผ่นดินงาม — 1คนก.4:10; เทียบ ฟป.3:8–14.
VII. เราสามารถเรียนรู้ที่จะทำการสู้รบฝ่ายวิญญาณโดยการสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าได้จาก 2 โครนิกา 20:15-22:
1. ใน 2 โครนิกา 20:15 พระยะโฮวาตรัสแก่กษัตริย์ยะโฮซาฟาดว่า “อย่ากลัวหรือตกใจเพราะคนมากมายเหล่านี้เลย เพราะการสงครามนั้นไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของพระเจ้า” และในข้อ 17ก ก็ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายไม่ต้องสู้รบในการสงครามครั้งนี้”:
(1) มีผู้ที่ทำการปรนนิบัติอยู่หลายคนที่สรรเสริญพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งอิสราเอลด้วยเสียงดังมาก — ข้อ 19.
(2) เมื่อพวกเขาเริ่มตะโกนร้องเพลงและสรรเสริญ พระยะโฮวาก็ทรงให้มีกองซุ่มไปสู้รบกับเหล่าศัตรู และพวกเขาก็ถูกตีแตกไป — ข้อ 22.
2. การสรรเสริญคือการงานที่สูงสุดซึ่งบุตรทั้งหลายของพระเจ้าจะทำให้สำเร็จลุล่วงได้ — บพส.119:164; ฮร.13:15:
(1) การสำแดงแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณที่สูงสุดของวิสุทธิชนทั้งหลายคือการสรรเสริญที่เขามีต่อพระเจ้า — บพส.146:2; ฮร.13:15; วว.5:9–13; 19:1–6:
ก. การดำเนินชีวิตคริสเตียนย่อมเหินทะยานได้โดยการสรรเสริญ — กจ.16:19–34.
ข. การสรรเสริญคือการอยู่เหนือล้ำทุกสิ่งเพื่อจะสัมผัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้า — วว.14:1–3; 15:2–4.
(2) ชัยชนะฝ่ายวิญญาณไม่ได้ขึ้นอยู่กับการสู้รบ แต่ขึ้นอยู่กับการสรรเสริญ — 2คนก.20:20–22.
3. ในชีวิตคริสตจักรและในชีวิตส่วนบุคคลของเรานั้น เราจำเป็นต้องถวายการสรรเสริญที่สำเร็จสุดยอดแด่พระเจ้า — บพส.22:22ข; ฮร.2:12ข.
4. เราจำเป็นต้องถวายคำสรรเสริญเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเสมอ โดยพระคริสต์ที่เราได้ประสบการณ์และรับสุข — 13:15.
5. “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ด้วยสุดใจ และข้าพเจ้าจะถวายสง่าราศีแด่พระนามของพระองค์เป็นนิตย์” — บพส.86:12.